++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"ถุยชีวิต".../เรื่องเล่านศ.

"ถุยชีวิต" เป็นบทความสะท้อนสังคมจากฝีไม้ลายมือการเล่าเรื่องของ
"ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน" ศิษย์เก่าเอกวิชาวารสารศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หนึ่งในผู้เขียนคอลัมภ์ "หัวใจ 2 รู"
ซึ่งถูกตีพิมล์ลงใน นิตยสาร "บ้านกล้วย" ประจำเดือนมกราคม 2552 ฉบับที่ 1
เล่มที่ 32 เราลองมาฟังเรื่องเล่าสไตล์หนุ่มมหา'ลัยกรุงเทพ จะเป็นอย่างไร

หลังจากที่เขาเลือกใช้ชีวิตอย่างอิสระท่ามกลางความขัดแย้งบนผืนป่าคอนกรีตแห่งนี้มาระยะหนึ่ง
สมองที่ควรจะปลอดโปร่งกลับถูก "ยัดเยียด"
ด้วยข้อมูลที่มุ่งต้อนคู่กรณีให้แดดิ้นสิ้นไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่สามารถถามหา
ความรับผิดชอบได้แต่อย่างใด นั่นทำให้บางครั้ง เขาจำเป็นต้องเลือกที่จะ
"สำรอก" ข้อมูลน้ำครำเหล่านั้นทิ้งไปเสียบ้างจะได้ไม่ต้องมานั่งล้างไส้กันภายหลัง

ด้วยความสะอิดสะเอียนต่อปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในทุกขณะจิต
ทั้งปัญหาการอยู่รอดของตัวเองหรือแม้แต่ปัญหาความขัดแย้งทางสังคม
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขามักจะสะท้อนความหมดอาลัยตายอยากเหล่านั้นออกมา
อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
บ้างก็ถอนหายใจด้วยลมที่หนักหน่วงรุ่มร้อนอุปมาดั่งถูกคลึงทั่งเหล็กร้อนไว้
คาปาก บ้างก็รำพึงกับตัวเองจนแทบจับความหมายหรือวลีอะไรมิได้
บ้างก็ก่นด่าด้วยความหยาบโลนสุดแล้วแต่จะสรรสร้างศัพท์มากราดใส่โดยไม่เกรง
ต่อหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ

อาการเหล่านี้เกิดจากความ "สมยอม" ให้กิเลส 3 ก. คือ โกรธ เกลียด
กลัว เข้าฝังลึกเป็น "เนื้อร้าย"
แฝงอยู่ในพฤตกรรมของเขาอย่างไม่รู้เท่าทัน
และสิ่งที่แสดงออกอย่างไม่รู้เนื้อ รู้ตัวนั้นก็คือ
ภาพสะท้อนความอ่อนแอทางจิต ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่า
เขาและเพื่อนมนุษย์มีความแตกต่างกันเช่นไร

" เขาเป็นชายวัย "ดึก" ร่างเล็ก
ดูภายนอกเป็นคนผอมโทรมค่อนข้างไปทางขี้โรค มีผิวดำคล้ำจนเกือบเขียว
ผมยาวหยิกหยักโสก
หน้าตาเป็นเอกลักษณ์แสดงให็เห็นถึงภูมิลำเนาได้เป็นอย่างดี
ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า
รกรากของเขาน่าจะอยู่ในหลืบไหนสักแห่งของดินแดนสะตอดก
แต่ก็ไม่มีใครรู้จริงว่า เนื้อเนื้อแท้แล้วเขาเป็นใครและมาจากไหน

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรที่ต้องสนใจนักหรอก
เพราะนี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่เขาเดินทางมาอยู่ในชุมชนแห่งนี้
ชุมชนแออัดเกินกว่าร้อยหลังคาเรือน ซึ่งตั้งอยู่ภายใต้พื้นที่แคบๆ
ผืนหนึ่ง ละแวกริมคลองที่ส่งกลิ่นฟุ้งตลบอบอวลทั่วทั้งบริเวณ

ตลอด 24 ชั่วโมงของเขา
ครึ่งหนึ่งหมดไปกับการนอนกลิ้งเกลือกในห้องสี่เหลี่ยมสกปรก "โกโรโกโส"
อย่างสบอารมณ์หมาย เจามักพูด ด้วยอาการชินปากว่า

" ที่นี้คือสรวงสรรค์สำหรับข้า
เหตุใดข้าจะยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อขวนขวายอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกเล่า
ขอแค่หนังท้องอิ่มหนังตาหลับมันก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ?"

ด้วย"ปณิธาน"
เช่นนี้เองที่เป็นต้นเหตุให้เขาโดนกระแสสังคมโหมใส่จนกลายเป็น "คนหลงยุค"
ได้โดยง่าย เขาไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าการมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ
นั่นจึงเกิดเป็นภาพชินตาของคนที่สัญจรผ่าน "วิมานสัปรังเค" แห่งนี้
ที่จะได้เห็น "ซากปรักหักพัง" ของมนุษย์คู่หนึ่ง
ซึ่งกำลังถูกกระแสความเปลี่ยนผ่านกัดกร่อนจนแทบไม่เหลือร่องรอยของ"ความหวัง
" ซึ่งเป็นแกนหลักที่ทำให้มนุษย์สามารถดำรงอยู่ได้

ครั้งหนึ่งเขาผู้นี้เคยพรั่งพร้อมไปด้วยทุกสรรพสิ่งที่อำนวยสุข
เขามักจะไขว่ห้างอยู่บนยอดของหอคอยงาช้างแล้วทอดสายตาลงมา "เหยียบย่ำ"
และ "เย้ยหยัน" เพื่อนมนุษย์ที่อยู่ต่ำชั้นกว่า
"ไอ้พวกจรจัดไร้ความสามารถนี้แหละ
ที่เป็นตัวการทำให้สังคมเกิดความเส็งเคร็งอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้
"เขาว่า

ในช่วงสายของวันหนึ่งกลางเดือนเมษยายน
เป็นวันที่อากาศร้อนแห้งและอ้าวกว่าปกติ
เขาตื่นขึ้นมาด้วยความกระสับกระส่าย ร่างกายอิดโรย ลำคอสากแสบ
หัวหนักเกินกว่าจะเชิดขึ้นมารับแสงตะวันยามเช้าได้ เขามีอาการ "อยากน้ำ"
ขั้นรุนแรง เนื่องจากฤทธิ์ของ 40 ดีกรี
ที่ถูกรัวกระหน่ำผ่านคอหอนอย่างไม่ยั้งมือและไม่ยั้งคิด
กระทั่งภาพสุดท้ายในความทรงจำที่เห็นคือ
ขวดแก้วสีน้ำตาลปิดฉลากสีฟ้าสัญลักษณ์หัวควาย ตีตรา "คอทองแดง"
ล้มลงอยู่ข้างตัวพร้อมๆ
กับห่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งมีเศษอาหารกระจัดการจายเต็มห้อง

เขาพยายามเอื้อมมือไปคว้าคอขวดที่ล้มกองให้วางตั้งขึ้น
จากนั้นค่อยๆ พยุงร่างของตัวเองให้อยู่ในท่านั่ง แล้วทำการกระดก
"สีสุวรรณอมกฤต" อีกอึกใหญ่

"รสชาตทุเรศสิ้นดี..." เขาสัพยอกความแดกดันสุรา
ก่อนที่จะกระแทกเข้าไปอีกทีและอีกทีจนขวดแห้งสนิท

ชายวัยดึกลุกขึ้นยืนอย่างไร้หลัก
แล้วเดินโซซัดโซเซไปหยิบขันน้ำสีเขียวแก่
ซึ่งตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งด้วยมือที่สั่นระริก
ขันใบนี้เป็นสมบัติคู่กายของชายแก่ตั้งแต่ที่เขามาอยู่ใหม่
ภายในห่อเกลือเปียกๆ อยู่หนึ่งถุง
แปรงสีฟันสภาพปลายขนกางออกไม่รู้ทิศหนึ่งด้าม เขาใช้ปลายเล็บเหลือคล้ำ
"จิก" ก้อนเกลือออกมาโรยใส่แปรงสีฟัน
แล้วถือออกไปที่ก็อกน้ำสาธารณะประจำสลัม

เขานั่งยองๆ ปล่อยน้ำไหลออกมาจากก็อก
ใช้มือวัดมาลูบหน้าลูบตาพอสดชื่น
แปรงสีฟันที่เตรียมพร้อมมากลับถูกใช้อย่างขอไปทีแล้วก้มหน้ามุดก็อกอ้า
ปากรองรับน้ำเพื่อกลั๊วคอแล้วจึง "ถุย" ทิ้งเหมือนชีวิตที่เป็นอยู่

ขณะนี้เป็นเวลาสายแก่จวนจะเที่ยงวันเต็มทน
สำหรับชายเต่าผู้นี้เขาพร้อมแล้วที่จะเผชิญกับโชคชะตาเดิมๆ
ซึ่งไม่น่าจะมีอะไรแตกต่างกับเมื่อวาน เมื่อวานซื่น หรือวันก่อนๆ
ที่ผ่านมาสักเท่าไรนัก

เขาเดินกลับไปพร้อมกับความหิวโซ
และเสียงฟาดวงฟาดงาของกระเพาะจนยากที่จะทัดทานไหว
แต่ด้วยสภาพอันแร้นแค้นผนวกกับชีวิตที่แสนจะ "จับเจ่า"
จึงทำให้เขาต้องก้มหัวรับสภาพด้วยใจที่จำนน

" เจ้ากระเพาะอันเป็นที่รักของข้า เจ้าก็อย่ากระนั้นไปเลย
ลำพังเงินที่เหลืออยู่เพียงห้าบาท สิบบาท
มันจะพอค่ายาไส้เจ้ากล้าเอาแต่ใจถึงเพียงนี้
เจ้ามันเป็นผู้ร้ายต้องโทษที่ถูกจองจำอยู่ในร่างกายข้า จึงอย่าไป "อุตริ"
คิดริอาจตีโพยเช่นนี้อีก"
เขาฉวยขนมปังก้อนโตเนื้อนุ่มกว่าอิฐแดงเล็กน้อยขึ้น
แล้วยัดใส่เข้าไปในปากอย่างมูมมาม

เจ้ากระเพาะ นี่พอจะทำให้เจ้าหยุด "จองหอง" กับข้าได้หรือยัง?"

เขาเดินกลับห้องของเขาอย่างสุขท้อง
โดยไม่สนใจเสียงที่แว่วคล้อยหลังมาจากห้องใกล้ๆ ว่า
"อาหารปลาของกรูหายไปไหนว่ะ !..."

** ขอบคุณภาพประกอบจาก www.f0nt.com/forum/index.php?topic=14478.135

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000096241

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น