++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

ชีวิตที่สงบ โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช


เมื่อ 50 ปีก่อน นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีคนไทยรู้จักน้อยมาก ส่วนออสเตรเลียนั้น เริ่มมีคนรู้จักและส่งบุตรหลานไปเรียนกัน โดยเฉพาะที่เมลเบิร์นมีโรงเรียนจีลอง แกรมม่าสกูล นักเรียนไทยคนแรกๆ คือ ม.ร.ว.เกษมสโมสร เกษมศรี ต่อมาก็มี มีชัย วีระไวทยะ ซึ่งไปสร้างชื่อเสียงให้คนไทยมาก โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนประจำแบบอังกฤษ มีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือมีค่ายพักแรมที่ให้เด็กขึ้นไปใช้ชีวิตอยู่

สำหรับนิวซีแลนด์นั้น เมืองไทยก็เป็นของใหม่สำหรับเขาเช่นกัน ชาวนิวซีแลนด์มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย บ้านเมืองสงบ เมืองแต่ละเมืองก็เป็นเมืองเล็กๆ มีฟาร์มแกะมากมาย คนนิวซีแลนด์มีเพียงสองล้านกว่าคน ชอบเล่นกีฬาและมีนักกีฬาวิ่งทางไกลที่ได้เหรียญทองโอลิมปิก มีทีมรักบี้ออลแบล็คที่เก่งที่สุดในโลก คนนิวซีแลนด์มีเชื้อสายอังกฤษ แต่ก็มีคนพื้นเมืองคือชาวเมารี

สมัยก่อนชาวเมารีเป็นคนที่ชอบความสบาย จิตใจรื่นเริงชอบร้องเพลง ในเมืองจะเห็นวัยรุ่นตามผับดื่มเบียร์กันเป็นประจำ คนเมารีมีหลายเผ่า ผู้หญิงยังขี้อายอยู่ เมารีมีอาหารเด็ดอย่างหนึ่งคือ หมูย่างเรียกว่า “แฮงกิ” เขาขุดหลุมแล้วเอาหมู ผักต่างๆ เช่น มันเทศ ฟักทอง ลงไปรวมกันแล้วจุดไฟเผา จะเรียกว่าหมูหลุมก็ได้ ชาวเมารีค่อนข้างยากจน ผมเคยไปที่ปลายสุดของเกาะเหนือไปสร้างโรงเรียนให้เผ่าราราวา เขาจึงทำพิธีรับผมเข้าเป็นสมาชิกของเผ่านี้ด้วย คนเผ่านี้ใจดี ผู้หญิงก็ขี้อาย เวลาจูบกันก็ใช้จมูกชนกัน

นักการเมืองนิวซีแลนด์มาจากคนสองพวกคือ ไม่เป็นชาวนาก็เป็นกรรมกร พวกชาวนาเป็นคนรวยนิยมพรรคอนุรักษ์ ส่วนพวกกรรมกรนิยมพรรคเลเบอร์ นักการเมืองของเขาหลายคนจบแค่มัธยมปลายเท่านั้น

สมัยเมื่อ 50 ปีที่แล้ว มีคนไทยเรียนอยู่ไม่เกิน 50 คน ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนทุนโคลอมโบที่อยู่กับครอบครัวชาวนิวซีแลนด์ ผมไปอยู่กับครอบครัวที่ทำงานรับเหมาก่อสร้าง มีบ้านใหญ่อยู่บนเขา กว่าจะขึ้นไปบ้านได้ก็ต้องเดินขึ้นเพราะรถจอดแค่ตีนเขา เดินสักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ทำให้ผมผอมลงมาก และเวลาจะขึ้นรถบัสก็ต้องกะเวลาให้ดี เพราะรถจะมาเป็นเวลา ครอบครัวนี้ชอบแทงม้าและบ้านรกรุงรังมาก ในตู้เย็นก็ไม่มีของ เราต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ เป็นเวลาหลายเดือน ตอนหลังมาทราบว่ากิจการก่อสร้างไม่ดีกำลังล้มละลาย ที่บ้านเต็มไปด้วยขวดไวน์ ต่อมาผมกลับไปนิวซีแลนด์ปรากฏว่าบ้านกลายเป็นบ้านทูตแถบสแกนดิเนเวียไปแล้ว

ตอนผมอยู่ในเมืองมีโรงหนังสองโรง มีถนนที่เดินชอปปิ้งสายเดียว มีร้านอาหารจีนธรรมดาๆ หนึ่งร้าน และร้านหรูๆ อีกหนึ่งร้าน อาหารที่ขายก็มีหมูย่าง ข้าวผัด และไข่เจียว ส่วนร้านอาหารไทยไม่มี ผิดกับเวลานี้ทราบว่ามีเกือบร้อยร้านแล้ว

วันหยุดบ้านเมืองจะเงียบมาก เพราะคนอยู่บ้านทำสวน เมืองที่ผมอยู่เป็นเมืองหลวง มีสวนดอกไม้จะสวยมาก วันอาทิตย์เป็นวันที่เล่นกีฬา ผมเล่นฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ต้องขึ้นรถไฟไปแข่ง และไม่มีคนดูเลย เล่นกันเองเงียบเหงามาก ในทุกเมืองจะมีสนามรักบี้และจะมีสโมสรของแต่ละเมือง กีฬาที่นิยมกันมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ลอนโบว์ซึ่งคนแก่ชอบเล่น

มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนชื่อ วิกตอเรีย อยู่บนเขาต้องขึ้นรถรางไป วันไหนไม่มีตังค์ก็ต้องเดินขึ้น มีบันไดประมาณ 100 กว่าขั้น เรียกว่าชีวิตที่นั่นเป็นการเดินตลอด ถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับแท็กซี่นั้น นักเรียนจะไม่นิยมใช้เพราะแพง

เวลานั้นนิวซีแลนด์ยังไม่ได้ปลูกองุ่น ส่วนผลกีวีนั้นก็ยังไม่มี ต่อมามีการปลูกองุ่นและทำไวน์ โดยเฉพาะไวน์ขาวเป็นที่นิยมมาก เมื่อผมกลับไปหลังจากจบแล้วได้มีโอกาสขับรถแวะตามไร่องุ่น ชิมไวน์ และเขามักจะมีร้านอาหารเล็กๆ อยู่ด้วย

การอยู่นิวซีแลนด์ 4 ปี ทำให้ผมเคยชินกับชีวิตแบบธรรมชาติที่เรียบง่าย ต่อมาเมื่อไปอเมริกาก็ไปอยู่เมืองแมดิสัน รัฐวิสคอนซิน ซึ่งคล้ายๆ นิวซีแลนด์คือมีฟาร์มมาก และมีเนยแข็งอร่อย เมืองแมดิสันเป็นเมืองนักเรียน พอถึงโรงเรียนหยุดก็เงียบเหงา ผมเลยเคยชินแม้จะมีโอกาสย้ายไปเรียนที่อื่นก็ไม่ไป พวกนิวยอร์กมักล้อชาวมิกเวสว่าเป็นบ้านนอก แต่วิสคอนซินก็มีอะไรดีๆ หลายอย่าง เช่น ทีมฟุตบอล กรีนเบย์ แพคเกอร์ เป็นต้น

จะว่าไปแล้วการได้ใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่เงียบๆ ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะทำให้เราอยู่ตามลำพังได้ เวลานี้ผมจึงได้กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นที่เขาใหญ่ซึ่งสงบและธรรมชาติดีมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น