"ข่าวสารล้น ความรู้ขาด"
แปลมาจากคำกล่าวของผู้สังเกตการณ์ชาวตะวันตกผู้หนึ่ง คือ over supply of
information, under supply of knowledge ซึ่งหมายความว่า
โลกในยุคโลกาภิวัตน์อันเป็นยุคของข่าวสารข้อมูล
มีการสื่อสารผ่านสื่อมวลชนต่างๆ ผู้รับสารหรือผู้เสพสื่อจะได้รับ
ข่าวสารเป็นจำนวนมาก ในชีวิตประจำวัน ทั้งในการทำงาน การศึกษา
ความบันเทิง และการดำรงชีวิตอย่างปกติ แต่เนื่องจากประชาชนจำนวนไม่น้อย
ขาดความรู้ ทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าข้อมูลข่าวสารใดน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด
ข่าวสารคือชิ้นของข้อมูลที่ผู้เสพสื่อหรือผู้รับข่าวสารต้องสามารถย่อยข่าว
สารได้ ทำนองเดียวกับการรับประทานอาหารจะต้องสามารถเคี้ยวให้ละเอียด
เพื่อให้รู้ซึ้งถึงความเอร็ดอร่อยหรือไม่อร่อยของอาหาร
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง
ต้องสามารถคิดวิเคราะห์ว่าข้อมูลดังกล่าวจริงเท็จอย่างไร
ความสามารถในการวิเคราะห์ข่าวสารนั้นจะเกิดไม่ได้ถ้าผู้รับข่าวสารหรือผู้
เสพสื่อ "ขาดความรู้" และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "คิดไม่เป็น"
การคิดวิเคราะห์จะต้องมีวัฒนธรรมที่ชอบสงสัย ตั้งคำถาม หาคำตอบ
แยกแยะข้อมูลข่าวสารเพื่อหาความน่าเชื่อถือ ความสอดคล้องด้วยหลักตรรก
ความมีเหตุมีผล ความสามารถในการย่อยข่าวสารดังกล่าวนี้ต้องประกอบด้วยการมีจิตวิเคราะห์โดย
มีความรู้ ข้อมูล หรือทฤษฎี เป็นฐานสำหรับการวิเคราะห์
มิฉะนั้นผู้รับข่าวสารจำนวนมากจะเหมือนกับผู้ตักอาหารใส่ปากกลืนโดยไม่ได้
เคี้ยว และบางครั้งเหมือนรับประทานอาหารในที่มืดโดยไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากลืนอะไรลง
ไป และนี่อาจเป็นที่มาของคำพูดที่ว่า "ข่าวสารล้น ความรู้ขาด"
หรืออีกนัยหนึ่ง
ความรู้ของคนที่อยู่ในสังคมที่มีความพลวัตในปัจจุบัน
ถ้าหากเป็นบุคคลซึ่งต้องวุ่นวายอยู่กับการทำมาหากินจนไม่มีเวลาที่จะศึกษา
หรือพินิจพิเคราะห์เกี่ยวกับข่าวสารที่โถมทะลวงเข้ามาจนรับไม่หวาดไหว
และเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจก็ไม่มีเวลาที่จะคิด
หรือแม้พยายามจะคิดเพื่อแยกแยะหาความจริง ที่สำคัญก็คือ ไม่มีข้อมูลอื่น
ความรู้ ทฤษฎี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการคิดวิเคราะห์เนื่องจากขาดจิตวิเคราะห์ทำ
ให้สำลักข่าวสารข้อมูล
และตัดสินใจเข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยไม่ได้พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด
เพราะไม่สามารถจะกระทำได้
จากสภาวะดังกล่าวคือ "ข่าวสารล้น ความรู้ขาด"
ทำให้สามารถปลุกกระแสการเมืองได้ด้วยการปลุกเร้าทางการเมือง
ระดมหาพรรคพวกโดยการพูดจาปลุกเร้าอารมณ์ร่วม สร้างกระแสการเมืองขึ้นมา
ในขณะเดียวกันผู้ถูกปลุกเร้าก็จะรู้สึกว่าเป็นการง่ายและสะดวกกว่าในการ
ตัดสินใจเข้ากลุ่มโดยไม่ต้องคิดให้ลำบากใจ
เพราะคิดเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะตีข่าวสารให้แตกได้เนื่องจากขาดความรู้
ที่สำคัญสภาวะของข้อมูลหรือข่าวสารที่โถมเข้ามานั้นทำให้จัดการกับข้อมูล
ข่าวสารไม่ได้ จึงถูกจูงให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อทางกระบวนการทางการเมืองและสังคม
เช่น จูงใจให้เห็นด้วยกับการกระทำที่ผู้นำความคิดบอกว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ทั้งๆ ที่ตนเองก็ไม่มั่นใจว่าถูกต้องหรือไม่
เนื่องจากไม่สามารถจะพินิจพิเคราะห์ได้ถึงความถูกความผิดของปรากฏการณ์ที่
เกิดขึ้น คนจำนวนไม่น้อยจึงถูกจูงให้คล้อยตามเป็นกลุ่ม เป็นขบวน
ประหนึ่งฝูงแกะที่นำโดยผู้ต้อนแกะเพื่อไปสู่ทิศทางที่ผู้ต้อนแกะต้องการ
จากสภาพดังกล่าวเบื้องต้น
ในระบบที่สังคมเต็มไปด้วยการพัฒนาและพลวัต
ภายใต้ยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งต้องอาศัยเสียงจากประชาชนเป็นการแสดงอำนาจอธิปไตย
และความชอบธรรมทางการเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง
กระบวนการทางการเมืองจึงเต็มไปด้วยกลยุทธ์และกลวิธี
ทำการสำรวจความรู้สึกของประชาชน
ใช้กลไกในการหาเสียงเช่นเดียวกับการโฆษณาเสมือนหนึ่งการขายสินค้าในตลาด
พร้อมๆ กันนั้นก็อาศัยสื่อมวลชนในการป้อนข้อมูลทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง
หรือเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนคล้อยตาม
โดยจุดประสงค์หลักคือการได้อำนาจรัฐจากการหย่อนบัตรของประชาชน
ผสมผสานกับการใช้เงินซื้อเสียง
จนทำให้อำนาจรัฐที่ได้มารวมทั้งความชอบธรรมทางการเมืองนั้นถูกบิดเบือนจน
เสียรูป
และนี่คืออันตรายที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
ซึ่งโดยทฤษฎีแล้วความสำเร็จของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับหลาย
ตัวแปร ตัวแปรหนึ่งคือ การมีข่าวสารข้อมูลของประชาชนและบทบาทของสื่อมวลชน
แต่ในสภาวะที่ "ข่าวสารล้น ความรู้ขาด"
กระบวนการประชาธิปไตยกลายเป็นกระบวนการของความพยายามชนะการเลือกตั้งด้วยการ
ปลุกเร้ามวลชนจากการป้อนข่าวสารข้อมูล
กระหน่ำเสมือนหนึ่งการทิ้งระเบิดปูพรมจนประชาชนไม่มีพื้นที่หลบซ้อน
และนี่คือสภาวะที่เกิดขึ้นในหลายๆ
สังคมที่พยายามพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยในขณะนี้
คำถามคือ จะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไร
ในเบื้องต้นจะต้องมีการปรับปรุงระบบการศึกษา
มุ่งเน้นในการหัดคิดวิเคราะห์แทนการท่องจำ
และเชื่อตามที่ตำราหรือครูผู้สอนเป็นผู้บอก
ความสามารถในการถกเถียงกับสิ่งที่ผู้อื่นพูดนั้นจะทำให้เกิดความกระจ่างและ
สามารถคิดเองเป็นได้ในระดับหนึ่ง ยิ่งถ้ามีการขวนขวายหาข้อมูลและความรู้
การถูกชักจูงให้เชื่อโดยข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงก็จะยากขึ้น
การแก้ไขดังที่กล่าวมานี้ต้องมีการแก้ไขวัฒนธรรมทางการศึกษาที่สอนให้เชื่อ
โดยไม่ลืมหูลืมตา และนี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด
การรับข้อมูลข่าวสารและการพยายามวิเคราะห์แยกแยะความน่าเชื่อถือของข่าวสาร
ข้อมูลนั้น นอกเหนือจากระบบการศึกษาแล้วยังขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมสังคม
รวมตลอดทั้งวัฒนธรรมการเมืองด้วย
มีตัวอย่างของสังคมหนึ่งคือสังคมอินเดียซึ่งอมาตยา เซน
ผู้ได้รับรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า
Argumentative India มีการกล่าวถึงคนอินเดียว่าเป็นคนช่างสงสัย ช่างคิด
ช่างถาม ช่างเถียง ไม่ใช่เชื่อง่ายๆ ในสิ่งที่ผู้มีอาวุโส
ครูบาอาจารย์บอกให้เชื่อ
วัฒนธรรมดังกล่าวนี้ทำให้เกิดมีการหัดคิดวิเคราะห์
ถกเถียงที่มาที่ไป ด้วยเหตุด้วยผล
ถึงแม้คนอินเดียจำนวนไม่น้อยขาดการศึกษาในระดับสูง
แต่ด้วยวัฒนธรรมดังกล่าวก็จะมีความสงสัยและการตั้งคำถามอยู่ตลอด
มีคำถามที่สำคัญคือ "ใครเคยพบแขกโง่บ้างไหม?"
ไม่ว่าจะมีอาชีพส่งหนังสือพิมพ์ ขายโรตี ขายถั่ว แขกยาม ขายผ้า ฯลฯ
จะมีลักษณะเป็นคนเฉลียวฉลาดเป็นส่วนใหญ่
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า อินเดียยังมีการใช้เงินซื้อเสียง
แต่คนจำนวนไม่น้อยจะตั้งคำถามเมื่อถูกจ้างให้ลงคะแนนเสียงถึงผลดีผลเสีย
และเหตุผลที่จะต้องทำตามผู้ว่าจ้าง ดังนั้น
เมื่อมีการตั้งโจทย์ทางการเมืองโดยผู้ใช้อำนาจรัฐ
ให้มีการถกเถียงในประเด็นดังกล่าว
ก็จะขยายเป็นการอภิปรายถกเถียงกันโดยทั่วไป
วัฒนธรรมสังคมในส่วนนี้ส่งผลถึงวัฒนธรรมทางการเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ความคิด
ความเป็นอิสระ และความเป็นตัวของตัวเอง
การถกเถียงหาเหตุและผลไม่ถูกจูงให้เชื่อโดยง่าย
จึงทำให้ประเทศอินเดียถึงแม้จะเป็นประเทศยากจนแต่ประสบความสำเร็จในการ
ปกครองแบบประชาธิปไตย
โดยเป็นประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยประชากร
1,150 ล้านคน ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 700 ล้านคน
และเหตุผลสำคัญอีกเหตุผลหนึ่งคือ
ผู้นำประเทศอินเดียมีจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย
ขณะเดียวกันประชาชนก็มีวัฒนธรรมดังกล่าวมาเบื้องต้น
และนี่คือตัวอย่างของข้อมูลข่าวสารซึ่งจะต้องย่อยด้วยความรู้และการคิด
วิเคราะห์ ในกรณีของอินเดียนั้นความรู้เรื่องการปกครองแบบประชาธิปไตยมาจากประเพณี
ปฏิบัติตั้งแต่การได้รับเอกราชจากอังกฤษ
รวมทั้งการบริหารงานอันเป็นมรดกตกทอดของรัฐบาลอังกฤษภายใต้ระบบ British
Raj อินเดียจึงเป็นตัวอย่างของการสามารถย่อยข้อมูลข่าวสารได้ในระดับที่ทำให้
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาอังกฤษประสบความสำเร็จ
ในขณะเดียวกันระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดีก็ประสบความ
สำเร็จในประเทศฟิลิปปินส์
ซึ่งได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมทางการเมืองจากสหรัฐอเมริกา
ใน ยุคข้อมูลข่าวสารที่มีลักษณะ over supply (อุปทานล้น)
แต่ระบบการศึกษา วัฒนธรรมแบบคิดวิเคราะห์ และความรู้ มีลักษณะ under
supply (อุปทานขาด)
ย่อมจะนำไปสู่การเสียดุลและความล้มเหลวของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000059366
ภาพทั่วๆ ไปของคนไทยนอกจากไม่ชอบการคิดวิเคราะห์แล้ว
ยังชอบใช้กำลังความรุนแรงในการแก้ปัญหาเมื่อมีความเห็นต่างกันด้วย
เวลาถกเถียงกันมากๆ คนไทยจะท้าตีท้าต่อยแทนที่จะใช้เหตุผลหรือปัญญา
ผมเคยไปอินเดียเห็นแขกทะเลาะกันขโมงโฉงเฉงอยู่ตั้งนาน
แต่ไม่ลงไม้ลงมือกัน ถ้าเป็นบ้านเรา ชกกันไปนานแล้ว
ที่ว่ามานี้ เราต้องลอกคราบวัฒนธรรมที่แย่ๆ ของคนไทย
ไม่งั้นสู้บ้านเมืองอื่นเขาไม่ได้
ทิวลิปดำ
++
ก็จริงอย่าว่าแหละ แต่ความรู้ไม่ใช่อยู่แต่ในชั้นเรียน
(ซึ่งเมืองไทยประสบความล้มเหลว)
รัฐน่าจะอัดความรู้ไปกับสื่อให้มาก
แต่จะทำได้เร๊อ แค่ช่องหอยอย่างเดียวก็คุมมันไม่ได้แล้ว
เอวัง
++
เห็นด้วยอย่างยิ่ง ความรู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้
ความรู้คู่คุณธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น