++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มะเร็งทำคนไทยตายเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


แพทย์จุฬาฯ เผยข้อมูลน่าห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์โรคมะเร็งในไทย ปี
2551 พบคนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งกว่า 120,000 คน ขณะที่ปี 2550
เฉลี่ยคนไทยเสียชีวิตชั่วโมงละ 6 คน
ชี้มะเร็งตับคร่าชีวิตชายไทยมากที่สุด
ส่วนผู้หญิงพ่ายมะเร็งปากมดลูกเสียชีวิตเป็นอันดับ 1
ย้ำการพิชิตโรคมะเร็งต้องทำแบบบูรณาการ เน้นดูแลทั้งคนและไข้
ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยและโรคเท่ากัน

รศ.นพ.นรินทร์ วรวุฒิ แพทย์ประจำหน่วยมะเร็งวิทยา
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เปิดเผยในงานสัมมนาทางวิชาการ "ห่วงใย ใส่ใจ...พิชิตมะเร็ง"
ซึ่งจัดโดยชมรมฟื้นฟูผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท เฟยดา
จำกัด ว่าตั้งแต่ปี 2548-2550 พบว่าสถิติการเสียชีวิตของคนไทยนั้น
เกิดจากโรคมะเร็งสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะในปี 2550
มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งสูงถึง 53,434 คน และพบว่าทุกๆ
หนึ่งชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิต 6 คน โดยในปีที่ผ่านมาพบว่า
คนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งกว่า 120,000 คน
ทั้งนี้ผู้ชายไทยเป็นมะเร็งตับมากที่สุด
รองลงมาคือมะเร็งปอดและมะเร็งลำไส้ใหญ่
ส่วนผู้หญิงไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกมากที่สุด รองลงมาคือ มะเร็งเต้านม
และมะเร็งปอด ตามลำดับ

"แนวโน้มคนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งสูงขึ้นทุกปี ซึ่งกว่าร้อยละ 70
ของโรคมะเร็งเกิดจากสภาพแวดล้อม
ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปมีมลภาวะเพิ่มมากขึ้น
สารพิษที่ปนเปื้อนมากับอาหาร รวมถึงความเครียดภายในจิตใจ
ซึ่งเกิดจากสภาพการดำรงชีวิตในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยปัญหาเศรษฐกิจและปาก
ท้อง และสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งทั้งสิ้น
ดังจะเห็นได้จากอุบัติการณ์ในการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉลี่ยแล้วทุกๆ 3
ชั่วโมงจะพบว่าผู้หญิงไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม 2 คน
และพบว่ามีอัตราการเสียชีวิตถึงร้อยละ 30 ของการเกิดโรคมะเร็งเต้านม"

รศ.นพ.นรินทร์ กล่าวต่อไปว่า แนวทางการรักษาโรคมะเร็งแบบ
"บูรณาการ" (Integration) เป็นการรักษาแบบองค์รวม (Holistic)
ในรูปแบบของศาสตร์ตะวันออก กล่าวคือ เป็นแนวทางการรักษาที่ต้องดูแล "คน"
ซึ่งเป็นผู้ป่วยควบคู่ไปกับการดูแลไข้หรือ "โรค" นั่นเอง
โดยสามารถแบ่งศาสตร์การรักษาแบบบูรณาการได้เป็น 6 มิติ คือ

1.ผู้ป่วยซึ่งก็คือร่างกาย 2.จิตใจ 3.จิตวิญญาณ
4.ญาติหรือครอบครัวผู้ดูแลผู้ป่วย
5.สิ่งแวดล้อมรอบตัวซึ่งทางโบราณคติรวมถึงจักรวาลด้วย 6.สังคมส่วนรวม

"จากการศึกษาพบว่า
การรักษาโรคมะเร็งแบบบูรณาการนี้ได้รับการยอมรับทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย
เนื่องจากสามารถปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตและหลักปรัชญาของคนไทย
สร้างสมดุลย์ของผู้ป่วยและการบำบัดรักษา
ซึ่งให้ความสนใจในความเป็นมนุษย์สำคัญเทียบเท่ากับอาการของโรค ดังนั้น
แนวทางการรักษาแบบบูรณาการจึงค่อนข้างมีความแตกต่างจากศาสตร์การรักษาของทาง
ตะวันตก ที่เน้นการรักษาโรคมากกว่าการให้ความสำคัญกับความเป็นคนไข้
แต่ทั้งนี้การที่จะสามารถเอาชนะโรคมะเร็งได้นั้น
ผู้ป่วยจะต้องรู้เท่าทันโรคมะเร็งเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะการรู้ถึงสาเหตุของการเกิดโรคและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่สำคัญคือ
การที่ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ซึ่งจะให้ผลดีที่สุดและสามารถรักษาให้หายขาดได้"

รศ.นพ.นรินทร์ กล่าวในตอนท้ายว่า
สำหรับยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งนั้น นอกจากที่จะใช้ยาแผนปัจจุบันแล้ว
ผู้ป่วยจำนวนมากเชื่อว่า ยาสมุนไพรก็มีส่วนที่สำคัญในการรักษาเช่นกัน
ซึ่งทางการแพทย์พบว่า
ยาสมุนไพรก็มีส่วนช่วยในการรักษาหรือบรรเทาอาการของโรคได้มากถึงร้อยละ 20
แต่อย่างไรก็ตาม
การที่ผู้ป่วยจะตัดสินใจใช้ยาสมุนไพรร่วมในการรักษาโรคมะเร็งนั้น
จำเป็นต้องมีการศึกษาอย่างรอบคอบว่ายาสมุนไพรแต่ละชนิด
ได้ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.)
และได้ขึ้นบัญชีเป็นยาสมุนไพรอย่างถูกต้องหรือไม่
และที่สำคัญควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
เพื่อขอรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานยาสมุนไพรควบคู่กับไปกับการรักษา
ด้วยยาแผนปัจจุบัน

"กำลังใจจากบุคคลรอบข้างไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องเพื่อนพ้องหรือคนใน
สังคม ถือเป็นยาวิเศษที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งก็ต้องการไม่น้อยไปกว่าวิทยาการการรักษา
ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า กายและใจเป็นของคู่กัน
แม้กายป่วยแต่หากใจไม่ป่วยตามไปเพราะมีกำลังใจที่ดีเยี่ยม
ย่อมส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถอยู่กับโรคมะเร็งได้อย่างเป็นสุข
อีกทั้งผู้ป่วยหรือผู้ดูแลผู้ป่วยยังสามารถหากิจกรรมบำบัดที่สามารถทำร่วม
กันเพื่อเป็นการคลายเครียดให้แก่ผู้ป่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย
การใช้ดนตรีบำบัด การใช้ธรรมมะบำบัด การใช้สมุนไพรบำบัด หรือที่เรียกว่า
Mind Body Treatment นั่นเอง
ซึ่งทางชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย
ก็เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ผู้ป่วยโรคมะเร็ง รวมถึงครอบครัว
บุคคลใกล้ชิดหรือผู้ดูแลผู้ป่วยสามารถใช้เป็นศูนย์กลางในการขอรับข้อมูลข่าว
สารและขอรับคำปรึกษาในการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยที่ถูกต้องได้เป็นอย่างดีเช่น
กัน"

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000096235

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น