++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

อดีตเจ้าแม่พัฒน์พงศ์ตกอับ ลูกหลานทิ้งขว้างให้ออกจากบ้านสิ้นเดือน

นี้

ลำปาง - เผยบั้นปลายชีวิตตกอับไร้ที่อยู่ของเศรษฐินีอดีตเจ้าแม่พัฒน์พงศ์ ทั้งที่ลูกยังมีชีวิตและฐานะดี ต้องออกจากบ้านที่เคยอยู่กับลูก เพียงเพราะไม่ได้รับโทรศัพท์-เปิดประตูให้ลูกเข้าบ้านกลางดึก แต่พอมาอยู่กับหลานยังถูกทิ้งขว้าง ปล่อยให้ถูกตัดน้ำ-ตัดไฟ แถมจะให้ออกจากบ้านสิ้นเดือนนี้

ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนางกมลนิตย์ เดชามาตย์ ชาวบ้านในหมู่บ้านการเคหะแห่งชาติ ต.พิชัย อ.เมืองลำปาง ว่ารู้สึกสงสารยายสุภานี ศรีสุภะ อายุ 75 ปี ที่มาอาศัยอยู่กับหลานแต่สุดท้ายก็ถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง แม้แต่ไฟฟ้า น้ำประปา และข้าวปลาอาหารก็ไม่ได้มาสนใจเอามาให้ผู้เป็นยาย ตนเองต้องเป็นคนคอยเรียกให้มากินข้าวที่บ้านของตน ส่วนน้ำ-ไฟนั้นชาวบ้านก็ช่วยกันออกเงินให้

แต่ที่สำคัญคือ ปลายเดือนนี้หลานสาวซึ่งยายสุภาณีอาศัยอยู่ได้ไล่ให้คุณยายออกจากบ้าน โดยยังไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน

เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบ พบกับนางสุภานี หญิงชราผมสั้นขาว แต่ยังมีร่างกายที่แข็งแรง สวมเสื้อคอกระเช้า กางเกงขาสามส่วนรออยู่ ก่อนที่จะพาไปดูในบ้านซึ่งเป็นของหลานสาว และบริเวณที่นอนอยู่ชั้นล่าง มีเพียงเตียง ที่นอน และผ้าห่มเท่านั้น

ยายสุภานีได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อ 40 กว่าปีก่อนได้แต่งงานและย้ายไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศ เมื่อลูกสาวอายุได้ประมาณ 12 ปีก็พาลูกสาวกลับประเทศไทย หลังจากนั้นตนก็ได้มาเปิดบาร์ในย่านพัฒน์พงศ์ การทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง รายได้ดีมาก จนมีคนตั้งฉายาให้กับตนเองว่าเจ้าแม่พัฒน์พงศ์ แต่เมื่อลูกสาวเริ่มโตขึ้นตนจึงเห็นว่าการทำธุรกิจดังกล่าวไม่ค่อยเหมาะสมเพราะตนเองก็มีลูกสาว จึงได้เลิกทำแล้วกลับมาใช้ชีวิตแบบชาวบ้านทั่วไป

หลังจากนั้นก็ได้ซื้อบ้านหลายแห่ง แต่สุดท้ายมาซื้อบ้านในโครงการพัฒนาที่ดินแห่งหนึ่ง แต่กลับถูกเบี้ยวโครงการล้มเจ้าของหนีสูญเงินไปกว่าสิบล้านบาท แต่ก็ยังมีเงินอยู่จึงได้ไปซื้อบ้านที่อาศัยอยู่กับลูก ครั้งล่าสุดที่หมู่บ้านแถวดอนเมือง มูลค่าร่วม 8 ล้านบาท ซึ่งก็อาศัยอยู่กับลูกและหลานอีกหนึ่งคน

จนกระทั่งเมื่อปี 2553 ก่อนเกิดเหตุที่ตนจำได้คือ เย็นวันพฤหัสบดี ลูกสาวได้บอกกับตนเองว่าจะพาลูกออกไปขี่ม้า แล้วบินไปต่างประเทศ จะกลับมาในวันอาทิตย์ให้แม่ปิดประตูให้สนิท และหากมีโทรศัพท์อะไรมาก็ไม่ต้องรับ เพราะแม่แก่แล้ว ตนก็ทำตาม แต่ทว่า เวลาประมาณ 22.00 น.ของคืนวันพฤหัสบดี ขณะตนนอนหลับแล้วลูกสาวของตนเองกลับบ้านมาเรียกแต่ตนเองก็ไม่ได้ยิน แต่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ แต่ด้วยความที่ลูกสาวสั่งไว้ว่าไม่ต้องรับ ตนจึงไม่รับโทรศัพท์

จนกระทั่ง 03.00 น. ตนเห็นว่าเสียงโทรศัพท์ยังดังไม่หยุดจึงเดินออกมารับ ปรากฏว่าเพื่อนของลูกสาวบอกว่าลูกสาวรออยู่หน้าบ้านตั้งแต่ 4 ทุ่มแล้ว ทำไมไม่เปิดประตูให้ลูก ตนจึงบอกว่าตนไม่รู้และรีบลงไปเปิดประตู เมื่อลูกเห็นตนเปิดประตูลูกก็พูดว่าทำไมไม่เปิดประตูให้ แล้วก็เดินเข้าบ้านหลังจากนั้นลูกสาวก็เปลี่ยนไป คือไม่ยอมพูดจา ไม่สนใจใยดีอะไรกับตนอีกเลย

หลังจากนั้นอีกกว่า 4 เดือน ตนรู้สึกอึดอัด เมื่อหลานสาวโทรศัพท์มาหาตนจึงเล่าเรื่องให้ฟัง หลานสาวจึงบอกให้ตนไปอยู่ด้วย ตนจึงตัดสินใจออกจากบ้านลูกสาว โดยขอให้หลานขับรถไปรับ ซึ่งตนไม่ได้เอาทรัพย์สินอะไรติดตัวออกมาเลย เพราะคิดว่าลูกคงมาตามกลับบ้าน แต่สุดท้ายลูกก็ไม่สนใจใยดีตนเองเลย

เมื่อตนมาอยู่กับหลานสาวคนแรกก็ได้ช่วยงานบ้านทุกอย่าง แต่สุดท้ายหลานสาวก็ขอให้ไปอยู่กับหลานอีกคนหนึ่งที่ลำปาง ซึ่งเป็นบ้านที่ตนอาศัยอยู่ในปัจจุบัน แต่จู่ๆ หลานสาวก็บอกว่า พี่สาว คือ หลานคนแรกไม่อยากให้อยู่แล้ว และขอให้ออกจากบ้านไปในสิ้นเดือนนี้ ส่วนตัวเองก็ไปอยู่ต่างอำเภอกับครอบครัว โดยปล่อยทิ้งให้ตนอยู่ตามลำพังมาร่วม 4 เดือนแล้ว น้ำประปา ไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ก็มาตัด เพื่อนบ้านสงสารจึงช่วยกันออกเงินชำระค่าน้ำ ค่าไฟให้ ส่วนอาหารเพื่อนบ้านก็จะเรียกให้ไปกิน

เมื่อถามถึงลูก ยายสุภานีได้เล่าด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่าไม่อยากพูดถึง เขาด่าว่าแม่สารพัด หากเขาอยากทิ้งก็ปล่อยให้ทิ้งไป ตนก็จะตัดขาดความเป็นแม่ลูกเช่นกัน แต่ตนอยากให้เขาส่งเงินเบี้ยยังชีพคนชราที่ลูกสาวเป็นผู้รับมาโดยตลอดมาให้ด้วย ส่งมาให้เท่าไหร่ก็ได้ ตนจะนำไปซื้อสิ่งของเพื่อจะไปบวช และไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

ด้าน นางกมลทิพย์ เพื่อนบ้านเล่าว่า ตนเห็นยายสุภานีแล้วรู้สึกสงสารมาก ทั้งๆ ที่ลูกของก็ยังมีชีวิต และก็ยังเงินทองมีอาชีพที่ใหญ่โต แต่ทำไมถึงใจไม้ไส้ระกำแบบนี้ ปล่อยแม่ทิ้งขว้างเหมือนไม่มีตัวตน แม้แต่ตนเองที่คอยให้ข้าวให้น้ำคุณยายเพราะสงสาร ลูกสาวของคุณยายยังโทรศัพท์มาต่อว่าด้วย ซึ่งตนเองไม่เข้าใจ เพราะแม่ก็คือพระในบ้าน แม้แม่จะดีจะเลวอย่างไรก็คือแม่

จึงอยากให้ส่วนอื่นของสังคมเข้ามาช่วยเหลือด้วย เพราะสิ้นเดือนนี้ (กันยายน 2555) หลานสาวก็จะไม่ให้คุณยายอยู่ที่บ้านแล้ว และตนเองก็ต้องไปอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงไม่รู้ว่าชะตากรรมของคุณยายจะเป็นอย่างไรต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น