ประพันธ์ บุญกลิ่นขจร
ปี 2528เหตุไฉนมวลมนุษย์จึงได้ล้มตายกันนักหนา ตายกันเป็นเบือทั้งจากการตั้งใจและไม่ตั้งใจ และทั้งภัยธรรมชาติ ก็คงจะไม่มีใครตอบได้หรอกนะครับ
ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมนึกถึงนกที่แสนดีชนิดหนึ่ง ซึ่งเราเรียกว่า แร้ง หรือ อีแร้ง ได้จังหวะที่จะพูดถึงซะทีนึง ทั้งๆที่เคยคิดจะเขียนถึงมาหลายหนแล้ว แต่เกรงว่าจะถูกต่อว่าว่าไม่มีอะไรที่มันน่ารักกว่านี้จะเขียนถึงอีกแล้วรึไง ครับ...ผมก็มนุษย์เดินดินกินข้าวแกงไทยคนหนึ่งนี่แหละ พุดถึงคนตายก็นึกถึงนกยี่ห้อนี้ หรืออีกนัยหนึ่งพูดถึงนกยี่ห้อนี้ก็นึกถึงซากศพอยู่บ่อยๆ ปี 2528 ผู้คนเท่งทึงกันดีนัก ผมเอาเรื่องแร้งมาเขียนแก้เคล็ดซะวันนี้ แหละ อาจจะบรรเทาเหตุพรรณยังว่าได้บ้าง หวังลมๆแล้งๆไว้ยังงี้แหละครับ เชยดี
ใช่ว่าแต่คนไทยเท่านั้นนะครับ ที่พูดถึงแร้งก็นึกถึงซากศพ ผู้คนทั่วโลกอีกมากมายก็นึกอย่างนั้น นอกากนึกยังงั้นแล้ว ยังแถมมีอคติต่อมันอีกหลายประการ อย่างเช่นถูกมองว่า เอาแต่บินโฉบไปมาฉวยโอกาสทันทีเมื่อถึงเวลา ตะกละ ตะกลาม สกปรก โสโครก เหม็นสาบ ตัวซวย ฯลฯ ไม่มีภาพพจน์ในทางดีเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
แร้งเองก็มีเหตุผลของตัวเองอยู่เหมือนกัน มันรู้แต่ว่า มันเป็นนกชนิดหนึ่งมีนิสัยชอบกินแต่สัตว์ที่ตายแล้ว เพราะงั้นจึงสนใจอยู่แต่เรื่องความตายของผู้อื่นมากกว่าอะไรใดๆทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรมันก็รู้ตัวและยอมรับว่ามันออกจะมูมมามในการกินอยู่มากทีเดียว อ่านเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะรู้เองว่ามันมีเหตุผลที่น่าจะอภัยให้มันได้
บางที ภาพแร้งกำลังทึ้งซากศพอย่างที่หื่นกระหายอาจทำให้มนุษย์บางคนหยุดคิดถึงความตายของตนเองขึ้นมาบ้าง กิเลสตัณหาอาจจะเบาบางลงได้ นับว่าเป็นส่วนดีของมันถ้าเราจะยอมให้เกียรติแก่มันมั่ง แต่ก๋นั่นแหละครับ จะมีซักกี่คนกันที่นึกถึงส่วนดีของมัน ส่วนใหญ่เมื่อได้เห็นอุปนิสัยและรูปร่างที่แสนจะอาภัพหาความงามบ่มิได้ และยังแถมหัวโล้นคอเลี่ยนปราศจากขน ลำตัวเป็นสีสกปรก ปีกมันจะห้อยย้อยเหมือนนกปีกหัก พาลอยากจะเรียกว่า อสุรกายซะด้วยซ้ำไป
ความอาภัพของแร้งมิได้มีอยู่แค่นั้น เสียงยังอาภัพอีกด้วย มันไม่มีองคาพยพที่ช่วยให้เกิดเสียงดนตรีได้เหมือนนกชนิดอื่นมากมาย หลายชนิดที่สามารถร้องเสียงสูงเสียงต่ำได้ เสียงที่แร้งเปล่งออกมานั้นไม่ชวนฟัง แต่มันก็ทำดีที่สุดแล้วละครับ เวลามันมีอารมณ์นั่นแหละ มันจึงจะแค่นร้องออกมา อธิบายยากครับ ผมจะยกตัวอย่างโดยจำมาเล่าต่อสักตัวอย่างหนึ่ง ว่ากันว่า เวลามันเกิดอารมณ์จะเล่นบทอัศจรรย์กันนั้น มันจะส่งเสียงออกมา เสียงนั้นละม้ายคล้ายคลึงไปทางเสียงชาวนาลากจอบไปบนพื้นซีเมนต์ โปรดมโนภาพและมโนเสียงเอาเองเถอะครับว่ามันเสนาะหูขนาดไหน
มนุษย์ในโลกนี้ อย่างน้อยก็มี นายดีน อเมดอน คนหนึ่งละที่พยายามทำความเข้าใจกับคนทั่วไป ให้มองแร้งในแง่ดีกันเสียบ้าง คุณดีนแกเป็นนักปักษีวิทยาแห่งพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติในนิวยอร์ค เขาพยายามบอกว่า แร้งนั้นดำแต่นอก ในแผ้วผ่องเนื้อนพคุณนะยะ รูปร่างอัปลักษณ์ก็จริง แต่มันมีประโยชน์มาก มันปรับตัวเองเข้ากับระบบธรรมชาติได้อย่างดี มันช่วยกำจัดซากเน่าเปื่อยและสิ่งสกปรกให้หมดไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว เวลาที่มันบินร่อนอยู่บนท้องฟ้านั้น ดูให้ดีเถิด ท่าทางมันสง่างามยังกะอะไรดีแน่ะ ผมเองแม้ว่าจะคุ้นเคยกับแร้งมาตั้งแต่เป็นเด็กภูธร ในช่วงที่ยังเป็นลิงเป็นค่างกันอยู่ก็สมคบกับสมัครพรรคพวก เอาก้อนดินขว้างแร้งที่ลงมากินหมาเน่าบ้าง ลงมากินซากควายที่ชาวบ้านเขาแล่เนื้อไปหมดแล้วบ้าง เอนจอยเป็นอันมากทีเดียวละครับ ตอนนั้นได้ยินคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ว่า กระดูกแร้งนั้นใช้ทำยาได้ และถ้าจะฆ่าแร้งละก้อต้องใช้ไม้โสนขว้างถึงจะตาย กลุ่มทะโมนของผมก็บ่นกันอุบอิบๆ พอที่จะได้ยินเฉพาะในกลุ่ม ไม่ได้ยินไปถึงผู้ใหญ่ที่เป็นคนบอก หาไม่คงถูกเตะกินแถว
"ห่า....ไม้โสนเบายังกะสำลี ชาติหน้าก็ไม่มีวันจะได้แร้งซักตัวหรอกว่ะ หลอกเด็กชัดๆ ..." เราก็บ่นกันทำนองนี้แหละครับ
จนกระทั่งบัดนี้ผมก็ยังไม่ประจักษ์ข้อเท็จจริงว่า มันจะมีส่วนจริงอยู่ซักกี่มากน้อย ยิ่งได้กลับกลายมาเป็นเด็กนครบาลก็เลยห่างเหินแร้งมาโดยตลอด ทัศนคติที่เคยมีกับแร้งมายังไงก็ยังคงมีอยู่อย่างนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าแร้งมันมีประโยชน์ เหลือหลาย ผมก็ยังทำใจให้รักมันไม่ได้อยู่นั่นเอง คงจะต้องปล่อยให้คุณดีนแก เต้นแร้งเต้นหาของแกไปเรื่อยๆก่อน
ที่มา ต่วยตูน เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๐ ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น