++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ : พนักงานขาย วิญญาณพเนจร และ สุนัขจรจัด



วิญญาณเมรัยหลุดลอยออกจากร่างที่นอนแน่นิ่งในที่นั่งคนขับของรถยนต์คันงามป้ายแดงใหม่เอี่ยม ที่เขาเพิ่งได้เป็นรางวัลจากยอดขายที่เกินเป้า เขาเผลอหลับในขณะขับรถไปครู่เดียว พอตื่นมาก็พบว่า ตนกำลังมองร่างที่แน่นิ่งของตนอยู่แล้ว เมื่อค่ำที่ผ่านมาเขาเพิ่งร่วมงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จของเหล้านำเข้ายี่ห้อใหม่ ที่บริษัทของเขานำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ และแน่นอนเขาดื่มสิ่งที่เขาขายไปด้วยปริมาณเพียงพอที่จะทำให้เขาเมา

แล้วความมืดก็ปรากฏขึ้นแก่เขา เขาไม่สามารถรับรู้เห็นแสงใดๆ ได้อีก เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็รู้สึกว่าตนเองยังคงเดินวนเวียนหลงทางในที่มืดสนิท เวลาผ่านไปนานพอจนเขารู้สึกหิว กระหายจนแทบจะหมดแรง แล้วก็มีความสว่างแวบนึง ทำให้เขาเห็นภาพของยายแก่ๆคนหนึ่งกำลังนำเศษอาหารมาเลี้ยงสุนัข ความสว่างสลัวๆนั้นปรากฏขึ้นในตอนที่ ยายกำลังเลี้ยงบรรดาสุนัขอย่างเมตตา

เมรัยยังเห็นยายมาเลี้ยงสุนัขอยู่เกือบทุกวัน แสงสว่างสลัวๆ เปล่งประกายให้เมรัยเห็น

เมรัยนั้นทั้งหิวทั้งกระหายอย่างยากจะบรรยาย จนหลายๆครั้ง เขานึกอิจฉาหมาที่กินเศษอาหารอย่างเอร็ดอร่อยเหล่านั้น

ในวันหนึ่งเมรัยรวบรวมพลังทั้งหมด เพื่อเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากคุณยายผู้เมตตา ในที่สุดก็เหมือนคุณยายจะเห็นเขาเพียงลางๆ คุณยายตกใจร้องอย่างสุดเสียงว่า “ผีหลอกๆ” แล้ววิ่งเตลิดไป

เมรัย สลดใจ เขาไม่ได้ตั้งใจหลอกคุณยายผู้มีเมตตาแต่อย่างใดเลย เพียงแต่อยากขอความช่วยเหลือเท่านั้น การรวมพลังปรากฏกายของวิญญาณไร้อิทธิฤทธิ์เช่นเขา ทำให้เขาอ่อนเพลียหนักมากเข้าไปอีก

เมรัยต้องตกอยู่ในความมืดอย่างนั้นอีกหลายวัน จวบจนวันหนึ่งแสงสว่างเจิดจ้าก็ได้ปรากฏขึ้น ให้วิญญาณของเมรัยเห็นสิ่งต่างๆอย่างชัดเจนเหมือนดังตามนุษย์ แสงสว่างเจิดจ้าที่ฉายมาจากหลวงตาแก่ๆ ที่ดูภายนอกเป็นเพียงพระธรรมดาๆ แต่จากมุมมองของวิญญาณ การปรากฏกายของหลวงตารูปนั้น นำความสว่างไสวมาให้กับวิญญาณหลายๆ ดวง ในอาณาบริเวณนั้น วิญญาณจำนวนมากมายปรากฏขึ้นในรูปที่สยดสยอง นั่งพนมมือไหว้ท่าน

เมรัยจึงรู้ว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และหลวงตามาหาหมอนี่เอง จากมุมมองของวิญญาณ ที่นี่มีวิญญาณหลงอยู่ในความมืดมากมาย อาจเพราะที่นี่เป็นอำเภอที่มีครบทั้งโรงงานอุตสาหกรรม สถานที่ท่องเที่ยว ยอดขายสุราที่นี่ภายใต้การดูแลของเขา ซึ่งแม้บริษัทของเขาจะเป็นตราสินค้าที่ไม่ใช่ยอดขายอันดับหนึ่งก็มากมายอยู่เอาการ ซึ่งรวมๆแล้วทุกยี่ห้อ ส่งผลให้อุบัติเหตุที่นี่มากมายเป็นเงาตามตัว เขานึกเสียใจว่าตอนเป็นมนุษย์ ภูมิอกภูมิใจนักหนากับการทำการตลาดขายเหล้า สร้างรายได้มหาศาล น้ำตาของวิญญาณได้ตกร่วงลงอย่างสำนึกผิด การตลาดทำให้คนที่ดื่มอยู่แล้ว ดื่มมากขึ้น ทำให้คนไม่ดื่ม เริ่มดื่ม

ความสว่างปรากฏอยู่นาน ในช่วงที่หลวงตารอคิวเข้ารับการตรวจ จนวิญญาณพเนจรอย่างเมรัย ได้มีโอกาสเห็นราชรถอันงดงามจากสรวงสวรรค์พร้อมเหล่าเทพยดา พากันลงมาต้อนรับเทพบุตรองค์ใหม่ เทพบุตรองค์นั้นคงเคยเป็นคนไข้คนหนึ่งในโรงพยาบาลแห่งนี้ และได้ละสังขารจากโลกมนุษย์นี้ด้วยอาการอันสงบในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ท่ามกลางความเศร้าสลดของหมู่ญาติ ที่ไม่รู้เลยว่าภพใหม่ของผู้ตายไป น่าอยู่เกินกว่าที่จะบรรยาย

ความงดงามของชาวสวรรค์นั้น งามจนไม่อาจหาคำใดเปรียบได้ เทพ เทพี บางส่วน ไปกราบแสดงความเคารพนบนอบต่อหลวงตาที่รอเข้ารับการตรวจนั้น มันเป็นมิติที่ซ้อนกันอยู่ อย่างยากจะบรรยาย ในโลกหนึ่งหลวงตานั่งหลับตารออยู่ที่เก้าอี้พลาสติกที่เป็นแถวยาว ท่ามกลางความอลหม่านของบุคลากรโรงพยาบาล

แต่ในอีกมิติ เทพยดากำลังกราบกรานพระคุณเจ้า พระคุณเจ้าส่งเสียงสาธยายธรรมให้เหล่าเทพยดาได้ยิน โดยที่ท่านไม่ต้องเอ่ยปาก วิญญาณพเนจรของเมรัยแม้อยู่ห่าง แต่ก็เห็นรายละเอียดได้ชัดเจนซึ่งตามนุษย์ไม่อาจมีความสามารถในการเห็นเช่นนั้นเลย

เทพ เทพี บางองค์กล่าวกันว่า หากไม่ใช่เพราะความหอมหวนของศีลอันบริสุทธิ์ของพระคุณเจ้า พวกเขาคงไม่เข้าไปเฉียดกรายใกล้มนุษย์หรอก เพราะมนุษย์มีกลิ่นเหม็น

ในอีกด้าน ชายแต่งกายแบบโบราณกำลังล่ามโซ่ตรวนฉุดกระชากลากวิญญาณของอาชญากรนักค้ายาเสพย์ติด ที่อาจหาญดวลปืนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนบาดเจ็บสาหัสมาสิ้นใจตายที่โรงพยาบาล เมรัยเดินเข้าไปถามว่า เขาไม่ต้องไปด้วยหรือเขาคงต้องไปลงนรกเหมือนกันเพราะไม่ค่อยได้ทำบุญทำทานอะไรเลย แถมยังทำงานขายเหล้าสร้างความวิบัติฉิบหายแก่ชีวิตของหลายๆ คน

ชายแต่งกายโบราณ เปิดสมุดเล่มเล็กๆ แต่มีรายชื่อเขียนอย่างชัดเจนเต็มไปหมดจนอธิบายไม่ถูกว่าจดลงไปได้อย่างไร ชายคนนั้นบอกว่า “เจ้ายังไม่ตาย ยังมีเวลาอยู่ในโลกนี้ และอย่าได้ประมาทในการสร้างกุศล รู้ว่าอะไรไม่ดีก็ละเลิกเสีย” ชายแต่งกายแบบโบราณตอบ

ขบวนราชรถชาวฟ้าออกไปแล้วอย่างเอิกเกริก หลวงตายังคงนั่งแผ่เมตตาให้เหล่าสรรพวิญญาณพเนจร กระแสกุศลอันชุ่มเย็นพัดมาเหมือนลมโชยอ่อนๆ ให้เหล่าวิญญาณรู้สึกสบายขึ้นมาตามควร

เมรัยนั่งลงไหว้ด้วย นึกในใจว่า ช่วยลูกด้วย ลูกหิวโหยทรมานเหลือเกิน หลวงตามองมาทางเขา อย่างเฉพาะเจาะจง แล้วความรู้สึกเมรัยก็ขาดไป ในห้วงความหิวโหยทรมานนั้น

รู้สึกตัวอีกที เมรัยก็ได้รับความรู้สึกที่คันตามเนื้อตัวอย่างเหลือที่จะบรรยาย ความทรงจำในภพมนุษย์ของเขา ยืนยันได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นคนจนตายคารถนั้น ไม่เคยรับความรู้สึกที่คันมากมายขนาดนี้ สำรวจตรวจดูเขาพบว่า วิญญาณของเขาถูกผนึกเข้ากับวิญญาณหมารุ่นหนุ่มตัวหนึ่ง ที่เพิ่งถูกรถชนตาย ขณะนี้ร่างกายของหมานั้นเป็นของเขาโดยสมบูรณ์แล้ว แม้จะส่งเสียงพยายามพูดอย่างไร ก็กลายเป็นเพียงเสียงคราง เห่า หอน

หมาอาจจะดีกว่า วิญญาณพเนจรในความมืดอยู่หน่อยนึง ตรงที่ได้ดื่มน้ำดับกระหายบ้าง ได้กินอาหารที่มีคนใจบุญเอามาให้บ้าง ได้นอนหลับพักผ่อน ทั้งๆ ที่บางครั้งยังคันตามตัวไปหมดบ้าง และอีกอย่างหมาไม่กินเหล้า ลองเอาเหล้าและอ้วกให้หมาเลือก จะพบว่าหมาจะเลือกกินอ้วกและเมินเหล้า

เกี่ยวกับหมาจรจัดนั้น หมาเมรัยได้ค้นพบว่า บางครั้งเพียงกระดูกไก่ชิ้นเล็กๆเพียงชิ้นเดียว หมาถึงกับต้องกัดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้ได้อาหารชิ้นนั้นมาลงท้อง บรรเทาอาการหิวอันทรมาน

วันหนึ่งมีป้าคนหนึ่งท่าทางจะทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาด ซึ่งสังเกตได้จากชุดที่ป้าสวมใส่มา ป้าคนนั้นเดินมาหายายแก่ใจดีเล่าให้ยายฟังว่า “วันนี้ที่ทำงานชั้นเขาจัดงานอบรม มีอาหารเลี้ยงผู้เข้าอบรมฟรี ชั้นเก็บจานชามไปล้าง เลยเก็บเศษอาหารที่หมาพอกินได้มาให้ยาย ยายเอาไปเลี้ยงหมานะ”

ยายตอบว่า “ดีๆ หมามันจะได้อิ่มกันสักวัน”

ป้าแม่บ้านและยายเลยช่วยกันแจกจ่ายเศษอาหารเหล่านั้นแก่บรรดาหมาฝูงใหญ่อย่างสนุกสนานที่หลังโรงพยาบาล

อีกมุมหนึ่ง วิญญาณพเนจรที่น่ากลัวได้ปรากฏขึ้น หมาเมรัยรู้ทันทีว่า การให้ทานของทั้งสองคงจะส่งแสงสว่างไปยังโลกวิญญาณมากเป็นพิเศษ จนดึงดูดวิญญาณพเนจรให้เข้ามาขอส่วนบุญ สุนัขบางตัว เริ่มเห่าหอนเมื่อมองไปทางวิญญาณเหล่านั้น

ป้าแม่บ้านคุยกับยายต่อไปว่า “ที่นี่ผีดุนัก เคยมีซินแสมาเชิญวิญญาณคนตาย บอกว่ามีวิญญาณหาทางออกจากโรงพยาบาลไม่ได้มากมาย เพราะหลงทางในความมืดไม่เห็นอะไร”

ยายแกเสริมต่อไปว่า “ยิ่งห้องฉุกเฉินนะ ถ้ารายไหนหนักๆ มา แล้วโวยวายเห็นผีนั่งบนรางผ้าม่าน มักจะตายเลยนะ” ป้าต่อไปอีกว่า “ตอนชั้นป่วย ฉันก็สะลึมสะลือ เห็นคนมาชวนไปอยู่ด้วยกัน ดีว่าฉันไม่ไป”

ยายเล่าต่อไปว่า “ฉันเลี้ยงหมาตอนสองทุ่ม ชั้นยังถูกผีหลอกเลย วิ่งแทบลืมแก่”

บรรดาหมาๆ เห่าหอนพลาง แต่ก็ไม่ลืมที่จะกิน แม้หมาเมรัยเองก็เถอะ วันนี้เป็นวันหนึ่งที่อิ่มที่สุดในชีวิตหมาๆ ของมัน เพราะหลังจากหมาที่แข็งแรงๆ กินจนอิ่มแล้ว ตัวรองๆ ก็ได้กินกันเต็มที่

เมื่อกินเต็มที่ ก็นอนทั้งที่ยังคันๆ จากทั้งเห็บทั้งหมัดอยู่อย่างนั้น คืนนี้มียุงมาร่วมดูดดื่มเลือดหมาเมรัยด้วย

เช้าวันใหม่ เมรัยตื่นขึ้นมาพบว่าร่างกายของตนเองเจ็บปวดระบม จนเคลื่อนไหวไม่ได้ ลืมตาไม่ขึ้นถนัดนัก หรือมีใครใจร้ายมากระทืบร่างหมาของเขาให้ต้องเจ็บช้ำขนาดนี้

เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น “ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว เมลูกแม่รู้สึกตัวแล้ว ขยับนิ้วได้แล้วด้วย” เสียงแม่เขานั่นเอง เสียงที่แสดงความยินดีอย่างที่สุด เขารวบรวมพลังงาน เปล่งเสียงเรียกคำว่า “แม่” อย่างยากลำบาก

เขายังต้องนอนพัก รักษาพยาบาล อีกหลายเดือน

หลายเดือนผ่านไป เขาเริ่มหัดเดินใหม่ รู้จากแม่ว่าร่างกายที่บาดเจ็บสาหัส ถูกย้ายมารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนในเมืองหลวงตั้งแต่สองวันหลังประสบอุบัติเหตุ แต่แม่คงไม่รู้หรอกว่า ตัวเขาไม่ได้รับรู้เหมือนเขาไม่ได้มาด้วย แต่เขากลับไปผจญภัยในฝันอันยาวนานและสมจริงอย่างยิ่ง

หนึ่งปีผ่านไป เขาลาออกไปทำงานที่ใหม่หลังจากหายดี เพราะไม่อยากขายเหล้าอีก หลังจากเหตุการณ์อัศจรรย์นั้น เขาเริ่มศึกษาธรรมะรักษาศีล เริ่มรู้สึกว่าความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งประเสริฐ ดีกว่าวิญญาณพเนจร ดีกว่าหมาจรจัดอย่างยากที่จะบรรยายเป็นคำพูด

แต่ ความตะขิดตะขวงใจ ถึง ประสบการณ์น่าอัศจรรย์ หรือจะเป็นเพียงฝันร้ายอันยาวนาน ระหว่างที่เขาสลบไสล ทำให้เขาตัดสินใจไปเยี่ยมโรงพยาบาลต่างจังหวัดแห่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง

เมรัยได้พบยายแก่ที่เลี้ยงหมาจริงๆ เขาไปสอบถามพูดคุยเรื่องที่แกเลี้ยงหมา ก่อนจะควักธนบัตรใบละหนึ่งพันให้คุณยายไปสองใบ ให้ยายไปใช้จ่ายตามใจชอบด้วยมือเหี่ยวๆ ของยายคนนี้ที่หยิบยื่นอาหารให้หมาจรจัดหลายตัว ถ้าฝันของเขาเป็นความจริง เขาก็เคยได้รับความเมตตาจากมือของคุณยาย

เขาเดินออกมานอกรั้วโรงพยาบาล เจอคนสติไม่ดีพูดว่า “เอ็งเชื่อไหม ผีเต็มโรงพยาบาลไปหมด ข้าเห็นๆ ฮ่าๆๆๆ” คนขับรถสองแถวจึงตะโกนว่า “ไอ้บ้า ไปไกลๆ ไป”

คนอื่นไม่เชื่อแต่เมรัยกลับคิดว่ามันอาจจะเป็นจริงก็ได้ คนบ้าอาจเห็นในสิ่งที่คนที่คิดว่า ตัวเองไม่บ้าไม่เห็น และพอพอมองไปอีกฝั่งถนน สายตาเขาก็พบกับหลวงตารูปนั้น ซึ่งคงถึงกำหนดมารับยาจากทางโรงพยาบาล เมรัยรอจนท่านข้ามถนนมายังฝั่งโรงพยาบาล ทำความเคารพท่านอย่างนอบน้อม แล้วถามว่า “หลวงตาครับ ที่ผมเจอหลวงตา เมื่อปีที่แล้ว ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมครับ”
หลวงตายิ้มแล้ว ตอบว่า “โยมไม่ได้ฝันไปหรอก”
จาก เวปไซท์ ธรรมะใกล้ตัว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น