++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ม้ง สงครามวีรบุรุษ ปะทะ แม้ว สงครามคนขายชาติ




โดย ชัยพันธุ์ ประภาสะวัต

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสชมภาพยนตร์ไทยเรื่อง “ม้ง สงครามวีรบุรุษ” ซึ่งมีนักวิจารณ์กล่าวชื่นชมกันหลายคน ทั้งที่หนังเพิ่งเข้าฉายได้ไม่กี่วัน แต่คนดูกลับบางตาอย่างเห็นได้ชัด ในรอบเย็นที่ผมไปดู มีผู้ชมรวมทั้งผมด้วยเพียงแค่ 5 คน ผมไม่แน่ใจว่าท่านที่อยากดูจะมีโอกาสไปดูทันหรือไม่ เพราะหนังดีแต่ไม่ทำเงินแบบนี้ ไม่นานคงถูกถอดออกจากโรงฉายไปอย่างไม่ต้องสงสัย

วันนี้ต้องขอเขียนถึง แม้ว่าจะไม่ใช่นักวิจารณ์ภาพยนตร์ แต่ก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบดูหนัง และอยากให้กำลังใจผู้สร้างหนังเรื่องนี้ที่มีความตั้งใจอันแรงกล้า ที่จะปลุกจิตสำนึกของคนที่เข้าไปชมให้เกิดความรักชาติและกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดที่คุ้มกะลาหัวของตนเอง แม้เทคนิคการถ่ายทำจะไม่ได้ดีเด่นอะไรมากมาย แต่ก็ต้องขอชื่นชมจากใจจริง

นับว่าเป็นหนังที่เข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน ตรงที่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนความผิดพลาดในอดีต การเรียนรู้ประวัติศาสตร์มีประโยชน์เพื่อสอนไม่ให้เราทำผิดพลาดซ้ำรอย

เรื่องราวของ “ม้ง สงครามวีรบุรุษ” กล่าวถึงคนไทย 2 ครอบครัวที่เข้าไปผูกพันกันในสงคราม ซึ่งเริ่มต้นในยุทธการที่เขาค้อ ชนเผ่าม้งซึ่งก็เป็นคนไทยที่เข้ามาอาศัยอยู่ในแผ่นดินแห่งนี้ ถูกบีบคั้นจนต้องไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พ่อลูกต้องเดินกันคนละเส้นทาง แต่ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในระหว่างการสู้รบ สุดท้ายต้องลงเอยด้วยความสูญเสีย นายทหารไทยสายเลือดม้ง ผู้หมวดหนุ่มซึ่งมีพ่อที่แท้จริงเป็นหัวหน้าผกค. แต่มีพ่อเลี้ยงเป็นนายพลแห่งกองทัพไทย

ฉากจบที่สะเทือนใจผู้ชมคือก่อนที่นายทหารหนุ่มจะสิ้นลมสุดท้าย เขาขอให้พ่อทั้งสองคนและเพื่อนทหารช่วยกันร้องเพลงชาติไทยร่วมกันให้เขาฟัง สิ่งสุดท้ายที่สั่งเสียกับพ่อที่เป็นม้ง คือขอให้พ่อช่วยไปบอกพี่น้องของเขาให้กลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย และดูแลแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่

เหตุการณ์ที่อ้างว่าสร้างจากเรื่องจริงในสมรภูมิ “เขาค้อ” เรื่องราวเพิ่งผ่านมาเพียง 30 กว่าปี แต่ทำไมล้อเกวียนมันหมุนเร็วจนกลับมาซ้ำรอยเดิม คราวนี้เปลี่ยนสมรภูมิมาอยู่ในเมืองและแผ่กระจายไปทั่วแผ่นดิน ความแตกแยกและร้าวฉานลุกลามจนแทบจะเกินเยียวยา โอกาสปรองดองหรือจะใช้นโยบายแบบเดิม 66/23 ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้มิอาจแยกแยะผิดชอบชั่วดี พ่อลูก ผัวเมีย เพื่อนรัก พร้อมที่จะฆ่ากัน เพียงเพราะความเชื่อที่แตกต่าง และความเห็นที่ไม่ตรงกันในทางการเมือง

ขอเป็นกำลังใจให้กับ “เจมมี่ ว่างลี” ผู้กำกับสายเลือดม้ง ซึ่งเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์และลงมือกำกับร่วมกับ “เสรี พงศ์นิธิ” รวมทั้ง “ป้าเย้ง เรซอัพ โปรดั๊กชั่น จำกัด” & บริษัทภาพยนตร์ของชาวม้งแห่งแรกในไทยที่กล้าทำหนังแบบนี้ออกมา และขอชื่นชมนักแสดงคุณภาพอย่าง สรพงษ์ ชาตรี ซึ่งยังคงเป็นพระเอกได้ตลอดกาล อีกทั้งนักแสดงทุกท่านที่คงไม่สามารถเอ่ยนาม เพราะจำชื่อไม่ได้ ที่ลืมไม่ได้คือผู้อำนวยการสร้างทั้ง 3 คนคือ มานิตย์ แซ่ว่าง พรเทพ วัจน์นาถรุ่งโรจน์ และณัฐพงษ์ ชญาพิพรรธน์กุล ซึ่งผลักดันให้เกิดหนังเรื่องนี้เพื่อให้เมืองไทยได้มีหนังดีๆ บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์บ้าง ทั้งที่แค่คิดจะสร้างก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้หวังทำเงิน ทำได้แค่กล่อง

แม้ในบ้านเราจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่อย่างน้อยภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังได้รับการยกย่องให้เป็น “Best of the Festival” ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่สหรัฐอเมริกา ผมเองก็คงให้คุณได้แค่คำชมเชย และเป็นกำลังใจให้ผลิตผลงานที่มีคุณค่าต่อไป เบื่อเต็มทีกับหนังตลก หนังรัก หนังผี ที่สร้างกันออกมามากมายเพียงเพื่อหาเงินไปวันๆ โดยที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับสังคม หนังบางเรื่องยังก่อให้เกิดปัญหาสังคมเสียด้วยซ้ำ

ศิลปะ วรรณกรรม ภาพยนตร์ ล้วนเป็นสื่อที่เข้าถึงประชาชนได้ง่าย และมีอิทธิพลทางความคิดซึ่งสามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตผู้คนมาแล้วมากมาย ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนที่จะก้าวพ้นวัฏจักรของการ “กิน ขี้ ปี้ นอน” ความเสื่อมโทรมและความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่มาจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้น

จบเรื่อง “ม้ง สงครามวีรบุรุษ” ไปแล้ว ผมจะแถมให้อีกเรื่องซึ่งมีเค้าโครงจากเรื่องจริง และยังไม่มีใครทำเป็นหนัง แต่ต้องถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย เป็นเรื่องราวของ “แม้ว สงครามคนขายชาติ” ซึ่งยังไม่รู้ตอนจบ แต่ยังไงก็ต้องมีฉากสุดท้ายแน่นอน

แม้ว เป็นคนเมืองเหนือ เกิดในตระกูลพ่อค้าคนจีนซึ่งบรรพบุรุษอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารภายในผืนแผ่นดินไทย พ่อแม่เห็นความสำคัญของการศึกษา จึงส่งเสียแม้วให้เล่าเรียนจนจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ

ตั้งแต่เด็ก ชีวิตแม้วไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องปากกัดตีนถีบพอสมควร โชคดีที่ได้พี่สาวคอยช่วยเหลือ แม้วรับราชการอยู่ได้ไม่นาน ก็เห็นช่องทางทำธุรกิจ ด้วยความที่เป็นคนมุ่งมั่นทะเยอทะยาน และต้องการถีบตัวเองออกมาให้พ้นจากภาวะหนี้สินของครอบครัว ที่หลายครั้งการเงินสะดุดจนต้องวิ่งแลกเช็ค และขอความช่วยเหลือจากญาติมิตร เพื่อนฝูง

จากบริษัทเล็กๆ ที่ค้าขายคอมพิวเตอร์ เมื่อได้โอกาสสนิทสนมกับนักการเมือง แม้วก็มองเห็นช่องทางและโอกาส เขาทำทุกวิถีทางจนได้สัมปทานระบบการสื่อสารของประเทศด้วยการผูกขาดในระยะแรก จนสามารถสะสมเงินทุนได้อย่างรวดเร็ว มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

หลังประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจ ต่อมาเขาก็เปลี่ยนจากการพึ่งพานักการเมือง ผันตัวเองเข้ามาสู่การเมืองโดยตรง ยิ่งเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน มีทั้งเงิน ทั้งบารมี และที่สุดก็ได้อำนาจทางการเมือง กลายเป็นผู้บริหารประเทศที่ยิ่งใหญ่ กุมอำนาจทั้งบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติ ออกกฎหมาย เปลี่ยนแปลงกฎหมายตามใจชอบ ปล่อยให้เครือญาติเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ และร่วมกันสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเมกะโปรเจกต์ กินส่วนต่างหัวคิวงบประมาณ นักธุรกิจที่ไม่ใช่พวกพ้องถูกกลั่นแกล้งทำลาย ในขณะเดียวกันก็ขยายฐานธุรกิจให้ลูกเมียได้ทำมาหากินหลายรูปแบบ สุดท้ายขายธุรกิจที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติให้กลุ่มทุนต่างชาติ แถมยังหลีกเลี่ยงภาษีมโหฬาร

ประชาชนสุดทนจนต้องออกมาเปิดโปงความชั่วช้า และออกมาต่อต้าน จนกระทั่งเริ่มมีการขุดคุ้ยและตรวจสอบพฤติกรรมทางการเงินที่มีการฉ้อฉลมากมาย อาทิ การปล่อยเงินกู้ให้ต่างชาติโดยให้บริษัทบริวารของตนเข้าไปเป็นผู้รับเงินจากโครงการนั้นเอง ให้เมียซื้อที่ดินของหลวงในราคาที่ถูกกว่าราคาตลาด ใช้อำนาจของตนโดยมิชอบ เพื่อให้ธนาคารของรัฐยอมปล่อยเงินกู้ให้เอกชนซึ่งเป็นพวกพ้อง ฯลฯ

ภายหลังยิ่งเหิมเกริม ถึงกับวางแผนที่จะโค่นล้มระบบกษัตริย์ เพื่อสถาปนาตนเองให้เป็นประธานาธิบดี แต่มีทหารไทยกลุ่มหนึ่งที่ไม่สมประโยชน์และกำลังจะเสียตำแหน่ง รวมตัวกันลุกขึ้นมากระทำรัฐประหาร แต่ขาดความจริงใจต่อประเทศชาติ ปล่อยให้การเมืองแบบเดิมกลับเข้ามาใหม่

แม้วต้องเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีไปทั่วโลก หลบไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองด้วยความคับแค้นใจ มีเงินแต่ต้องหมดอำนาจ แถมมีคดีความติดตัวต้องถูกพิพากษาให้จำคุก ด้วยความหน้ามืดตามัวจึงสั่งสมุนให้ทำลายหน้าตาของประเทศ โดยการบุกเข้าทำลายการประชุมนานาชาติ จนเหล่าผู้นำชาติมหาอำนาจต้องหนีกันกระเจิง

เท่านั้นไม่พอ แม้วยังยุยงให้คนทำสงครามกลางเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจและกลับมาเป็นใหญ่ได้ถึง 2 ครั้ง บงการให้ผู้คนของตนที่ถูกปลูกฝังความเชื่อว่าตนเองถูกรังแก พากันมาเผาบ้านเผาเมือง ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร โรงหนัง และศาลากลางจังหวัด จนทำให้มีทหารและประชาชนล้มตาย เป็นข่าวใหญ่โตเป็นที่เศร้าสลดไปทั่วโลก เพราะความโลภของคนเพียงคนเดียว

เมื่อไม่สามารถกลับประเทศได้ แม้วจึงใช้น้องสาวของตนเป็นตัวแทน กลับเข้ามาเป็นใหญ่ยึดบ้านเมืองด้วยอำนาจเงินและบารมีเก่าที่ยังพอมีอยู่ เอาคนชั่วทั้งหลายมาเป็นผู้รับใช้ พยายามบ่อนทำลายกระบวนการยุติธรรม คุมอำนาจตำรวจและทหารไว้ในมือ สมคบกับต่างชาติ ขายแผ่นดินบางส่วนเพื่อแลกกับผลประโยชน์มหาศาลจากแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในทะเล เปิดประตูให้ต่างชาติเข้ามาใช้ประเทศเป็นฐานในการจารกรรม และส่งกำลังบำรุงในการรบหากเกิดสงคราม เท่ากับเป็นการชักศึกเข้าบ้านและขายชาติ

ทุกวันนี้แม้วยังคงมุ่งมั่นและใฝ่ฝันที่จะกลับมาเป็นประธานาธิบดี หวังจะโค่นล้มสถาบัน ยุยงให้ผู้คนในประเทศแตกแยกและพร้อมจะเข่นฆ่ากันเอง

“แม้ว สงครามคนขายชาติ” ยังหาคนเขียนฉากจบไม่ได้ และยังไม่มีผู้อำนายการสร้าง ตอนจบของเรื่องจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับหัวใจของพี่น้องคนไทยทุกคนว่าจะช่วยกันนำพาเรื่องนี้ให้ดำเนินไปจนถึงฉากสุดท้ายในรูปแบบใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น