++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

ของที่ระลึก

โอภาส เพ็งเจริญ

"เหอ-รี่ เหอ-รี่" ใครก้ไม่รู้ ไม่รู้ว่าใคร มายืนร้องบอกอย่างว่าอยู่ข้างๆหู ขณะที่ผมยืนท่องเที่ยวอยู่ในร้านขายเครื่องเซรามิคส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อคราวไปเชียงใหม่หนล่าสุด ได้ฟังดังนั้นให้รู้สึกข้องใจเป็นพัลวัน จึงหันขวับไปมอง ใจหนึ่งคิดว่า แหม สู้อุตส่าห์เดินทางออกจากกรุงเทพมหานครมาตั้งไกลร่วมเจ็ดร้อยกว่ากิโลเมตรแล้ว ยังมีใครที่ไหนมารู้จักทักทายหรือบอกกล่าวอะไรพรรค์อย่างนั้นอีก แต่เปล่า เมื่อหันไปมองไม่ใช่ใครหรอก ไม่รู้ใครนั่นเอง แล้วเขาไม่ได้พูดกับผมเสียด้วยซิ หากแต่พูดกับคนอื่นที่ยืนท่องเที่ยวอยู่ในร้านเดียวกับผม บังเอิญหมอนั่นยืนเกือบติดตัวผม หมอคนที่มาพูด "เหอ-รี่ เหอ-รี่" ให้ผมได้ยินเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงเสือกตัวเองเข้ามายืนจนชิดหมดคนนั้น ขณะเดียวกันก็ชิดตัวผมด้วย ดังนั้น พอหมอพูดว่า "เหอ-รี่ เหอ-รี่" ผมจึงได้ยินด้วย

พินิจดูแล้ว นายคนที่มาใหม่ หน้าตาละม้ายกับคนไทยเราตอนดีๆนี่เอง แต่สำเนียงพูดดูไม่คล้าย ยิ่งดูอากัปกิริยาประกอบด้วยแล้ว ถึงไม่สันทัดภาษาไทยนัก แต่พอเข้าใจได้ทันทีทันใดว่า นายคนนั้นต้องไม่ใช่คนไทย ยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่หลังจากนั้น เพราะหมอพูด "เหอ-รี่" ซ้ำอีกพร้อมกับตบไหล่เจ้าคนที่ยืนอยู่ข้างๆผมแต่แรก แล้วพูดอะไรต่อมิอะไรอีกไม่รู้ที่ผมถ่ายทอดออกมา ให้คล้ายกับภาษาไทยไม่ได้ เพราะฟังแล้ว ไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถลากมาให้เข้าเรื่องนิดๆหน่อยๆ ได้อย่างที่หมอพูดตอนแรก

ตบบ่าตบไหล่กันพอหอมปากหอมคอแล้ว ทั้งสองคุณนั่นก็จากไป ทิ้งผมไว้กับใครและคุณอะไรต่อคุณอะไรก็ไม่รู้อีกหลายๆคุณในร้าน ซึ่งเข้าใจว่าจะมีเจ้าของร้าน พนักงานขายของในร้านรวมอยู่ด้วย

ผมไปของผมมั่งละซิ จะยืนท่องเที่ยวเดินท่องเที่ยวอยู่แต่ในร้านขายเซรามิคส์ร้านเดียวกระไรได้ เพราะในนั้นไม่เห็นมีอะไรให้ดูเลย (ว่าไปแล้ว มีให้ดูเยอะเชียว แต่ดูแล้วคะเนว่าเขาคงไม่ให้ นอกจากต้องซื้อ) ที่เห็น - มี (ต้องวรรคนิดหนึ่ง เดี๋ยวจะหาว่าเล่าเรื่องเที่ยวเมืองเชียงใหม่คราวนี้ - เห็นอย่างเดียวนั้นแหละ) แต่ลูกหมา ลูกแมว ลูกกระต่าย พ่อกระต่าย พ่อช้างแม่ช้างเท่านั้น ลองเดินๆดูหมู ก็ไม่เห็น - มี ตอนจะออกจากร้านนั่นละถึงได้เห็นแม่หมูตัวหนึ่งนอนอยู่บนชั้นวางบริเวณประตูทางเข้า แถมเป็นหมูตายเสียด้วย ไม่รู้จะซื้อหาไปทำไม ดูท่าทางนอนของหมูก็รู้แล้วว่าตายมานานทีเดียว

เดินออกจากร้านขายเซรามิคส์นั่นลงบันไดมา เอามือล้วงจักแร้ เพราะอากาศค่อนข้างหนาวสำหรับผม ใครจะทดลองปฏิบัติบ้าง ก้ไม่ว่าจะไม่สงวนลิขสิทธิ์แต่อย่างใด แต่อย่าดันเอามือขวาไปล้วงจักแร้ขวามือซ้ายล้วงจักแร้ซ้ายเข้าล่ะ ใครเดินผ่านมาเขาจะหาว่าบ้าเพราะท่าทางมันพิลึก เพียงแค่เอาจักแร้ขวาล้วงด้วยมือซ้าย แล้วให้จักแร้ซ้ายถูกล้วงด้วยมือขวา อย่างนี้คนยังมองกันเลย เพราะคนอื่นๆเขาเพียงแค่เอามือกอดอก เพือแสดงกิริยาและผ่อนคลายความหนาวกันเท่านั้น

ผมเดินลงบันไดมา -ไนท์บาร์ซ่าร์ นั่นแหละ ว่าจะไม่บอกแล้วเชียวว่าที่ไหน เอ้า ! บอกไปแล้วก็บอกไปเลยไม่เห็นจะ เป็นความลับอะไร ใครไปเที่ยวเชียงใหม่แล้วค้างคืนในตัวเมือง เห็นไปเที่ยวที่นั่นกันทั้งนั้น ผมจึงไปเที่ยวบ้างไม่เห็นจะเป็นไร (ความจริงไม่บ้างล่ะ ไปทีไรเป็นต้องไปเดินแถวๆนั้นทุกที) ถึงไหนแล้วล่ะ อ้อ เดินลงจากบันไดของไนท์บาร์ซ่าร์ ระหว่างนั้น คุณอะไรต่อคุณอะไรเเดินขึ้นบ้าง เดินลงบ้าง ผมไม่ได้เห็นอะไรผิดปกติ แต่ระหว่างที่เดินลงยังไม่ถึงฟุตบาทนั่น พลันสายตาบังเอิญแกว่งไปเจอคุณแหม่มคนหนึ่ง เดินสวนขึ้นมา คุณแกแกว่งอะไรต่อมิอะไรของแก (ที่มิใช่มือขึ้นมาด้วย) เหมือนจะท้าทายความหนาวเย็นของอากาศเชียงใหม่ คืนนั้นว่าไม่ได้สร้างความสะทกสะท้านให้กับ อะไรส่วนไหนของแกเลย


เห็นดังนั้น ผมจึงไม่ "เหอ-รี่" เดินลงอย่างที่ตั้งใจไว้ ชะงักเท้าชะงักสายตามองอะไรคุณแหม่มแกเพลินๆ กระทั่งแกสวนไปจึงเหลียวหลังไปมองอีกนิดแล้วเดินจากมา ทีแรกไม่ได้สังเกตอะไรหรอก เดินสวนกับใครๆก็ผ่านไปธรรมดา แต่หลังจากสวนกับคุณแหม่มรายนั้นแล้ว ทีนี้พอมีคุณแหม่มรายอื่นๆเดินสวนมาอีก ผมก็หัดเป็นคนช่างสังเกตขึ้นมาบ้าง เท่าที่สังเกตมา ส่วนใหญ่คุณแหม่มต่างๆเหล่านั้น ไม่ค่อยขี้หนาวอย่างผมเลย

ออกจากตรงนั้น เดินทอดน่องทอดขาไปเรื่อยๆ ตามประสานักท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยจะรู้จักที่เที่ยว จะไปเดินเที่ยวในที่มืดๆ ก็ไม่กล้า จำต้องตัดสินใจเดินเที่ยวในที่สว่างๆ ย่านนั้นเพื่อเป็นการทำร้ายประหารและพิฆาตเวลา



ที่มา ต่วยตูน เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๐ ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๙

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น