++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

เราปฏิบัติเพื่อกำหนดรู้ความทุกข์โดยจิตที่เข้มแข็งพอจะกำหนดรู้ทุกข์ได้

 

ในการภาวนา เราเปิดจิตใจของเรากว้างออกไปรับรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เปรียบเสมือนกับห้องที่อับๆ และมืดสนิท ซึ่งเราเปิดหน้าต่างเปิดประตูให้แสงสว่างและอากาศเข้าไป ถ้าเราไม่พิจารณาความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ชีวิตย่อมถูกกิเลสครอบงำอยู่เสมอ พุทธศาสนาของเราถือว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ไม่ใช่ว่าพอเกิดแล้วปั๊บเราประเสริฐทันที เราจะประเสริฐได้ก็ด้วยการฝึก ความประเสริฐเป็นเป้าหมาย เป็นสิ่งที่เราบรรลุได้ แต่มันทำยากลำบากเหมือนกัน

หลวงพ่อชาเคยสอนอยู่เสมอว่า ความทุกข์ในโลกมีสองอย่าง คือความทุกข์ที่เป็นไปเพื่อความทุกข์ และความทุกข์ที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ความทุกข์ประเภทที่สองนั้นเราต้องยอมรับ พระพุทธองค์เคยตรัสว่า “ทุกข์เป็นเหตุให้เกิดศรัทธา ศรัทธาเป็นเหตุให้เกิดความปิติปราโมทย์ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความสุข และความสุขเป็นเหตุให้จิตเข้าถึงความสงบได้”

นี่เป็นข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งที่เราไม่ควรลืม เราปฏิบัติเพื่อกำหนดรู้ความทุกข์โดยจิตที่เข้มแข็งพอจะกำหนดรู้ทุกข์ได้ จิตที่ประกอบด้วยความสุขจะเป็นจิตที่เข้มแข็ง ถ้าจิตใจของเรายังหิวโหยขาดความสุข จิตนั้นจะอ่อนแอและจิตนั้นจะบรรลุสัจธรรมไม่ได้

พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า “ผู้มีปีติในธรรมย่อมเป็นสุข” คนเราต้องยกทุกๆ เรื่องในชีวิตประจำวันขึ้นสู่ธรรมะ เพราะถ้าเรารู้จักมองทุกอย่างเป็นธรรมะ ชีวิตก็จะมีแต่ความสุข
ชยสาโรภิกขุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น