++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2548

ท้องเดิน-ไม่น่าตาย

อาทิตย์นี้ผมหลบไปหาเพื่อนที่เชียงดาว ตกใจอย่างที่สุด เพื่อนคนนั้นตายไปแล้ว อายุยังน้อยอยู่ 50 กว่าๆเท่านั้นเอง ถามเมียเขาว่าเป็นอะไรตาย เขาตอบสั้นๆว่า “เขาท้องเดินอยู่หลายวัน แล้วก็หมดแรงไปเฉยๆ”

เพื่อนคนนี้เป็นคนบ้านนอก รู้จักกันมาหลายปีแล้ว อาชีพจริงๆก็ทำนาทำไร่ อาชีพพิเศษก็คือ พานักท่องเที่ยวส่วนมากเป็นฝรั่ง ขึ้นเขาลงห้วย เที่ยวป่า ซึ่งก็มักจะทำกันตอนหน้าหนาว อาชีพพิเศษจึงหากินอยู่ได้ประมาณปีละ 2 เดือน ระหว่างหน้าหนาวเท่านั้น

เขาไม่ค่อยมีความรู้เรื่องสุขภาพอนามัยเท่าไหร่นัก เวลาเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆก็กินยาพื้นบ้าน หรือพวกสมุนไพร แต่ที่รู้สึกว่าจะแย่ที่สุดก็คือ เป็นคนกินเหล้าเมายา ดื่มหนักมาก ข้าวปลา อาหารไม่ค่อยจะได้กิน ดื่มเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นจึงดูเหมือนคนผอมแห้งแรงน้อยอยู่ ตลอดเวลา

แต่ถึงจะผอมแห้งแรงน้อยอย่างไร เขาจะตายด้วยอาการท้องเดินไม่ได้อย่างแน่นอน จะไปสืบสาวหาเรื่องสาเหตุให้ได้แน่นอนก็ทำยาก เพราะนอกจากจะอยู่ไกลเป็นบ้านนอกแล้ว เขาก็ตายไปแล้ว เผาไปแล้ว

แต่มานึกได้ถึงเพื่อนๆผู้อ่านหลายคนตอนนี้ ที่บ่นว่ากรุงเทพฯร้อนเหลือเกิน จะหลบร้อนไปเที่ยว ไหนบ้างก็ไม่รู้ ผมนึกถึงเรื่องเพื่อนที่อยู่บ้านนอกแล้วก็ตายเพราะท้องเดินขึ้นมาได้ ก็เลยเอาเรื่อง ท้องเดินที่ทำให้เพื่อนบ้านนอกคนนี้ตาย (เพราะท้องเดินจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้) มาคุยเพื่อจะ เตือนๆเพื่อนผู้อ่านคอลัมน์นี้ประจำสักเล็กน้อย

เรื่องท้องเดิน ท้องเสีย หรือแม้แต่มีปัญหาเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับท้อง เช่น ท้องอืด ท้องขึ้น ปวดท้องนี้ รู้สึกจะเป็นโรคประจำของคนไทย โดยเฉพาะ ตั้งแต่อายุยังน้อย 20-30-40 ปีขึ้นไป

และจะมีอาการผิดปกติหรือป่วยมากขึ้น ถ้าขณะนี้คุณชอบเที่ยวไปไหนมาไหนเพื่อจะหลบร้อน เหมือนอย่างที่ผมกำลังหนีอากาศร้อนอยู่ขณะนี้

ที่อยากจะเตือนพวกเราเป็นอันดับแรกก็คือ ไปในที่ต่างถิ่น เรื่องสำคัญคือ อาหารและน้ำ โดยเฉพาะโรคหรืออาการที่จะเกิดขึ้นกับคุณอย่างเฉียบพลัน คือ อาหารเป็นพิษ หรือ FOOD POISONING

คงจะจำได้นะครับ เมื่อ 6-7 ปีที่ผ่านมา ผมเคยเขียนเล่าเรื่องการประชุมทางวิชาการ ที่เชียงใหม่ กลุ่มแพทย์และผู้ที่อยู่ในวงการแพทย์ มาประชุมกันเกือบ 100 คน ทางโรงแรม ที่พักจัดอาหารชั้นเลิศเต็มที่ มีอาหารทะเลหลายอย่าง ปรากฏว่าผู้ที่รับประทานอาหารมื้อนั้น เกิดอาการท้องเดินเป็นแถว ต้องเข้าโรงพยาบาลให้น้ำเกลือกันกว่า 40 คน บางคนเป็นมาก จนต้องรักษาตัวอยู่เป็นเดือน มีอยู่คนหนึ่งอาการลามไปถึงโรคตับซึ่งป่วยอยู่ก่อน และยังมี อาการหนักบ้างเบาบ้าง ขึ้นๆลงๆอยู่จนกระทั่งบัดนี้

นั่นเริ่มต้นจากสาเหตุของ อาหารเป็นพิษ หรือ FOOD POISONING

อาการของอาหารเป็นพิษ จะเหมือนกับอาการป่วยเกี่ยวกับโรคท้องทั่วๆไปอยู่อย่างหนึ่งคือ ท้องเสีย ท้องเดิน คลื่นไส้และอาเจียน

ฉะนั้น ขั้นต้นนี้ต้องแยกให้ได้นะครับว่า เกิดจากอาหารเป็นพิษ คือคุณกินอะไรเข้าไป หรือเกิดจากโรคประจำตัวของคุณ หรือเกิดจากการติดเชื้อและจากอาการของโรคอื่นๆ เข้าร่วมด้วย

เอาละครับ คราวนี้ขอพูดเรื่องอาหารเป็นพิษเรื่องเดียวก่อน

แรกทีเดียวให้คุณมองย้อนกลับไปเมื่อ 48 ชั่วโมง หรือสองวันก่อน คุณกินอะไรเข้าไป อาหารเป็นพิษมักจะเกิดจากแบคทีเรีย หรือไวรัสปนอยู่กับอาหารที่คุณกินเข้าไป เมื่อระหว่าง สองวันที่ผ่านมา

นี่เป็นข้อบ่งชี้ที่ดีที่สุด เพราะอาหารเป็นพิษจะเกิดขึ้นจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำเข้าไป เมื่อระหว่างวันสองวันนี้เท่านั้น

คุณบางคนอาจจะเกิดความสว่างในใจแล้วอุทานว่า “อุ้ย เมื่อเดือนที่แล้ว ฉันไปสุราษฎร์กินหอย นางรมไปตั้งจานแน่ะ” นั่นไม่ใช่แน่นอนครับ

ข้อบ่งชี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ คงจะเป็นอาหารเป็นพิษแน่นอน ถ้าคุณกินอาหารกันเป็นกลุ่ม หลายๆคน และในกลุ่มของคุณนั้น จะมีอาการอาหารเป็นพิษเหมือนกันหมด

เรื่องท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียนนี้บางคนเป็นเร็วมาก อย่างผมเอง ถ้าเผลอกินอาหารซึ่งมี เชื้อแบคทีเรียเข้าไป ภายใน 2 ชั่วโมงเท่านั้น ท้องเดิน อาเจียน ต้องนอนแผ่ทันที

อาหารเป็นพิษแบ่งออกเป็นกลุ่มพวกติดต่อกันได้ พวกไม่ติดต่อ และพวกที่มีเชื้อโดยเฉพาะตัว ของมัน

พวกที่ติดต่อกันได้ ก็อย่างเป็นต้นว่า เชื้อที่เราเรียกกันว่า SALMONELLA ซึ่งผมเข้าใจว่า ภาษาไทยเราแปลว่า “ไข้รากสาดน้อย” (ถ้าภาษาไทยผิดขอประทานโทษด้วย ท่านผู้รู้กรุณา บอกผมสักนิด จะเป็นพระคุณอย่างสูง)

เชื้อตัวนี้ติดมาจากสัตว์ปีก เช่น ไก่ เป็ด ห่าน และพวกสัตว์ปีกอื่นๆทั้งหลาย เชื้อโรคแพร่จากสัตว์ ตัวหนึ่งไปยังตัวอื่นๆ ถ้าติดกันตัวหนึ่งก็จะกระจายกันไปหมดทั้งเล้า

เชื้อพวกนี้อาศัยอยู่ในกระเพาะ ลำไส้ของสัตว์ปีก และกระจายติดต่อกันเร็วมาก ถ่ายอุจจาระ ออกมา เชื้อแบคทีเรียก็กระจายไปบริเวณที่สัตว์อื่นๆอยู่ได้อย่างรวดเร็ว

ปกติในอเมริกา ฆ่าสัตว์ปีกแล้วก็จะแช่เย็นและแช่แข็งเก็บไว้นานๆ ขนาดแช่แข็งแล้ว เชื้อก็ไม่ตาย เวลาผู้บริโภคซื้อไก่ เป็ดไปปรุงอาหาร ถ้าต้มไม่สุก เชื้อก็ระบาดมาถึงคนกิน และระบาดเร็ว เสียด้วย

ที่อเมริกาถึงฤดูขอบคุณพระเจ้า และฤดูคริสต์มาส ต้องฆ่าเป็ด ไก่ ไก่งวงจำนวนมากมาย มหาศาล ฆ่าไว้ล่วงหน้าเทศกาลนานๆ เชื้อ SALMONELLA ระบาดอย่างรวดเร็ว ทางการต้องประกาศให้เอาเป็ดไก่ไปคืนเป็นการใหญ่ เคราะห์ดีเชื้อตัวนี้ไม่ร้ายแรงขนาด ที่ทำให้ตายทันที

ถัดจากเชื้อตัวนี้ ก็จะมาถึงพวกอาหารทะเล ซึ่งปัจจุบันสำหรับคนไทยน่ากลัวมาก เพราะอาหาร ทะเลนั้น สมัยนี้ไม่ได้จับจากทะเลโดยตรง แต่นำมาจากฟาร์มเลี้ยง การเลี้ยงในฟาร์มใช้ยาฆ่าเชื้อ และสะสมมากๆนานๆทำให้เป็นพิษ นอกไปจากนั้น เมื่อจับมาแล้ว มักจะแช่ฟอร์มาลิน เพื่อป้องกันเน่า เป็นพิษต่อผู้บริโภค

หลุดจากเรื่องยาฆ่าเชื้อมาแล้ว ก็มาถึงพิษจากแพลงก์ตอน (PLANKTON) ซึ่งในหอย บางอย่างเช่น หอยแมงภู่ หอยนางรม หอยแครง มีพวกแพลงก์ตอนที่เป็นพิษเกาะอยู่เต็ม

ถ้ากินดิบๆ พิษจากหอยหนักหนาสาหัส ทำให้ตายได้ กินสุกๆดิบๆก็ทำให้ป่วย กินอย่างสุกจริงๆ คนไทยก็ไม่ชอบ เพราะมันไม่อร่อย

นอกจากนั้นก็ยังมีพวกพิษโดยตรงจากตัวอาหาร เช่น พิษจากปลาปักเป้า (คุณๆเศรษฐีชอบ กินปลาดิบคำละหนึ่งหมื่น ระวังหน่อยครับ) อันนี้ตายทันทีแน่นอน เรื่องพิษโดยตรงจะขอคุยต่อ ซึ่งไม่ใช่ “อาหารเป็นพิษ” แต่เป็นเรื่อง “แพ้อาหาร” หรือ FOOD ALLERGY ครับ

สรุปเฉพาะอาหารเป็นพิษตอนนี้ก่อนครับ 1. ให้ระวังอากาศร้อนๆอย่างนี้นะครับ อาหารเป็น พิษได้ง่ายขึ้น 2. ไปต่างถิ่นระวังน้ำและอาหาร 3. อย่ากินอาหารดิบหรือดิบๆสุกๆ ต้องให้สุก เสียก่อน 4. ดูอาการว่าใช่อาหารเป็นพิษหรือไม่ คือ ปวดท้อง จี๊ด รุนแรง/มีไข้/คลื่นไส้/อาเจียน /ถ้าท้องเดินไม่หยุด หาหมอ ให้น้ำเกลือ/อย่ากินยาแก้ปวดท้องเอง

เมื่อท้องหยุดเดิน ขอแนะนำ ซุปแครอท แครอทปั่นละเอียด ทำซุปใส่เกลือ 3 หยิบมือ พริกไทยนิดหน่อย ดื่มซุปแครอท 3 มื้อ 3-4 วัน จะดีขึ้นทันที.

เมื่อถ่ายหลายครั้งจนหมดแรง อาหารง่ายๆ ที่ช่วยหยุดท้องเดินได้ คือ ซุปแครอท

วิธีทำคือ เอาแครอทมาซอยแล้ว สับละเอียด หรือจะเอาง่ายๆ ถ้ามีเครื่องปั่น ก็เอาแครอทหั่นเป็น แว่น แล้วใส่เครื่องปั่นละเอียดก็ได้ จากนั้นใส่น้ำและเกลือสัก 3-4 หยิบมือ เมื่อซุปสุกแล้ว ดื่มซุปแครอทสักวันละ 3 มื้อ ในระยะ 3-4 วัน อาการจะดีขึ้นทันที

ซุปแครอทแบบง่ายๆ นี้ ได้รับการรับรองจากกลุ่มแพทย์ของโรเดลส์ เช่น นายแพทย์ ฮาริส เคลียฟีลด์ ศาสตราจารย์และผู้อำนวยการแผนกโรคสำไส้ มหาวิทยาลัยแพทย์ฮันเนอร์แมนท์ และนายแพทย์เดวิด ลิเบอร์แมน ศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยแพทย์โอเรกอน เป็นต้น

ตัวผมเองก็ได้แนะนำซุปแครอทนี้ให้กับคนไข้ท้องเดินหลายคน ได้ผลดีครับ เหตุผลง่ายๆก็คือ ในแครอทมีวิตามินเออยู่มาก ผสมกับเกลือ และเนื้อแครอทก็มีกากและไฟเบอร์ อยู่มาก

อีกตำรับหนึ่งซึ่งได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ เปลือกต้นฝรั่ง เปลือกต้นฝรั่งนี้เป็นตำรับยาไทย แต่วิธีใช้ผมเอามาผสมกันกับตำราฝรั่ง คือเอาเปลือกต้นฝรั่ง (เปลือกนอกของต้น) ถากมาสักหนึ่งฝ่ามือ แล้วเอาไปเผาหรือปิ้งให้เกรียม ต่อจากนั้นต้มหรือชงน้ำเดือด ดื่มครั้งละหนึ่งแก้ว 2-3 ครั้ง

เปลือกต้นฝรั่ง จะมีรสฝาดมาก และขมเล็กน้อย เมื่อปิ้งให้เกรียมจะกลายเป็นถ่านคาร์บอน ซึ่งมีลักษณะดูดและซึมซับพิษจากเชื้อโรค ทำให้อาการท้องเดินทุเลาลงอย่างรวดเร็ว

ที่แนะนำอย่างนี้ เพราะอยากจะให้ใช้วิธีธรรมชาติให้มากที่สุด และซุปแครอทและเปลือกฝรั่งนี้ไม่มีผลข้างเคียง

เรื่องใช้วิธีแบบธรรมชาตินี้ ผมเอาหลักของ ดร.ลินท์ แมคฟาแลนด์ ศาสตราจารย์ด้านวิชาเคมี ของมหาวิทยาลัยแพทย์วอชิงตัน ซีแอตเติล มาใช้

อาจารย์แมคฟาแลนด์กล่าวว่า แต่ก่อนนี้เวลาคนไข้ที่มีอาการท้องเดินไปหาหมอ แพทย์ก็มักจะให้ ยาแก้ท้องเดินโดยเร็ว แต่เดี๋ยวนี้ แพทย์ ได้เปลี่ยนวิธีใหม่แล้ว เราจะให้ท้องเดินไปสักพักหนึ่ง แล้วคอยเฝ้าดูอาการต่อไป เมื่ออาการท้องเดินทุเลาลง เราจะให้ยาช่วย อาการเสียน้ำและเกลือแร่ วิธีนี้จะทำให้คนไข้ ฟื้นตัวเร็วเป็นปกติกว่าใช้วิธีเก่าๆ

เฉพาะคน ไข้ที่เป็นเด็กอ่อน หรือเด็กที่โตแล้ว แต่ยังดื่มนมอยู่ นายแพทย์วิลเลียม เชย์ แห่งมหา-วิทยาลัยแพทย์ โรเชสเตอร์ กล่าวว่า ต้องระวังเรื่องนมอย่างมากที่สุด ถ้าเด็กเกิดมีอาการท้องเดิน หรือท้องเสีย ต้องให้หยุดดื่มนมทันที เพราะนมที่ดื่มตามหลังอาการท้องเสียนั้น จะทำให้อาการ ท้องเสียเป็นหนักขึ้น ถ้าเป็นการติดเชื้อ นมที่ดื่มเข้าไปจะไปช่วยเพิ่มตัวเชื้อโรค ให้มีปริมาณมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่ก็มีข้อแม้บางอย่าง ในกรณีที่ผู้ป่วยท้องเสียหรือท้องเดิน และได้กินยาประเภทฆ่าเชื้อ อย่างรุนแรง เมื่ออาการทุเลาลงแล้ว อาจารย์เชย์แนะนำว่า ให้ดื่มหรือกินนมเปรี้ยว (โยเกิต) ชนิดเพลน คือ โยเกิตแท้ๆไม่มีของหวานปน สักวันละถ้วย สัก 3-4 วัน

ที่เป็นดังนี้ ก็เพราะเหตุผลที่ว่า ในลำไส้ คนเรานั้น มีเชื้อโรคประเภทที่เป็นประโยชน์ ต่อตัวเราอยู่มาก (FRIENDLY BACTERIA) เชื้อ โรคที่เป็นเพื่อนกับเรานี้ มีหน้าที่คอยทำลายเชื้อโรคชนิดร้ายๆตัวอื่นๆให้หมดไป เมื่อเวลาเรากินยาซึ่งจะไปฆ่าเชื้อ ทุกชนิดในตัวเรา เชื้อโรคที่เป็นประโยชน์ก็จะถูกฆ่าพร้อมกันไปด้วย

เมื่อเรากินนมเปรี้ยวหรือโยเกิต (ชนิดไม่หวาน) จะได้เชื้อแลคโต บาซิลลัส ซึ่งจะไปสร้างเชื้อโรคที่เป็นประโยชน์ต่อเราให้มากขึ้น

ไหนๆพูดถึงเรื่องนมแล้ว ก็ขอพูดต่อถึงเรื่องการแพ้น้ำตาลในนม (LACTOSE) พร้อมกันไปด้วยเลย

มีคนแพ้น้ำตาลแลคโตสในนมวัวมากมายเหลือเกิน ส่วนมากผู้ที่แพ้มักจะเป็นชาวเอเชีย และตามสถิติขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ชาวเอเชียโดยเฉพาะคนไทยนั้น แพ้แลคโตสในนมมากที่สุดในโลก คือแพ้ถึง 95% ฝรั่งเองก็มีแพ้เหมือนกัน แต่แพ้เพียงประมาณถึง 10-25% เท่านั้น

อาการแพ้แลคโตสของนมก็คือ ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ และมักจะตามด้วยอาการท้องเดิน ถ้ามีอาการป่วย เพราะท้องเสียท้องเดินอยู่แล้ว คนที่แพ้แลคโตส ยิ่งกินนมมากขึ้น ก็ยิ่งจะมีอาการท้องเดิน ท้อง เสียมากยิ่งขึ้น

เพราะฉะนั้น ระวังเรื่องนมให้มากๆ ถ้าเผื่อเกิดมีอาการท้องเสียและท้องเดิน ต้องหยุดกินนมทันที อาการท้องเสียซึ่งนับว่าร้ายแรงมากที่สุด ก็คืออาการปวดท้อง อาเจียนควบคู่ไปกับอาการท้องเดิน และถ้ามีอาการมูกเลือด หรือหนองออกมาผสมด้วยต้อง รีบไปหาแพทย์ หรือเข้าโรงพยาบาลด่วนจี๋ทันที

อย่ากินยาสุ่มสี่สุ่มห้า

ยาแก้อาการหรือโรคที่เกี่ยวกับท้องมีอยู่ มากมายหลายร้อยยี่ห้อ และส่วนมากไปซื้อ ตามร้านขายยาได้สบายมาก ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์

โดยเหตุนี้มีอาการเกี่ยวกับท้องบ้างนิดๆหน่อยๆก็มักจะไปซื้อยามากิน

ขอแนะนำว่า ให้สังเกตตัวเองให้แน่นอนเสียก่อน เคยแนะนำเรื่องให้สังเกตตัวเองแก่ คนรู้จักหลายคน ก็จะมีเสียงสอดแทรกขึ้นมาว่า เผื่อเป็นไส้ติ่งอักเสบขึ้นมา แล้วมัวแต่อ้อยอิ่งคอยดูอาการอยู่ แล้วไส้ติ่งแตก มิตายแหงแก๋ อยู่กับบ้านอย่างนั้นหรือ

ขอตอบตรงนี้ก่อนว่า ปวดท้องเพราะไส้ติ่งอักเสบนั้น ไม่มีและไม่เกี่ยวกับ อาการท้องเสียและท้องเดิน ฉะนั้นอย่าเอามาปนกัน เรื่องไส้ติ่งอักเสบจะเอาไว้คุยต่อวันหลัง

ขอต่อเรื่องยาแก้ท้องเดิน ท้องเสีย มีตัวยาซึ่งกว้างขวางเป็นที่รู้จักกันดีหลายตัว บางคนซื้อไว้ประจำติดบ้านเลย ขอแนะนำว่าอย่าทำเช่นนั้น

เพราะกินยาเป็นว่าเล่นนั้น ผลข้างเคียงจากการกินยานั้น ผลข้างเคียงร้ายแรงกว่าที่เราป่วยเอง มากมายหลายเท่านัก

ยกตัวอย่าง ตัวอย่างยา LOPERAMIDE (ชื่อตัวยาไม่ใช่ยี่ห้อยานะครับ) ที่ว่ากันว่า แก้ท้องเดิน ท้องเสียได้ชะงัดนั้น (กิน 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง) ผลข้างเคียงเห็นทันตาก็คือ ปากแห้ง คลื่นไส้ ปวดท้อง และเมื่อท้องหยุดเดิน ก็จะมีอาการท้องผูกเข้ามาแทน

มิหนำซ้ำกินบ่อยๆมากๆเข้าก็กลายเป็นโรคตับเสียอีก

ยาเกี่ยวกับท้องๆหลายตัว จะทำให้มีอาการเช่นนี้ ระวังตัวมากๆหน่อยนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น