++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สติ เหนือกรรม (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

ทุกคนชอบบุญ ทุกคนไม่ชอบบาป
แต่ปัจจุบันก็น้อยคนนักที่ปฏิเสธคำยั่วยุต่างๆ นานาของบาป
หรือของกรรมนั่นเอง
มีน้อยคนนักที่เข้มแข็งปฏิเสธคำยั่วยุของบาปกรรมได้สำเร็จ
การทำบาปทำไม่ดีจึงไม่เบาบางจากโลก ทั้งยิ่งวันก็ยิ่งมากขึ้นทุกที

ที่รู้ได้ดังนี้ก็ด้วยเราพากันสารภาพเอง บอกเองว่า โลกทุกวันนี้มืดแล้ว
ไม่มีแสงแห่งความดีงามเพียงพอจะสู่กับอำนาจเลวร้ายของกรรม
ที่จริงเราพากันแพ้กรรม ยอมตกอยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาของกรรม ยอมคิดร้าย
พูดร้าย ทำร้าย ได้ต่างๆ นานา

ไม่ใช่เพราะเราอยากทำเช่นนั้น ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี
ไม่มีใครอยากเป็นคนชั่ว
แต่ที่พากันเป็นคนชั่วคนไม่ดีก็เพราะตกอยู่ใต้อำนาจของกรรม
โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกกรรมบัญชา ถูกกรรมสั่งให้ยอมเป็นคนไม่ดี
ความยินยอมพร้อมใจไปกับกรรมก็เพราะขาดสติอย่างสิ้นเชิง จนไม่รู้ดี
ไม่รู้ชั่ว ไม่รู้ความควร ไม่รู้ความไม่ควร

สติจึงสำคัญนัก สำคัญที่สุด
สติจะทำให้ผู้มีสติรู้ผิดรู้ชอบดังกล่าวแล้วไม่มีใครอยากทำผิด
ถ้ามีสติรู้ตัวรู้ผิดชอบ จะรู้เมื่อกรรมเข้ามาบัญชา จะไม่ยอมแพ้กรรม
นั่นก็คือจะสามารถรักษาตัวให้พ้นจากการเป็นคนคิดชั่ว คนพูดชั่ว
คนทำชั่วได้

จงเห็นความสำคัญที่สุดของสติ พยายามมีสติไว้ให้เสมอ
คือพยายามอย่าให้ขาดสติ อะไรเกิดขึ้นได้จะได้ไม่ยอมเป็นผู้แพ้กรรม
จะรู้ถูกรู้ผิด รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ชอบ อะไรจะพาไปถูกก็รู้
อะไรจะพาไปผิดก็รู้ อะไรจะพาไปดีก็รู้ อะไรจะพาไปชั่วก็รู้

ความมีสติรู้เช่นนี้สำคัญนัก ให้มีสติจริง ให้รู้จริง
จะไม่ตกอยู่ใต้บังคับบัญชาที่เลวร้ายรุนแรงของกรรม
กรรมที่ทุกคนได้ทำไว้มากมายด้วยกันทั้งนั้น
เพราะเป็นสิ่งที่สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน

อกุศลกรรมคือกรรมไม่ดี
ตามทันเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละที่จะบังคับบัญชาผู้ที่ได้ทำกรรมไม่ดีไว้
ให้ทำบาปทำชั่วต่างๆ นานา
อันจะฉุดกระชากลากถูไปสู่ห้วงเหวแห่งความชั่วร้าย
ที่จะให้โทษทุกข์รุนแรงทั้งสิ้น

: แสงส่องใจ ๑ มกราคม ๒๕๔๙
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น