++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

ภัยที่ไม่มีการประกัน (ภริยาภัย)

"หลวงเมือง"


ไปศาจนิยายมหาโหด
ปฐมเหตุของการกลัว
เมียที่จารึกผนึกแน่น ณ
ดวงใจของชายทุกคน

ท่ามกลางความเป็นอยู่ของมนุษย์และสัตว์ต่างๆ ที่มีขนาดตั้งแต่นกกระจิบขึ้นมา มักจะมีความกลัว แม้แต่แมงมุม "เสือแมลงวัน" ก็ยังแสดงความกลัวให้เห็นได้ชัดเมื่อผจญกับอะไรก็ตามที่มันคิดว่าเป็นศัตรู ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยใช้กระจกเงาบานเล็กๆ ซึ่งได้รับแจกมาจาก กทม. แผนกอนุรักษ์ "ฟัน" นำไปส่องแมงมุมที่เรียกว่า "เสือแมลงวัน" และตัวมันก็นิดเดียว แต่พอมันเห็นเงาตัวเองในกระจก ก็แสดงกิริยาคุกคามต่างๆ เมื่อเงาในกระจกทำตามอย่างก็เลยเผ่นหนีไป

เคยมีผู้ถามว่า คนเราและสัตว์ต่างๆที่มี "ใจ" ครองนั้นกลัวอะไร
แน่นอน ทุกชีวิตกลัวความตาย หรือ "กลัวตาย" ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ก็มีข้อยกเว้นตามระเบียบ แต่ใครก็ตามที่ไม่กลัวตาย ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกัน แต่ "ตายหนเดียว" ผิดกับคนกลัวตายนั้น จะตายบ่อยที่สุด
ความกลัวตายเนื่องมาจากการเห็นซากศพที่กำลังขึ้นอืดเน่าเฟะของมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเมือตายลงแล้ว มนุษย์ยุคนั้นไม่รู้ว่าตาย นึกว่าคงจะนอนหลับเหมือนอย่างที่รู้ๆเห็นๆกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่มีอยู่วันหนึ่งที่มีใครคนหนึ่งนอนแล้วไม่ตื่น แดดส่องหน้าก็ไม่ตื่น ขนาดเพื่อนๆ ไปล่าสัตว์กลับมาแล้วก็ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง แล้วส่งกลิ่นเหม็นเน่าอย่างอ่อนๆก่อน ต่อมาก็รุนแรงขึ้นจนต้องอพยพไปตั้งชมรมหรือชุมชนกันใหม่
และนี่เป็นศาสตร์ว่าด้วยการย้ายถิ่นฐานมนุษย์ ซึ่งมาจากการหนีผีเท่านั้น

คนไทยเราเรียกคนตายว่า "ผี"
เช่นสำนวนร้อยแก้วว่า "ฝากผี ฝากไข้"
หรือสำนวนร้อยกรองว่า
"ถึงเราม้วยก็อย่ามาดูผี"

ที่เรียกอย่างนั้นก็เป็นศัพท์ทางภาษาไทยโดยเฉพาะ แต่การที่เรียก "ผี" อย่างคุณนาย "นาค พระโขนง" ว่าผี ก็เพราะว่าผีที่ปรากฏให้เห็นๆกันนั้น มีรุปร่างและบุคลิกภาพเหมือนศพที่เน่าแล้วนั่นเอง ต่อมาเมื่อความรู้เรื่อง "ผีวิทยา" หรือ "ไปศาจศาสตร์ศึกษา" แพร่หลายกว้างขวางมากขึ้น ทำให้แม้แต่เด็กๆชั้นอนุบาลก็ยังรู้จักผี และสามารถแสดงความ "กลัวผี" ได้ด้วย อันเป็นความกลัวระดับพื้นฐานของอารยชนเหมือนกัน เพราะถ้าไม่กลัวผีก็ไม่ทราบว่าจะไปกลัวอะไร ให้เหมาะสมกว่านั้นอีกแล้ว

แต่เรื่องที่จะได้รวบรวมและเรียบเรียงมาเสนอท่านผู้อ่านทั้งหลาย ผู้มีสติและรักชาติต่อไปนี้นั้น เป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเป้นผู้กล้าหาญตามปกติธรรมดาของลูกผู้ชายทั้วไป มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆตามสมควร เช่น รู้ว่าถ้านำดอกอัญชัญไปชุบที่น้ำด่าง ..บ๊ะ หรือ กรด....เอ๊ะ อย่างไรก็ไม่แน่ ดอกไม้นั้น ดอกอะไรก็จะไม่ได้ จะกลายเป็นสีม่วงหรือสีอะไรก็จะไม่ได้ แต่เคยมีผู้อธิบายให้ฟังถึงวิธีการทำปลาหมึกที่ใช้ใส่เยนเตาโฟว่า ต้องใช้น้ำด่าง
"ขนมจ้าง" (ไม่ใช่บ๊ะจ่าง) ก็ใส่ด่าง

เขา- ผู้ซึ่งอยู่ในโลกของความไม่กลัวผีนี้เอง ได้เคยพาเพื่อนหลายคน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย ไปที่ป่าช้าวัดศาลาครืนในเวลาโพล้เพล้ตะวันจะชิงพลบ แล้วใช้ก้อนอิฐขว้างเข้าไปที่กุดังเก็บศพ พร้อมทั้งร้องขรมว่า
"ผีหลอกโว้ย...ผีหลอกโว้ย"
ทำอย่างนี้อยู่สามวันติดๆกัน เย็นวันหนึ่งเพื่อนอีกคนหนึ่งในจำนวนนั้นเดินผ่านป่าช้านั้นคนเดียวว่องไวเพราะกลัวผี ก็มีเสียงร้องตะโกนออกมาว่า
"ไม่ได้หลอกเอ็งนะ...พวกข้าไม่หลอกใคร"
เขาวิ่งเสียตับแทบทรุดและไม่สบายไปหลายวัน
ชายคนที่ไม่กลัวผีนี้เองเขาเป็นคนที่มีฐานะดี ความจริงจะหาภริยาที่ "พอไปวัดไปวา" สักกี่คนก็คงจะหาได้ แต่เขาเป็นเจ้าหนี้ "ป้าปลั่ง" อยู่จำนวนหนึ่ง เนื่องจากว่าลูกสาวของแกเจ็บหนักจวนเจียนจะตายมิตายแหล่ เงินทองที่ใช้ในการรักษาก็หมดไม่มีเหลือ ในที่สุดป้าปลั่งแกก็ไปขอกู้เงินสดมาจากชายผู้นี้จำนวนหมื่น เพราะคิดว่าถ้าลูกสาวไม่ตายคงจะหามาใช้ให้ได้ หรือคิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องไป "ตายดาบหน้า" ดีกว่า

ลูกสาวของป้าปลั่งหยุดหายใจไปหนหนึ่ง แล้วได้ช่วยกันอย่างพัลวันในหมู่ญาติ เธอจึงกลับหายใจได้อีก และหลังจากนั้นก็ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ
ผู้สันทัดกรณีในการเจ็บไข้คนหนึ่งกล่าวว่า มีโรคบางอย่างที่ทำให้คนเจ็บที่ทุเลานั้นกลับตายลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เช่น โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เป็นต้น เมื่อกำลังเป็นโรคนั้นอย่างหนัก ลำไส้ก็เป็นแผลและตกสะเก็ด ต่อมา เมื่ออาการทุเลา สะเก็ดก็หลุดออก ผนังลำไส้ก็จะเป็นหลุมเป็นบ่อและบางมาก ผู้ที่หายป่วยใหม่ๆมักหิวข้าว กินข้าวได้มาก พอกินข้าวเข้าไปเยอะๆ ลำไส้ทะลุ และมักจะตายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โบราณท่านสังเกตเห็นเช่นนี้ จึงมักจะไม่ยอมให้คนหายใหม่ๆกินอาหารที่ย่อยยากๆ แต่มักจะให้กินข้าว "จานน้ำร้อน" หรือ ข้าวต้ม ปลาแห้งย่าง ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อสะดวกในการย่อยง่าย ผู้ที่กล่าวความข้อนี้มิใช่แพทย์แผนอะไรใดๆทั้งสิ้น แต่มีเมียเป็นหมอนวดและอาจจะเคยนวด "หมอ" อื่นๆ มาบ้าง เลยล้วงถามความลับมาเล่าสู่กันฟังได้พอสมควร


เมื่อลูกสาวป้าปลั่งหายวันหายคืน และแข็งแรงขึ้นแล้ว ป้าปลั่งก็พาลูกสาวแกไปกราบไหว้ชายเจ้าหนี้คนนี้ ชายเจ้าหนี้เห็นหน้าหล่อนเข้า (ลูกสาวป้าปลั่ง) ก็เกิดความปฏิพัทธ์เสน่หาขึ้นมาทันที
มิช้ามินานก็ให้คนสนิทไปเลียบเคียงติดต่อสอบถามป้าปลั่งว่า ลูกสาวมีคู่รักหรือยัง ถ้ายังไม่มี นายของตน (เจ้าหนี้เก่า) จะขอแต่งงานด้วยตามประเพณีและกฎหมายแพ่งพานิชบรรพห้า ยังจะได้หรือหาไม่ประการใด
ป้าปลั่งแกไม่บังคับลูกผัวอยู่แล้ว จึงขอเวลาสอบถามลูกสาวของแกก่อน ในที่สุดก็รู้ว่าลูกสาวไม่รักชายคนนั้นหรือคนใดในโลก โดยกล่าวว่า หล่อนจะอยู่ต่อไปอีกไม่นานนัก เพราะสังหรณ์ใจว่าจะอายุสั้น แต่แม่ขอร้องว่า เราเป็นหนี้เขาตั้งสามหมื่น ไม่มีปัญญาใช้เขาเลย ลำพังแต่ค่าดอกเบี้ยเดือนละ 750 บาท จะแย่อยู่แล้ว ยังดีที่เขาคิดดอกจากเราร้อยละสิบสลึงเท่านั้นต่อเดือน บางแห่งเขาคิดร้อยละห้าต่อเดือน บางแห่งคิดร้อยละสาบสิบต่อวันก็มี
ในที่สุดเมื่อแม่ร้องไห้เล็กน้อย ลูกสาวก็ยอมตกลงด้วย แต่โดยมีข้อแม้ว่า ชายคนนั้นต้องยอมสบถสบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะอยู่กินกับเธอไปจนวันตาย เว้นแต่เธอจะหนีไป หรือป่วยหนักหรือตายหรือไม่รู้สึกตัวด้วยประการต่างๆ หรือวิกลจริต เข้าจึงมีเมียใหม่ได้

หมอนั่นตกลง เพราะต่อให้มีข้อสัญญามากกว่านี้ก็ตกลงอยู่แล้ว
เรียกว่า "ไปตายดายหน้า" เหมือนกัน
การแต่งงานก้เกิดขึ้นอย่างสมเกียรติของฝ่ายชาย มีญาติมิตรและแขกเหรื่อที่มีเกียรติและไม่มีเกียรติ (ตามความรู้สึกของแขกต่อแขกกันเอง) ไปกันคับคั่งมาก เพราะบริเวณงานคับแคบ
คืนนั้น เจ้าบ่าว (สามี) ก็ได้สนทนากับเจ้าสาว (ภริยา) ตามระเบียบ ด้วยการกล่าวอารัมภบทว่า ทุกคนเกิดมาก็ย่อมจะต้องมีเพื่อนสนิทที่สุด เพื่อนที่สนิทที่สุดในโลกของมนุษย์ทุกคนนั้น ไม่มีใครจะมาสนิทกับเราเท่ากับสามีหรือภริยาของเราเอง ความเป็นภริยาสามีเป็นเครื่องเชื่อมประสานให้ดวงใจของมนุษย์ สนิทกันแนบแน่น

เขาไม่ปล้ำเจ้าสาวของเขา ไม่พยายามเอายาบำรุงกำลังต่างๆให้กินหรือเอายานอนหลับมาฉีดหรือให้ดมเพื่อ "ลักหลับ" ตามระเบียบ แต่พยายามทำในสิ่งที่เจ้าบ่าวควรทำ คือ "เกี้ยว" เจ้าสาวของตนเอง
แม้แต่ในกรณีที่แอบอยู่ด้วยกันเงียบๆ มาสองปีเศษ ก็ยังมีการเกี้ยวกันตามระเบียบ
แต่มีผู้กล่าวว่า ตามหลักของ "สมรสวิทยา" นั้น การแอบอยู่ด้วยกันมีความสุขมากกว่า เมื่ออยู่ด้วยกันโดยเปิดเผย เพราะการอยู่ด้วยกันโดยเปิดเผย ไม่ว่าจะด้วยระบบแต่งงานหรืออะไรก็ตาม ทำให้เกิดภาวะ "จำเจ-จำเจ"

อย่างที่ร้องกันว่า "เตร่จนหนาวใจ กลับมาเจอกันใหม่ จำเจจำเจ ...เป๊กพ่อ"
เมื่อเจ้าบ่าวเข้าไปนอนในมุ้งแต่ยังไม่นอนหลับ ได้นั่งข้างๆเจ้าสาวซึ่งนั่งหันหลังให้แล้วเกลี้ยกล่อม โดยการขอ "ถูกเนื้อต้องตัว" เล็กๆน้อยๆไปก่อน เรียกเป็นภาษาต่างประเทศว่า "แต๊ะอั๋ง"
ในที่สุด เมื่อเจ้าบ่าวชักจะมีอาการตกมันเพียงเล็กน้อย เจ้าสาวจึงหันมาบอกให้เจ้าบ่าวนอนลงและ
"ฟังอะไรๆสักหน่อยก่อนที่จะตกลงใจทำอะไรต่อไป"
ตอนนั้นเจ้าบ่าวก็ชักเอะใจเหมือนกัน เพราะสุ้มเสียงของเจ้าสาวไม่เป็นผู้หญิงเสียเลย

เจ้าสาวเล่าเหมือนพูดถึงคนอื่น มิใช่พูดถึงตัวของเธอเองให้เจ้าบ่าวฟัง เจ้าบ่าวผู้ซึ่งนอนทำตาปริบๆอยู่ในความมืดอย่างเลือนลาง มีความรู้สึกเหมือนจรวดออกนอกโลกกำลังจะติดเครื่อง และเขาเป็นคนหนึ่งในจำนวนมนุษย์อวกาศนั้น
หล่อนกล่าวถึงตอนที่หล่อนเริ่มไม่สบาย และในที่สุดก็บอกว่า

"ข้าก็เห็นนางหนูเยื้อน (หล่อนชื่อนางสาวเยื้อนยิ้ม) นี่มันเจ็บมาก และรู้ต่อมาว่ามันตายแน่ ข้าก็เลยเฝ้าอยู่ พอมันหยุดหาย ข้าก็เข้าร่างของมันทันที เพราะตอนที่ข้าตายนั้นข้าตายไม่รู้ตัว จิตวิญญาณของข้าจึงแข็งมาก แต่ไม่มีใครสังเกตหรอกว่า ข้าไม่เหมือนใคร..."
ว่าแล้วก็มีมือเย็นๆมาจับมือเจ้าบ่าวให้คลำข้อมือเจ้าสาว พลางกล่าวว่า

"เห็นไหมว่าชีพจรไม่มี"
เจ้าบ่าวอึดอัดใจมาก พยายามผงกศีรษะขึ้นจะนั่ง แต่ถูกกดให้นอนลงไปตามเดิมด้วยกำลังที่เหนือกว่ามาก
"ข้ายอมเป็นเมียเอ็งไม่ได้ เพราะข้าก็เป็นอย่างเอ็งนั่นแหละ ถ้าข้าออกจากร่างนางเยื้อนนี่ ร่างมันก็เน่า แล้วเอ็งจะว่าอย่างไร ในเมื่อผู้หญิงแต่งกับเอ็งได้เพียงไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ตาย และตายแล้วยังเน่าทันทีเสียด้วย ไม่มีแพทย์คนไหนหรอกที่จะเชื่อว่าหล่อนเพิ่งจะตาย..."


"โธ่....น้องก็ช่างไปสรรหาอะไรมาเล่าให้เสียความรู้สึกในวันแต่งงานของเราหมด แต่ก็...อี๊ยย์...ยี้...ทำไมตัวน้องเย็นจังเลย ...แล้วก็เหม็นๆชอบกล...."
"ทำไมจะไม่เหม็น...ในเมื่อกูไม่ได้อาบน้ำเลยตั้งแต่นังเยื้อนนี่มันหายเจ็บ...."
"แล้วคุณพ่อกินอะไรครับ...." เจ้าบ่าวยอมแพ้ ถามขึ้นอย่างต้องการประจบผีในร่างของเจ้าสาว
"ก็นี่แหละที่เราจะต้องเจรจากัน.... ข้าไม่ใช่ผีที่จะสามารถบอกเลขท้ายอะไรให้ใครได้ แต่ข้าก็สัญญาว่าจะไม่ล้วงไส้ของเอ็งหรือของใครๆมากิน ตราบเท่าที่เอ็งยังสามารถหาไก่สดๆหรือเป็ดสดๆ มาให้กินได้วันละตัว แต่ถ้าไม่มีเงินซื้อจริงๆ แมวก็ยังได้นะวะ...แมวเป็นๆนั่นแหละ"

"อ้วก....เอ๊ย ขอโทษครับพ่อ ..แมวเป็นๆ แหม ลูกได้ยินแล้วอยากตายจริงๆ"
เขากล่าวแล้วก็ดิ้นรนจนตกเตียง พอลุกขึ้นได้ก็วิ่งปร๋อไปที่ริมหน้าต่าง พยายามจะปีนขึ้นไป แต่เยื้อนยิ้มเจ้าสาวก็เอื้อมมือยาวประมาณสามหรือสี่วาไปคว้าคอของเขาไว้ได้ และแน่นหนามากด้วย ค่อยๆลากเจ้าบ่าวกลับมาที่เตียง และบอกว่า ถ้าไม่เห็นฤทธิ์ของพ่อละก็ พ่อจะหักคอเอ็งให้หมุนได้รอบเลยทีเดียว
สามีภริยาคู่นี้ก็ยังอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาหลายปี ต่อมาภริยาได้เขียนจดหมายบอกกล่าวว่า หล่อนหมดรักในชายผู้เป็นสามี และได้หนีตามพระเอกลิเกคนหนึ่งไปเสียเพื่อแสวงหารักใหม่ที่สดใสกว่าเก่า

ต่อมา สามีก็ฝันว่า ผีตัวที่เข้าสิงภริยาของเขานั้นมาบอกว่า ได้ไปโดดน้ำตายเพื่อสำรอกวิญญาณออกจากร่างของภริยาของเขา เพราะไม่สามารถจะสิงอยู่ได้อีกต่อไปเนื่องจากร่างกายนั้นโทรมมากเกินไปเสียแล้ว
เรื่องผีนี้เป็นเรื่องที่มีจริง แต่คนโดยมากไม่ค่อยเชื่อ แม้แต่คนที่ถูกผีหลอกมานานๆ ก็ชักจะไม่ค่อยเชื่อเหมือนกัน จะเชื่อหรือหวาดระแวงก็ต่อเมื่ออยู่คนเดียวในที่เปลี่ยวๆเท่านั้น

ครั้งหนึ่ง ชายคนหนึ่งไปหาหวยที่โคนต้นมะขามใหญ่ เกือบถึงวัดใหม่กลางคลองเมื่อระหว่างสงครามโลกครั้งที่แล้วเพิ่งจะยุติลงไม่นานนัก

เขานั่งยองๆจุดธูปอยู่โคนต้น มีน้ำหยดแหมะๆลงมาจากข้างบน เอามือไปลูบและมาดมโดยอัตโนมัติก็รู้สึกแทบสลบเพราะเหม็นที่สุด
เขาแหงนหน้าขึ้นไป เห็นร่างขาวโพลนขนาดใหญ่นั่งพุงพลุ้ยอ้าขาผวาปีกอยู่บนกิ่งมะขามสูงเลยศีรษะของเขาไปไม่มากนัก
ดวงตาโตเท่าไข่ห่าน เป็นร่างกายมนุษย์ที่กำลังเน่าเฟะอย่างมหาวินาศที่สุด เท่าที่เขาจะเคยพบเห็นมาก่อน เขานั่งสงบใจและพยายามสวดมนต์ แต่ก็ได้ยินเสียงพูดว่า
"ฉันไม่เห็นแก่ได้หรอก... ถ้าจะขอหวย ไปขอที่หลังป่าช้านั่นซี ....แถวนั้นแหละมีแต่พวกผีที่โลภโมห์โทสันกันทั้งนั้น...ตายอดตายอยากทุกตัวเลย...."

"อีตอแหล...." มีเสียงพูดมาจากยอดหมากต้นหนึ่งซึ่งห่างไปไม่มากนัก "ไม่มีใครหรอกที่เขาจะโลภอยากได้สินบนของคน... เขาสงสารหรอกว้าถึงได้ให้หวยน่ะ"
ชายคนนี้กลับไปบ้านแล้วไม่พูดไม่จาไปตั้งสามวันสามคืน ใครพูดอะไรก็ไม่ยอมพูดด้วย
ภัยที่เกิดจากภริยา (ภริยาภัย) ภัยที่เกิดจากผีปีศาจ (ไปศาจภัย) และภัยที่เกิดจากคุณไสย (อาถรรพภัย) เป็นภัยที่ไม่มีบริษัทประกันภัยใดๆรับประกัน

อันที่จริงก็น่าจะมีเพราะมีผู้สามารถพิสูจน์ได้ว่า รถยนต์ รถไฟ ที่แล่นได้เองนั้นส่วนมากมีผีสิง อย่างเดียวกับปืนซึ่งมีผีสิงเหมือนกัน คนไทยเรามีคำว่า
"ผีผลัก" หมายความว่า เหตุร้ายที่เกิดโดยไม่ตั้งใจ เช่น แกล้งเงื้อดาบจะฟันเพื่อนฝูงแล้วเกิดฟันฉับลงไปจริงๆ นั่นแหละที่เรียกว่า "ผีผลัก"

รถไฟที่แล่นได้เองก็ถูกผีผลักเครื่องยนต์เหมือนกัน สวัสดี







ที่มา ต่วยตูน เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๐ ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๙

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น