ทั่วโลกตื่นเต้น ผลวิจัยพบ "ขริบจู๋" ช่วยลดเสี่ยงติดเอดส์ 60%
ทางช่องคลอด ทวารหนัก แถมแพร่เชื้อให้คู่รักน้อยกว่าชายที่ไม่ขริบ 2-3
เท่า ชี้ชาวมุสลิมติดเอดส์น้อยกว่าศาสนาอื่น ขณะที่ชายไทยขริบจู๋น้อย 10%
เหตุเข้าใจผิดว่าทำให้เซ็กซ์เสื่อม
วันที่ 28 พฤษภาคม ที่อิมแพค เมืองทองธานี
ในการประชุมสัมมนาระดับชาติเรื่องโรคเอดส์ ครั้งที่ 12 นพ.รัตน์
เชื้อชูวงศ์ นักวิจัยทางการแพทย์ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐอเมริกา
ด้านสาธารณสุข (ศรทส.) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วง
2-3 ปีที่ผ่านมา ได้
มีการศึกษาเรื่องการขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะะเพศชายว่าสามารถลดการติดเชื้อเอ
ชไอวีได้หรือไม่ ในประเทศแถบทวีปแอฟริกา เช่น แอฟริกาใต้ เคนยา อูกันดา
เนื่องจากทวีปแอฟริกามีความชุกการเกิดโรคเอดส์สูง ร้อยละ 5-20
ส่วนไทยมีความชุกเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น
โดยการศึกษาได้มีการแบ่งกลุ่มตัวอย่างชายออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ขริบหนังหุ้มอวัยวะเพศชาย
และกลุ่มที่ไม่ขริบหนังหุ้มอวัยวะเพศชาย
มีการให้ความรู้เกี่ยวเรื่องอนามัยเจริญพันธุ์
และการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ โดยติดตามผลของกลุ่มตัวอย่างนาน
42 เดือน ผลการศึกษาพบว่า
การขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายสามารถช่วยลดการติดเชื้อเอดส์จากชายสู่หญิง
ได้ โดยในประเทศแอฟริกาใต้ ทำการศึกษาจำนวน 3,274 คน สามารถป้องกันได้
ร้อยละ 61 รวมทั้งเมื่อเปรียบเทียบระหว่างชายที่ขริบ
สามารถลดการติดเชื้อมากกว่าชายที่ไม่ได้ขริบ 2-3 เท่า
นพ.รัตน์ กล่าวว่า สาเหตุที่ลดการติดเชื้อเอชไอวีได้นั้น
เพราะผิวด้านในของหนังหุ้มอวัยวะเพศชาย
มีเซลล์รับเชื้อเอชไอวีในปริมาณมาก
และเซลล์อยู่ในตำแหน่งที่ตื้นมากนอกจากนี้ยังสามารถฉีกขาด
ถลอกทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
การขริบจึงเป็นการลดบริเวณผิวด้านในของหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศทำให้ลดพื้นที่
รับเชื้อเอชไอวีลงได้ และบริเวณปลายอวัยวะเพศชายที่ไม่มีหนังหุ้มแล้ว
จะมีการสร้างสารโปรตีน (keratin) หนาขึ้น
ทำให้เชื้อเอชไอวีแทรกตัวได้ยากขึ้นโอกาสการเกิดแผลหลังมีเพศสัมพันธุ์ลดลง
นพ.รัตน์ กล่าวต่อว่า
ผลการศึกษาทางระบาดวิทยายังพบว่าผู้เติดเชื้อที่ขริบ
และมีปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีในกระแสเลือดน้อยกว่า 5
หมื่นก๊อบปี้/มิลลิลิตร จะไม่แพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้
ขณะที่คนที่ไม่ขริบจะแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้ 10 คน/100 คน/ปี
และผลการศึกษาเบื้องต้น มีแนวโน้มว่า
การขริบจะช่วยลดการติดเชื้อเอชไอวีได้ทั้งการมีเพศสัมพันธุ์ทางช่องคลอด
และทางทวารหนัก แต่ยังต้องทำการศึกษาต่อไป
"ส่วนในประเทศไทยยังไม่มีการทำวิจัยศึกษาเรื่องนี้
จึงไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าชายไทยที่ผ่านการขริบจะลดความเสี่ยงการติดเชื้อเอ
ชไอวีหรือไม่ เพราะการวิจัยที่ผ่านมาอยู่ในทวีปแอฟริกา
ซึ่งประชากรมีความต่างทั้งด้านสรีระ ชนิดของเชื้อไวรัส และศาสนา
อย่างไรก็ตาม การที่ชาวมุสลิมมีอัตราการติดเชื้อต่ำกว่าประเทศที่นับถือศาสนาอื่น
ไม่สามารถอธิบายได้ว่าอัตราการติดเชื้อต่ำกว่าศาสนาอื่นเพราะการขริบ 100%
เพราะมีปัจจัยความแตกต่างทางสังคม วัฒนธรรม ลักษณะการดำเนินชีวิต
และหลักสาสนา ดังนั้นจึงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม" นพ.รัตน์ กล่าว
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรมป้องกัน
กรมควบคุมโรค สธ.กล่าวว่า การขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย คือ
การตัดหนังบริเวณด้านหน้าขององคชาติออกเพื่อให้สามารถรูดออกเพื่อทำความ
สะอาดบริเวณส่วนปลายได้ ซึ่งผิวหนังบริเวณนี้จะมีต่อมสร้างสารที่เรียกว่า
smegma หรือขี้เปียก มีลักษณะเป็นขุยขาวๆ
หากไม่เปิดหนังหุ้มปลายล้างออกได้ จะทำให้สารดังกล่าวคั่ง
ก่อให้เกิดกลิ่น การติดเชื้อ ที่สำคัญเกิดมะเร็งที่องคชาติได้
นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงโรคอื่นๆ เช่น โรคเริม ซิฟิลิส
แผลริมอ่อน เป็นต้น
และในเด็กทารกยังช่วยลดโอกาสติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะด้วย
นพ.อนุพงศ์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย จำเป็นต้องมีการศึกษาต่อยอด
โดยเฉพาะเรื่อง ความคุ้มค่า การยอมรับของคนไทย ความพร้อมสถานพยาบาล
และภาระค่าใช้จ่ายการผ่าตัดขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายอยู่ในชุดสิทธิ
ประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือไม่ ซึ่ง ปัจจุบันมีคนไทยขริบเพียง
10% เท่านั้น เพราะเข้าใจผิดว่าจะให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ทั้งนี้
การขริบเพื่อป้องกันโรค ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการเสริมการดูแลสุขภาพ
แต่การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่ดีที่สุด คือ
การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธุ์
และลดพฤติกรรมเสี่ยงโดยการซื่อสัตย์ต่อคู่รักครอบครัว
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000059947
ขอร้องเถอะครับ งานวิจัยชิ้นนี้ออกมานานแล้ว
และถูกวิพากย์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะประเด็นที่ทำให้คนที่ได้อ่านข่าวหลงเข้าใจว่าขริบแล้วไม่ต้องใช้ถุง
ยางอนามัยป้องกัน ลองไปหาอ่านดูนะครับในต่างประเทศ
เค้าถกเถียงกันดุเดือดมากในประเด็นที่มีพวกชอบออกมาพูดบอกให้คนไปขริบโดย
อ้างงานวิจัยต่างๆ นาๆ ถ้าไม่นับสหรัฐฯ และประเทศมุสลิมแล้ว
การขริบทั่วโลกในประเทศอื่นๆ (ยกเว้นฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้)
ถือว่าน้อยมาก ประมาณกันว่าไม่เกิน 35% ของชายทั้งโลก
ทุกวันนี้มีคนไทยหลายๆ คนที่ไม่ใช่แพทย์ เที่ยวเข้าไปโพสต์ตามห้องสุขภาพ
ตามกระทู้ต่างๆ อ้างข้อมูลผิดๆ บอกให้คนไปขริบ
เช่นอ้างเรื่องการทำความสะอาด (โดนอ้างถึงอย่างข้างๆ คูๆ บ่อยที่สุด)
ทั้งๆ ที่คนทั่วไปถ้าหนังหุ้มเปิดได้เค้าก็ทำความสะอาดกันได้อยู่แล้ว
อ้างเรื่องลดความเสี่ยงมะเร็งช่องคลอด
(งานวิจัยที่เคยสนับสนุนประเด็นนี้โดน peer review
ในต่างประเทศค้านด้วยตัวเลขทางสถิติไปแล้ว)
บางคนถึงขนาดอ้างเรื่องมะเร็งองคชาติ (ซึ่งโอกาสเกิดน้อยมากๆ
จนไม่อาจเอามานับว่ามีความสำคัญทางสถิติได้) หลายๆ คนบอกเรื่อง "อึด"
ซึ่งอันนี้เป็นความจริง แต่พูดไม่หมด
มันอึดขึ้นเพราะหัวอวัยวะจะรับความรู้สึกได้น้อยลง
เกิดจากการตัดหนังหุ้มปลายที่เป็นแหล่งรวมเส้นประสาทออกไป
กอรปกับที่หัวอวัยวะเพศเกิดการด้านเพราะกระบวนการ Keratinisation
และที่ไม่ได้พูดถึงคือคนที่อายุมากแล้วมีปัญหาเรื่องการถึงจุดสุดยอดเพราะ
ร่างกายไม่ฟิต หากไปขริบรับรองได้ว่ากามตายด้านถามหาแน่นอน
คนพวกนี้บางครั้งโน้มน้าวถึงขนาดให้ตัดเส้นสองสลึงออกตอนขริบด้วย หลายๆ
คนที่หลงเชื่อพอไปถึงโรงพยาบาลกลับโดนหมอดุเอาว่าอวัยวะเพศหนังหุ้มปลายเปิด
ได้ปกติจะมาขริบทำไม แล้วจะให้ตัดเส้นสองสลึงทำไมอยากเป็นกามตายด้านเหรอ
(เส้นสองสลึงเป็นแหล่งรวมปลายเส้นประสาทที่ใช้รับความรู้สึก)
ในสหรัฐเค้าถกเถียงกันเรื่องขริบ
โดยเฉพาะพวกพ่อแม่ที่จับลูกทารกขริบตอนเกิดใหม่อย่างดุเดือดมาก
ลองไปหาอ่านดูในอินเตอร์เน็ทก็มี แล้วที่สำคัญ สมาคมกุมารแพทย์
สมาคมการแพทย์ และมูลนิธิมะเร็งในอเมริกาเค้าออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนว่า
"ไม่ควรคริบถ้าไม่มีข้อบ่งชี้" ผมอยากให้นึกเปรียบเทียบนะ
ถ้ามีคนมาบอกคุณว่าคุณควรผ่าเอาเล็บเท้าออกซะจะได้ไม่เป็นเล็บขบ
แต่คุณไม่ได้เป็นเล็บขบ คุณคิดว่าคุณควรจะทำตามคำแนะนำดังกล่าวหรือไม่?
อาจารย์ MU
+++
การขลิบ ไม่ได้เป็นการบังคับในอิสลาม (ไม่วาจิบ)
เมื่อไม่วาจิบ แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ได้สำคัญยิ่งยวด
แต่หากอาจจะเปอร์เซนต์ความสำคัญมากกว่าไม่สำคัญ
เพราะฉนั้น สิ่งนี้ก็ไม่ได้ฟันธงว่าดีที่สุด เพียวแต่บอกว่าดีกว่า
ทำให้เกิดการโต้วาที กันอย่างกว้างขวางถ้าเปิดใจกว้าง คงไม่มีปัญหา
เพราะเป็นเรื่องส่วนของแต่ละบุคคล
ถ้าคิดว่าดีก็จงทำ ไม่ดีก็อย่าทำ
จงใช้สิ่งที่พระเจ้าให้มาคิดใตร่ตรอง ให้รอบคอบ
คำตอบแต่ละคนนั้นอาจจะไม่เหมือนกัน แต่คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคน ๆ
นั้น ...
ขอบคุณครับ
มนุษย์ นะ มนุษย์
++
อาจารย์..ไม่ย้ายไปอยู่ เมกา
เลยล่ะ.....เห็นด้วยน่ะที่วิจัยนี้ค่อนข้างที่ทำให้คนเขาสับสนได้...แต่
เหตุผลดีๆอีกมากมายน่าจะยกเอามพูด....โดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้ชาย
ที่รักการดื่มน้ำเมาแล้วกลับไปมีอะไรกะภรรยาที่บ้าน(คนที่สำส่อนเที่ยว
ผู้หญิง คงมีการใส่ถุงยางป้องกัน...ไม่อยากพูดถึง)
ถามว่าจะมีสักกี่ผู้ชายสักกี่คนกันเชียวที่จะทำความสะอาด
เจ้าเข็มทองตัวเองในภาวะสติสัม. ลดลงเพราะน้ำเมา คนที่เปรียบได้ว่า
เป็นโรงงานผลิตทายาดให้คุณ คุณจะไม่ใส่ใจเขาเลยรึ
(ฉี่ก้อไม่ล้างมาทั้งวัน กิจกรรมต่างๆที่ ผช กระทำมาในแต่ละวัน
จะเปรียบเทียบกันแล้ว %ของคนที่ขลิบกะไม่คลิบ
เทียบดูละกัน)....แน่นอนละกันจะหลีกเชื้อโรคไปไม่พ้นหรอก....หรือคุณอยากให้
ลูกเรียกเชื้อโรคว่าพ่อด้วยคน(คงไม่สำราญนักหรอก---ความผิดปกติของเด็กที่
เกิดมา อาจจะเป็นสาเหตุน้อยที่มาจากการกระทำนี้--แต่ป้องกันไว้ไม่ดีกว่ารึ)...
ลูกจ้างรายวัน
++
เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ครับ การออกมาพูดเช่นนี้
จะเป็นการส่งเสริมให้มีการสำส่อนทางเพศมากขึ้นไปอีก
เพราะคิดว่าการขลิบจะทำให้ลดการติดเชื้อได้
จริงๆแล้วมันแค่ลดพื้นที่ของจุดรับเชื้อ
แต่ตำแหน่งของจุดรับเชื้อมันก็อยู่ตำแหน่งเดิม
มันก็สามารถติดเชื้อได้เหมือนเดิม ไม่ได้หมายความว่า ผู้ชาย 100 คน
ที่ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเอดส์ แล้วติดเชื้อแค่ 40 คน ?
คุณหมอในข่าว จะช่วย promote ให้โรงพยาบาลต่างๆ
จะได้มีคนเข้าใช้บริการมากขึ้นหรือครับ
คนที่มีปัญหาขี้เปียกอย่างที่กล่าวในบทความคือผู้ที่ไม่สามารถรูดเปิดหัว
อวัยวะเพศออกมาทำความสะอาดได้ ถ้าของใคร สามารถทำความสะอาดได้ตามปกติ
ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปขลิบเลยครับ
อย่ามั่ว
++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น