++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

เกร็ดธรรมคำสอนสุดยอด : หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ



คิดดีก็รู้ คิดไม่ดีก็รู้ คิดดีก็เฉย คิดไม่ดีก็เฉย เราก็รู้จักตัวเราว่ามีทั้งคิดดี และคิดไม่ดี สงบหรือไม่สงบ เราก็ยืนอยู่ต้องเฉย “เฉย” ก็คือการทำสติ หรือภาวนา พยายามดึงกลับมาไว้ตรงนั้น มันก็สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ...ใครจะทำอย่างไร ก็วางเฉยได้ ไม่ปากเปราะ ไม่อารมณ์ร้อน ไม่ตอบโต้กับใครง่ายๆ เฉยเป็น นิ่งเป็น ที่มาฝึกก็เพราะเราต้องการสิ่งเหล่านี้ คือ ธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวนั่นเอง


เรามาฝึกใจของเรา ได้ก็ไม่ดีใจ เสียไปก็ไม่เสียใจ ทำเป็นกลาง อยู่ก็ดีใจ ไปก็ไม่เสียใจ ใครจะเกลียดเรา ก็ไม่เสียใจ ใครจะรักเรา ก็ไม่ลืมตัว เมื่อเราทำใจเป็นกลาง เราถือว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นทุกข์ทั้งนั้น มันเป็นกังวลทั้งนั้น มันเป็นภาระหนักทั้งนั้น ไม่ว่าจะไปจับอะไรสักอย่างหนึ่ง

ใจเราก็เหมือนกัน ถ้าเราวางใจเสียได้ ไม่ไปยึดว่าเป็นของเรา ไม่ไปยึดว่าสิ่งนั้นจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะต้องได้มาอย่างนั้น จะต้องได้มาอย่างนี้ จิตเราก็สบาย


พระพุทธเจ้าทรงศึกษามาแล้วจนจบจิต พวกเราที่ยังเป็นวัฏฏะ เวียนว่าย ตาย เกิดอยู่ก็ เพราะเราศึกษาจิตไม่จบ เพราะเรายังหลงจิตอยู่ ยังไม่รู้ว่าจะจับจุดพิจารณาอย่างไร ทำอย่างไรที่จะเข้าไปรู้ให้ถึงธรรมอันนั้น เพราะเรายังอยู่ในวัฏฏะ ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ เพราะจิตไม่มีตัวตน ก็เลยไม่รู้ว่าจะมองดูอย่างไร จะจับอย่างไร จิตนั้นมีความโลภ โกรธ หลง อยู่ในนั้นอยู่แล้วเราก็ไม่สามารถไปจับเขามาดู หรือมาบีบคั้นให้มันหมดไปได้อย่างไร

เมื่อไม่มีตัวตนเราก็ต้องใช้วิธีจับจิต แบบไม่มีตัวตนก็คือ ใช้การภาวนา เอาจิตเข้าไปไว้ตรงใดตรงหนึ่งให้จิตเป็นหนึ่ง เมื่อจิตใจจดจ่ออยู่เป็นหนึ่งก็ปรากฏความคิดขึ้นมา คิดไปเรื่องโน้นเราก็ตั้งสติ คิดไปเรื่องนี้เราก็รู้สติว่าเราคิดอะไร พอเรารู้ทันหนักเข้าๆ มันก็รวมเป็นใจว่าง ใจว่าง ใจสว่างนั่นคือ ตัวรู้ทันจิต ทำให้เกิดปัญญาญาณรอบรู้เท่าทันจิตตัวเองเกิดความสุขสงบขึ้นมา


บุญและบาปอยู่ในใจเราคนเดียว เหมือนมีคน ๒ คนอยู่ในใจเรา ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ผลัดกันแสดงอาการออกมา เวลาสงบก็มี “พุธโธ ธัมโม สังโฆ” อยู่ในใจ และนึกถึงพระอรหันต์อยู่ในใจ คนดีก็โผล่ขึ้นมาในใจ ก็นึกแต่สิ่งที่ดี พูดคุยแต่สิ่งที่ดี ก็แสดงอาการที่ดีออกมาทางกายและวาจา ถ้าขาดสติสัมปชัญญะ คนไม่ดีก็เกิดขึ้นมาแทน คิดแต่เรื่องไม่ดี ทำแต่เรื่องไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดี ทำแต่เรื่องที่ไม่สบายใจตลอดเวลา เขาเรียกว่า จิตตสังขารปรุงแต่งเป็นบุญและบาป “ปรุงแต่ง” เป็นบุญก็สบายใจ เย็นใจ ถ้าปรุงแต่งเป็นบาปก็ทำให้จิตใจเร่าร้อน เป็นทุกข์ระทมขมขื่นใจ จิตตสังขารปรุงแต่งจิตให้เป็นบุญและบาปอยู่สม่ำเสมอ ก็ต้องทำ “อุเบกขา” คือ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย สุขก็ทำเฉยๆ ทุกข์ก็ทำเฉยๆ ถือว่าเป็นธรรมดาที่คนเราก็มีอยู่ทุกวันทุกเวลา


ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนตามหลักธรรมชาติโดยตรง ร่างกายของเราก็เป็นธรรมชาติ ปรุงแต่งมาจากธรรมชาติ ที่เรามานั่งอยู่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติทั้งหมด

ที่ทุกข์ที่สุขนี่ เราไปคิดเอาเองจนเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต จนกลายเป็นยึดมั่นถือมั่น ว่าจากเราไปไม่ได้ ทั้งๆที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันจากกันได้หมด ไม่มีอะไรติดอยู่ในตัวเราเลย จะมีก็ “ทาน ศีล ภาวนา” ที่จะติดอยู่ในใจเราได้

สิ่งนี้แหละที่จะส่งเราไปถึงพระนิพพาน นอกจากนั้นไม่มีเลย ไปไม่ถึงนิพพาน เป็นของหล่นอยู่กับโลกหมด กลายเป็นของที่ถูกคนอื่นนำไปใช้ต่อ


ที่คนเราไปศึกษาข้างนอกมากๆ จึงได้แต่ความวุ่นวาย เพราะไม่เคยดูกายใจตัวเอง ไปเห็นผมคนโน้นสวย เห็นขนคนนี้สวย เห็นปรุงแต่งแต่เรื่องสวยงาม เห็นเล็บ เห็นขน เห็นหนังคนโน้นสวยคนนี้สวย ใจมันก็เลยไม่สงบ พอมาดูตัวเรา เราก็หลงว่ามันเป็นอย่างนี้ เรียกว่าไม่ได้ดูตัวเอง หรือดูแต่ไม่ได้พิจารณาให้แจ้งชัด จิตมันก็เลยฟุ้งซ่านไม่สงบ

เรียนรู้กรรมฐาน ก็คือ เรียนรู้เรื่องของตัวเองตามความเป็นจริงแล้ว ก็ไปรู้เรื่องธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม แยกกายแยกใจตัวเอง การที่เราเรียนรู้แยกกายแยกใจ ทำให้จิตของเราสบายไม่ข้อง ไม่ไปวิตกกังวล จึงว่าเราต้องมาคิดถึงเรื่อง ความเกิด แก่เจ็บ ตาย ถ้าเราไม่คิดถึงเรื่องความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เลยเราก็คงไม่เป็นสุขพอเราคิดแล้วเรื่องราวต่างๆ มันก็ปล่อยวางได้ ดีใจเสียใจเราก็ปลงได้ เรื่องของการปฏิบัติมันก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเรื่องพิจารณาตัวเอง ถ้าเรามาดูเรื่องอย่างนี้มันก็ไม่ยากอะไร ก็ไม่ใช่ของลำบากอะไร แล้วพอมาเห็นเรื่องของตัวเรา เราก็สงบมีความรู้มีปัญญาเกิดขึ้น ควบคุมใจตัวเองได้ก็เป็นของดีที่สุด


“สมาธิ” ทำให้คนฉลาด ทำให้คนรู้จักใจตัวเอง สมาธินี่เป็นการทำเบรค คนเราโดยมากใจไม่มีเบรค เพราะไม่มีสมาธิ ไม่มีสติ ไม่มีการควบคุมใจของตนเอง ก็กลายเป็นคนใจไม่ดี คอยมีเรื่องอยู่ทุกวัน เพราะขาดสติทุกวัน แต่ถ้าเราทำใจดีๆ แล้ว ก็ไม่มีเรื่องอะไรกับใคร มีแต่เรื่องดีให้เขาทั้งวัน พูดเมื่อไหร่ก็สบายใจเมื่อนั้น นั่นแหละเพราะใจดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น