++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2548

"พลังบู๊ตึ๊ง"อีกทางเลือกพิชิตโรค

"ทุกวันนี้ตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อสาธิตวิธีการ "ฝึกพลังลมปราณ
บู๊ตึ๊ง" โดยหวังว่าอยากคนไทยทุกคนรู้หลักการฝึกฝน และมีสุขภาพร่างกาย
แข็งแรง"

นายศุภกิจ นิมมานนรเทพ อดีตรองอธิบดีกรมทะเบียนการค้าและ
อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เขายืนยันถึงความ
ตั้งใจหลังจากที่ได้พิชิตความเจ็บป่วยที่รุมเร้าบั่นทอนร่างกายต้องทนทุกข์
ทรมานมากว่า 30 ปี ด้วยโรคภูมิแพ้ หอบหืด และล่าสุด เมื่อปี 2534
แพทย์ตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว แต่ขณะนี้กลับมีสุขภาพแข็งแรงภาย
หลังที่ฟื้นฟูร่างกายด้วยวิธีการฝึกพลังลมปราณบู๊ตึ๊งติดต่อกันเกือบ 2 ปี
แน่นอนคนที่ป่วยด้วยโรคเหล่านี้ย่อมรู้ ซึ้งเป็นอย่างดีถึงความเจ็บปวด
ขณะเดียวกันยังได้สร้างปัญหาอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตในแต่ละวันอีกด้วย
เพราะมีสิ่งอะไรผิดปกตินิดหน่อยก็มีอาการเตือนให้รู้ตัวแล้ว
ดังนั้น ต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่อยู่ในที่ที่มีฝุ่นละอองมาก แต่ในบาง
ครั้งก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะคนมีบ้านพักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ จึงต้องเผชิญกับมลพิษ
อากาศเป็นพิษ อาทิ ฝุ่น ควันพิษจาก ท่อไอเสียรถยนต์ ดังนั้นจึงต้องหาวิธีดู
แลให้สุขภาพแข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ และ "พลังลมปราณ" เป็นอีกทางเลือก
หนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายแข็งแรง รวมถึงเป็นภูมิคุ้มกันในการต่อต้านโรค
ภัยไข้เจ็บได้

นายศุภกิจ ได้เล่าถึงที่มาของการเข้าไปฝึก พลังลมปราณว่า เมื่อวันที่
24 เมษายน 2542 ผม ได้รับเชิญให้ไปบรรยายเรื่อง ไซอิ๋ว ภาคพิสดาร ที่
ห้องประชุมใหญ่ วิทยสถานแห่งวัฒนธรรมตะวันออก (O.C.A.)
และตามที่ ตกลงกันไว้ในเบื้องต้นนั้นจะบรรยาย ถึง 2 ชั่วโมง
แต่ก่อนถึงวันที่จะต้องขึ้นเวทีตนกลับล้มเจ็บกระทั่งต้องนอนซมอยู่บนที่
นอนอยู่หลายวัน และการอาการป่วยครั้งนี้รุนแรงมาก มีอาการเหนื่อย หอบ
หัวโคลงเคลงเวลาลุกขึ้น นอกจากนี้ยังมีอาการจับไข้หนาวๆ ร้อนๆ เป็นระยะ ซึ่งระหว่างนั้นต้อง
กินยาบรรเทาอาการ แล้วนอนพักผ่อนตามแพทย์สั่ง อย่างไรก็ดี อาการไข้ก็
ยังไม่ได้ทุเลา จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น จะเป็นวันที่รับปากไปบรรยายพิเศษแต่ตนก็
ยังไม่มีเรียวแรงที่จะช่วยตัวเองมากนัก จึงเริ่มรู้สึกวิตกกังวลว่าจะแก้ปัญหานี้
อย่างไรดี

"จะขอยกเลิกดีมั้ยแต่จิตสำนึกของความรับผิดชอบในหน้าที่ย้ำว่า"ไม่ได้"
เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้มาฟัง และคาดว่าต้อง
มีผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงพาณิชย์มาฟังไม่น้อยกว่า 10 คน อีกทั้งสื่อ
มวล-ชนและประชาชนรอฟังอยู่ล่ะที่ตั้งใจมาฟังจะรู้สึกอย่างไร"

จากนั้นจึงเปลี่ยนความคิดว่าจะหาวิธีไหน ถึงจะทำให้ตนพูดได้ซัก 1 ชั่ว
โมง คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกได้แต่นอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนที่นอน และแล้ว
ความรู้สึกแวบหนึ่งก็เข้ามาในสมอง กำลังเคลื่อนไหวคล่องแคล้วในท่าต่างๆ
โดยเป็นภาพของศาสตราจารย์จางฉี แห่งภาควิชาพลศึกษาของ
มหาวิทยาลัยมณฑลเหลียวหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเคยมาบรรยายการ
ฝึกพลังลมปราณเมื่อ 2 ปีก่อน (พ.ศ.2540) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ได้พูดถึงหลักการกายภาพบำบัดของ "ลัทธิเต๋า" เพื่อ ให้อายุยืน และบอกด้วยว่า
สำนักบู๊ตึ๊ง คือหนึ่งในสำนักธรรมชาติบำบัดของลัทธิเต๋า

"ตนนอนทบทวนท่าทางการเกร็งกล้ามเนื้อ ซักครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นลงเตียงทั้ง
ที่ไข้ยังไม่ลดแล้วมายืนข้างเตียงเกร็งกล้ามเนื้อพร้อมกับการหาย ใจเข้า-ออก
อย่างเป็นระบบเท่าที่จิตสำนึกจะจำได้ประมาณ 5 นาที เหงื่อก็เริ่มซึมออกมา
ตามไรผม ก็กลับไปทำท่าเดิมซ้ำอีกประมาณ 5 นาที คราวนี้เหงื่อเริ่มซึมทั่ว
ร่างกาย ขณะเดียวกันเสมหะที่ติดอยู่ในลำคอก็ถูกดันออกมา
ตนก็บ้วนทิ้งอยู่หลายครั้งจนรู้สึกว่าหายใจโล่งขึ้นกว่าเดิม"

จากฝึกพลังลมปราณเสร็จก็รอจนเหงื่อแห้งตนก็ไปเช็ดตัวแล้วกินข้าวกิน
ยานอนพักผ่อนจนถึงรุ่งเช้า ตนตื่นขึ้นมารู้สึกว่า หายไข้เป็น ปลิดทิ้งเหมือน
ไม่ใช่คนที่เพิ่งฟื้นจากการป่วย นอกจากนี้ยังไปบรรยายเรื่องไซอิ๋วกว่า 2 ชั่ว
โมงโดยไม่มีอาการเหนื่อยหอบแม้แต่น้อย

นายศุภกิจกล่าวด้วยว่า นับจากวันนั้นเป็นต้นมาตนก็ออกฝึกพลังลม
ปราณทุกวันวันละประมาณ 10 นาที และล่าสุดได้ไปพบแพทย์ ประจำตัว
ปรากฏว่า ความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ ส่วนโรคหัวใจรั่วที่แพทย์ผู้เชี่ยว
ชาญด้านโรคหัวใจเคยบอกว่าอาจต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเทียมบอกว่าถ้าสุข
ภาพแข็งแรงอยู่ในระดับนี้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด เพราะแม้ว่าจะเปลี่ยนหัวใจ
แล้วการทำงานก็ไม่เหมือนของจริง จากนั้น นายศุภกิจได้ฉายภาพการเจ็บป่วยในอตีดให้ฟังว่า
เริ่มจำความได้ก็รู้สึกเจ็บออดๆ แอดๆ สุขภาพไม่แข็งแรง ต้องไปพบหมอ เป็นประจำ
พอมีอายุได้ 13 ปี หมอวินิจฉัยว่า เป็น"โรคภูมิแพ้" ให้หลีกเลี่ยงฝุ่นละออง
แต่ทว่าอากาศแถบบ้านเกิด(จังหวัดลำปาง)เมื่อถึงช่วงฤดูเปลี่ยนอากาศจะ
แปรปรวนบ่อยจึงมีผลให้โรคภูมิแพ้พัฒนากลายเป็น "โรคหอบหืด"
โรคหอบหืด เป็นโรคที่ทรมานและบั่น ทอนทั้งร่างกายและจิตใจอย่าง
มาก ถ้าหากหาย ใจเอาฝุ่นละอองเข้าไปก็จะมีอาการแน่นหน้าหายใจถี่จนถึง
หอบจนตัวโยกไปโยกมาเหมือนกับหายใจได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ซึ่งต้องอยู่
ในความดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยจะต้อง มียาติดตัวเป็นประจำ
หากวันไหนมีอาการจะได้กินทันที ถึงแม้ว่าจะพยายามดูแลตนเองมาตลอดจนถึงอายุ 46 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่
เรียนปริญญาโทที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริการศาสตร์(นิด้า) จึงเกิดความเครียด
เนื่องจากมีหน้าที่รับผิดชอบในกระทรวงพาณิชย์และยังต้องมาคร่ำเคร่งกับตำราเรียน
ด้วย จึงมีผลให้สุขภาพอ่อนแอจึงได้ "โรคหัวใจรั่ว" แถมมา
กับปริญญาโทด้วย อาการป่วยทั้งหมดนับว่าเป็นอุปสรรคต่อการทำงานด้วยและครั้งใดที่
อาการกำเริบขึ้นมาจะมีอาการเหนื่อยหอบ ความดันสูง หัวใจแรง จนเมื่อปี
2538 ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อทำ "บอลลูน" นอกจากนี้ยังมีอาการอัมพาต
แทรก ซ้อน คือ เวลาเดินจะเดินเซซ้าย เซขวา เด้งหน้า เด้งหลัง บังคับตัว
เองไม่ได้

"รู้สึกวิตกว่าจะเป็นอัมพาตช่วงนั้นก็ไปหาหมอเพื่อทำกายภาพบำบัด
โดยหมอรับรองว่าถ้า ทำทุกวันหายเป็นปกติอย่างแน่นอน" นายศุภกิจ บอก
ว่า เงินที่ใช้จ่ายในการรักษาตนเองนั้นสูงถึง 4 เท่าของเงินเดือนที่ได้รับและ
ไม่สามารถเบิกค่า รักษาได้ เนื่องจากขณะนั้นดำรงตำแหน่งข้าราชการชั้นโท
จึงมีสิทธิเบิกได้เพียงครึ่งหนึ่ง

นายศุภกิจ กล่าวว่า ตนต้องต่อสู้กับความ เจ็บป่วยมาตลอดจนกระทั่ง
ได้มาฝึกพลังลม ปราณเมื่อปี 2542 แล้วมีสุขภาพดีขึ้น จนทำให้ตนตั้งใจว่า
จะใช้เวลาที่เหลือไปสาธิตวิธีการฝึกพลังลมปราณแก่ชาวไทย เพราะอยาก
เห็นคนไทยสุขภาพแข็งแรงกันทุกคน ดังนั้นจึงได้ลาออก จากการรับราชเพื่อ
เผยแพร่การฝึกลมปราณในกลุ่มญาติพี่น้องก่อนขยายต่อไปยังเพื่อนฝูง
ที่ผ่านมาได้ผลตอบเป็นอย่างดีโดยเฉพาะญาติที่มีอาการอัมพฤกษ์เมื่อ
ฝึกไประยะหนึ่งแล้วร่างกายเคลื่อนไหวดีขึ้น เดินตัวไม่แข็งเหมือนช่วงที่ยังไม่
ฝึกพลังลมปราณ และจากที่ได้ค้นพบด้วยเองและเห็นญาติ เพื่อน อาการดี
ขึ้นทุกคน จึงได้ตั้งปณิธานว่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ถ่ายทอดวิธีฝึกพลังลม
ปราณให้แก่ชาวไทย

นายศุภกิจทิ้งท้ายว่า ยินดีไปบรรยายและสาธิตการฝึก"พลังลมปราณ"
ให้แก่สมาคม ชมรม สโมสร โรงเรียน องค์กรฯหรือประชา-ชนที่รวมกลุ่มกัน
หลายสิบคนขึ้นไป (ฟรี) สน ใจโปรดนัดหมายได้ที่ 279-2621 และ 01-
919-9450 นอกจากนี้ยังมีหนังสือคู่มือฝึกพลังลม ปราณ(แจกฟรี) สามารถ
ขอมาได้ที่ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน โทร. 629-4488

วิธีฝึกพลังลมปราณบู๊ตึ๊ง
เริ่มจาก ยืนตัวตรง แยกขาออกเล็กน้อย กำมือแนบลำตัว หายใจเข้า
ลึกๆ 3 ครั้ง แล้ว ค่อยๆ กางแขนออกช้าๆ โดยกำหนดใจให้รู้สึกเสมือนหนึ่ง
ว่ากำลัง "ยกตุ้มเหล็กหนักๆ" ขึ้นมา (ต้องเกร็งกล้ามเนื้อ ค่อยๆ ยกขึ้นช้าๆ)
จนยกกำปั้นขึ้นมาเสมอไหล่ แล้วแบมือออกหายใจเข้าลึกๆ 3 ครั้ง
จากนั้นเกร็งกล้ามเนื้อแขนแล้วค่อยๆ หงายฝ่ามือขึ้นมาช้าๆ ให้รู้สึก
เสมือนว่ากำลังออกแรงผลักบานประตูหนักๆ อยู่ หมุนข้อมือจนกระทั่งฝ่ามือ
หงายขึ้นเต็มที่ ในลักษณะแขนเหยียดตรงขนานพื้นแล้วหายใจเข้าลึกๆ 3 ครั้ง
เสร็จแล้วค่อยๆ ยกฝ่ามือขึ้นช้าๆ จนกระทั่งแขนเหยียดตรงขึ้นไป โคน
แขนแนบใบหู ฝ่ามือชูขนานกันเหยียดตรงอยู่เหนือหัว หายใจลึกๆ 3 ครั้ง
แล้วเปลี่ยนท่าโดยเกร็งกล้ามเนื้อย่อแขนทั้งคู่ลงมาช้าๆ กำหนดใจให้
รู้สึกเสมือนหนึ่งเรากำลังยกกระถางธูปหนักๆ ค่อยๆ ชะลอลงมาจนกระทั่งฝ่า
มือทั้งสองลงมาอยู่ตรงระดับใบหน้าของเราค่อยๆ ย�อตัวลงไปๆ จนนั่งยองๆ
ลงไปโดยเท้าราบ แล้วหายใจจนกระทั่งเต็ม พุง 3 ครั้ง
เมื่อเสร็จแล้วให้เกร็งกล้ามเนื้อที่แขนแล้วค่อยๆ ขยายแขนออกช้าๆ
เสมือนหนึ่งว่ากระถางเหล็กที่ยกอยู่นั้นมันขยายขึ้นทำให้ดันฝ่ามือของเราออก
ไป ในขณะเดียวกันเราก็ต้องใช้ 2 ฝ่ามือจับประคองด้านนอกของกระถาง
แน่นจนกระทั่งสุดแขน อนึ่งจบแล้วให้เริ่มตั้งแต่ต้นใหม่ โดยจะฝึกพลังลมปราณอย่างนี้ติดต่อ
กัน 10 ครั้ง สำหรับคนที่ฝึกพลังลมปราณติดต่อกันประมาณ 1 เดือนจะ
รู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างกระฉับกระเฉงมากกว่าเดิมด้วย
โดยคุณ : ศุภกิจ นิมมานนรเทพ

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ30 มีนาคม 2554 เวลา 23:18

    หากสนใจ VCD ลมปราณบู๊ตึ้งและลมปราณเส้าหลิน
    085-207-3434

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ1 เมษายน 2554 เวลา 10:38

    มี VCD ด้วยหรือ ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  3. ติดต่ออาจารย์อาจารได้โดยตรงที่เบอร์ 085-340-9764 ค่ะ อาจารย์น่ารักมากๆ และยินดีให้คำปรึกษาด้วยค่ะ
    เห็นมีเว็บที่บอกว่าอาจารย์จะมีฝึกให้ฟรีที่ไหนบ้างด้วยค่ะที่ http://charity.streamofwisdom.com
    บังเอิญเปิดไปเจอ facebook ของอาจารย์ศุภกิจด้วย ชื่อ พลังลมปราณ บำบัดโรค Palunglompran

    ตอบลบ