++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บีโอไอ:ไทยกับทิศทางการพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

บีโอไอ:ไทยกับทิศทางการพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
โดย ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์


เศรษฐกิจสร้างสรรค์นับเป็นรูปแบบเศรษฐกิจระบบใหม่โดยนำเอาทั้งวัฒนธรรม
เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีมาผสมผสานเข้าด้วยกัน
ก่อให้เกิดเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
ซึ่งนับว่าสำคัญมากในการสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศ
และปัจจุบันมีการตื่นตัวกันทั่วโลกเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้เป็น
กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งอนาคต

สำหรับหัวใจของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ คือ อุตสาหกรรมสร้างสรรค์
(Creative Industries -CI) ซึ่งจำแนกออกเป็น 4 ประเภท คือ

ประเภทแรก กลุ่มมรดกทางวัฒนธรรม (Heritage or Cultural Heritage)
เป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ โบราณคดี วัฒนธรรม
ประเพณี ความเชื่อ และสภาพสังคม เป็นต้น แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ

- กลุ่มการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม (Traditional Cultural
Expression) เช่น งานศิลปะ งานฝีมือ งานเทศกาล งานฉลอง เป็นต้น

- กลุ่มที่ตั้งทางวัฒนธรรม (Cultural Site) เช่น โบราณสถาน
พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด และการแสดงนิทรรศการ เป็นต้น

ประเภทที่สอง กลุ่มศิลปะ (Arts)
เป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์บนพื้นฐานของศิลปะ และวัฒนธรรม แบ่งออกเป็น 2
กลุ่มย่อย คือ

- งานศิลปะ (Visual Arts) เช่น ภาพวาด รูปปั้น ภาพถ่าย
และวัตถุโบราณ เป็นต้น

- ศิลปะการแสดง (Performing Arts) เช่น การแสดงดนตรี การแสดงละคร
การเต้นรำ ละครโอเปร่า ละครสัตว์ และการเชิดหุ่นกระบอก เป็นต้น

ประเภทที่สาม กลุ่มสื่อ (Media)
เป็นสื่อผลิตงานสร้างสรรค์ที่สื่อสารกับคนกลุ่มใหญ่ แบ่งออกเป็น 2
กลุ่มย่อย คือ

- งานสื่อสิ่งพิมพ์ (Publishing and Printed Media) เช่น หนังสือ
หนังสือพิมพ์ และสิ่งตีพิมพ์อื่นๆ เป็นต้น

- งานโสตทัศน์ (Audiovisual) เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วิทยุ
และการออกอากาศอื่นๆ เป็นต้น

ประเภทที่สี่ กลุ่มงานสร้างสรรค์ตามลักษณะงาน (Function Creation)
เป็นสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน
จำแนกย่อยออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

*กลุ่มการออกแบบ (Design) เช่น การออกแบบภายใน กราฟิก แฟชั่น
อัญมณี และของเด็กเล่น เป็นต้น

* กลุ่มสื่อประยุกต์ (New Media) ได้แก่ ซอฟต์แวร์ วิดีโอเกม
และผลิตภัณฑ์ดิจิตอล เป็นต้น

* กลุ่มบริการทางความคิดสร้างสรรค์ (Creative Services) ได้แก่
สถาปนิก โฆษณา วัฒนธรรม นันทนาการ งานวิจัยและพัฒนา

ความจริงแล้วเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
ได้มีความสนใจในเรื่องนี้มานานนับสิบปีแล้ว เป็นต้นว่า
รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ให้ความสนใจกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มาตั้งแต่ปี
2440 โดยนายโทนี่ แบลร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
ได้แต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative
Industries Taskforce) ขึ้น
เพื่อศึกษาบทบาทของอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ต่อเศรษฐกิจของประเทศ

ในปีถัดมา คือ ปี 2541 คณะทำงานเฉพาะกิจดังกล่าวได้จัดทำรายงาน
Creative Industries Mapping Document
เสนอแนะต่อรัฐบาลสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
ในด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาทักษะ การสนับสนุนด้านการเงิน
การคุ้มครองสินทรัพย์ทางปัญญา การส่งเสริมการส่งออก ฯลฯ

ส่วนสิงคโปร์ซึ่งเดิมมีภาพลักษณ์ทางลบว่าเป็นทะเลทรายทางด้าน
วัฒนธรรม เป็นเมืองน่าเบื่อ ปราศจากวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
ปราศจากสีสัน หรือแม้กระทั่งปราศจากจิตวิญญาณ
ก็ได้พยายามสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ขึ้นมานานแล้วเช่นเดียวกัน
โดยมีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปี
2544 ซึ่งได้จัดทำยุทธศาสตร์ 3 ประการ
การเป็นเมืองแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการยุคที่ 2.0 (Renaissance City
2.0) ประกอบ ด้วยมาตรการส่งเสริมกิจกรรมในด้านศิลปะและวัฒนธรรมในด้านต่างๆ
เช่น สนับสนุนการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์
สนับสนุนการพัฒนาประชาคมให้มีลักษณะเมืองแห่งการสร้างสรรค์ (Creative
Town) พัฒนาผู้ประกอบการใหม่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

- สื่อในศตวรรษที่ 21 (Media21) กำหนด
เป้าหมายเพื่อพัฒนาส่วนแบ่งของอุตสาหกรรมสื่อในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
จากร้อยละ 1.6 ในปี 2543 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.5 ในปี 2555
และเพิ่มมูลค่าส่งออกจากระยะเวลาเดียวกันจาก 908 ล้านเหรียญสิงคโปร์ เป็น
4,500 ล้านเหรียญสิงคโปร์

- การออกแบบของสิงคโปร์ (Singapore Design) สนับ
สนุนให้ภาคเอกชนสร้างนวัตกรรมในการออกแบบให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง
ความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ
ขณะเดียวกันภาคราชการจะต้องทำเป็นตัวอย่าง เป็นต้นว่า
พยายามออกแบบรูปลักษณ์สถาปัตยกรรมในส่วนอาคารที่ทำการของรัฐบาลหรืออาคารที่
อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้มีลักษณะสร้างสรรค์

กรณีของประเทศไทย เศรษฐกิจสร้างสรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (Thailand
Creative & Design Center - TCDC) ขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2547
โดยมีสถานที่ตั้ง ณ ชั้น 6 อาคารดิเอ็มโพเรียม ถนนสุขุมวิท 24
เพื่อเป็นศูนย์กลางส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ด้านการออกแบบและความคิดสร้าง
สรรค์ให้กับสังคมไทย โดยผ่านกระบวนการให้ความรู้ความเข้าใจแบบสากล

ต่อมามีการก่อตั้งมิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้
ซึ่งได้ปรับปรุงอาคารเก่าของกระทรวงพาณิชย์เพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทัน
สมัย แต่ยังคงความสง่างามของสถาปัตยกรรมและโครงสร้างเดิมเอาไว้
ซึ่งก่อสร้างเสร็จและเปิดดำเนินการเมื่อเดือนเมษายน 2551

สำหรับนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2551
ก็ได้กล่าวถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เช่นเดียวกัน โดยนโยบายข้อ 4.2.3.1
ระบุว่าจะส่งเสริมบริการที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์บนพื้นฐานของวัฒนธรรมและ
ภูมิปัญญาไทยที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีสมัยใหม่

นอกจากนี้คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศมีมติ
เมื่อวันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2552
แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเศรษฐกิจสร้างสรรค์
เพื่อทำหน้าที่กำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย
ที่ชัดเจน เป็นที่ยอมรับและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
โดยมีที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน) เป็นประธาน
กำหนดให้มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้

- จัดทำยุทธศาสตร์และแผนที่นำทางการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่สามารถนำไป
ปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
รวมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยตลอดห่วงโซ่มูลค่า

- จัดทำแผนที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย และให้ความเห็น
รวมถึงข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

- กำกับ ดูแล
และบูรณาการโครงการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง
ปี 2555 และการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

- เสนอแนะและให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดทำโครงการที่นำไปสู่การพัฒนา
เศรษฐกิจสร้างสรรค์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย

จากนั้นคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2552
เห็นชอบกับยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ดังนี้

- กำหนดเปลี่ยนชื่อจาก
"คณะกรรมการด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา" มาเป็น
"คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ" มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

- พัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์โดยอาศัยทรัพย์สินทางปัญญา
ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้จากเศรษฐกิจสร้างสรรค์อีกเท่าตัว กล่าวคือ
จากปัจจุบัน 900,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของ GDP เพิ่มขึ้นเป็น
1,800,000 ล้านบาท ภายในปี 2555

ขณะเดียวกันแผนงานกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 (Stimulus Package 2 -
SP2) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งปี 2553 - 2555"
มีวงเงินรวม 1,431,330 ล้านบาท ได้กำหนดจัดสรรเงินรวม 17,585 ล้านบาท
เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ครอบคลุมการส่งเสริมและพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา
การส่งเสริมเอกลักษณ์ด้านศิลปะและวัฒนธรรม
การส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมช่างฝีมือไทย
การส่งเสริมอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงและซอฟต์แวร์
การส่งเสริมอุตสาหกรรมรวมออกแบบและสินค้าเชิงสร้างสรรค์
และการขับเคลื่อนสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ล่าสุดในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11
ซึ่งกำหนดใช้ระหว่างปี 2555 - 2559
ได้กำหนดแนวคิดว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจาก
ปัจจุบันที่พึ่งพาปัจจัยการผลิตที่มีราคาถูกและใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง
ไปสู่ระดับที่เพิ่มสูงขึ้น คือ
เศรษฐกิจที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างนวัตกรรม โดยทางเลือกหนึ่ง
คือ การให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างจริงจัง
บนพื้นฐานของความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ผนวกเข้ากับการใช้องค์ความรู้และนวัตกรรม

เนื่องจากอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญ คือ
การมีบุคคลที่มีความรู้ลึกซึ้งอย่างแท้จริงมากำหนดนโยบายในด้านนี้
มิฉะนั้น จะเป็นการกำหนดนโยบายแบบ NATO หรือ No Action, Talk Only
คือไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เนื่องจากไม่มีความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งเพียงพอ

ตัวอย่าง หนึ่ง คือ กรณีของสหราชอาณาจักร
คณะทำงานเฉพาะกิจด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ร่วมกันจัดทำรายงานเสนอแนะต่อ
รัฐบาลเมื่อปี 2541
ประกอบด้วยบุคคลที่เป็นมืออาชีพและมีชื่อเสียงในระดับโลก เป็นต้นว่า
ท่านลอร์ด David Puttnam ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชื่อดัง
ซึ่งเคยเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Killing Field ในประเทศไทย ท่านเซอร์
Richard Brandson เจ้าของบริษัทดนตรี Virgin Records, นาง Gail Rebuck
ผู้บริหารของสำนักพิมพ์ Random House
ซึ่งนับเป็นสำนักพิมพ์หนังสือภาษาอังกฤษใหญ่ที่สุดในโลก ฯลฯ

ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000095909

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น