++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

พระรังสีมุนีนาท (โสณพราหณ์)



ลำดับนั้น
โสณพราหมณ์จะได้บังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อไปในอนาคตกาล
ทรงพระนามว่าพระรังสีมุนีนาถศาสดาจารย์เจ้านั้น
- พระองค์มีพระวรกายสูงได้ ๖๐ ศอก
- มีพระชนมายุยืนได้ ๕ พันปีเป็นกำหนด
- คัมภีร์หนึ่งว่าไม้เลียบ คัมภีร์หนึ่งว่าไม้ดีปลี เป็นพระมหาโพธิ
- ประกอบไปด้วยพระพุทธรัศมีดุจสีทองรุ่งเรืองสว่างทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นอันงาม
- ในศาสนาพระพุทธรังสีมุนีนั้น
มนุษย์ทั้งปวงกระทำการงานเลี้ยงชีวิตของอาตมาเหมือนมนุษย์ทุกวันนี้
พระพุทธเจ้าผู้ทรงพระนามว่า รังสีมุนี นั้น ได้สร้างพระบารมีทั้ง ๑๐
ประการมาเป็นอาทิ คือทานและศีล แต่กองพระบารมีครั้งหนึ่ง
เป็นปรมัตถบารมีปรากฏอัศจรรย์หวั่นไหวจึงได้พระพุทธสมบัติทั้งปวง
พระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงนำมาซึ่งอดีตนิทาน ของพระรังสีมุนีนาถว่า อตีเต
กาเล ในอดีตกาลล่วงลับไปแล้วช้านาน
ในเมื่อพระศาสนาพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสในโลก

.ครั้งนั้นโสณพราหมณ์บรมโพธิสัตว์
บังเกิดเป็นมาณพผู้หนึ่งมีนามว่า มาฆมานพ เป็นมหาวาณิชพ่อค้าสำเภา
มีความปรารถนามักมาก ไปค้าสำเภาเป็นปฐมนั้น ราคาสินค้าอันหนึ่งขายได้กำไร
๑๐ เท่าแล้วประมวญทรัพย์กลับสำเภาแล่นมานาวาก็จมลงในน้ำแต่ตัวนั้นรอดมาได้
มาฆมานพก็จัดแจงสำเภาไปใหม่เป็นคำรบ ๒ สินค้าอันเดียวขายได้กำไร ๑๐ เท่า
ได้ทรัพย์แล้วกลับมาสู่บ้านเรือนได้ ๗
วันก็เกิดเพลิงไหม้เรือนสิ้นข้าวของทั้งหลายเป็นอันมาก
จึงจัดแจงสำเภาไปค้าขายอีกเป็นคำรบ ๓ ก็ขายของสิ่งเดียวได้กำไรอีก ๑๐
เท่า ได้ทรัพย์แล้วกลับมายังบ้านเรือนก็มีโจรทั้งหลายเข้าสะกดหลับเก็บเอาทรัพย์สิ่งของทองเงินทั้งปวงไปสิ้น
ในขณะนั้นมฆมานพจัดแจงแต่งสินค้าไปขายเป็นคำรบ ๔
ก็ได้ราคาขายของสิ่งเดียวบังเกิดผลถึง ๑๐ เท่า
ได้ทรัพย์แล้วกลับถึงบ้านเรือน
ในวันนั้นพระมหากษัตริย์ให้ราชบุรุษทั้งหลายไปเก็บเอาทรัพย์สิ่งของแห่งมาฆมาณพนั้น
มาเข้าท้องพระคลังจนหมดจนสิ้น ตกลงว่ามาฆมาณพผู้เป็นมหาวาณิชนั้น
ได้ซึ่งความพินาศฉิบหายถึง ๔ ครั้ง มาฆมาณพกับภรรยาสองคนผัวเมีย
ก็เกิดความทุกข์ยากวิวาทกับภรรยาเมื่อคราวจนแล้ว
ส่วนตัวได้ผ้าแดงผืนหนึ่งกับทองแสนหนึ่ง
หย่ากันกับภรรยาเสียแล้วก็ลงจากเรือนไปเที่ยวค้าขาย
คิดว่าครั้งนี้เราจะไปกระทำวาณิชกรรมในที่ดังฤา
ก็เที่ยวไปในประเทศจนถึงเมืองโกสัมพี ในกาลนั้นเป็นวันปัณณรสีอุโบสถ
มาณพนั้นก็รักษาศีลสำรวมจิตปรกติ
ฝ่ายว่าชาวเมืองโกสัมพีและชาวนิคมชนบททั้งหลายก็ชวนกันเดินไปมาในท่ามกลางพระนครตามความปรารถนา

ในกาลนั้น
พระสาวกองค์หนึ่งแห่งพระกุกกุสันธสัพพัญญูพระผู้เป็นเจ้าพระองค์นั้นเข้าสู่ผลสมาบัติ
ครั้นว่าออกจากษมาบัติแล้วพระผู้เป็นเจ้าจินตนาว่า
ใครหนอมีความทุกข์เบียดเบียนเป็นอันมาก
เล็งแลดูด้วยทิพยจักษุญาณก็เห็นแจ้งว่ามาฆมาณพผู้เป็นบรมโพธิสัตว์นั้นประกอบด้วยมหันตทุกข์มากนัก
ควรอาตมาจะยังมาณพผู้นี้ให้บังเกิดผลเห็นเป็นทิฏฐธรรมเวทนีย์
ให้ได้เสวยผลในอัตภาพชาตินี้
พระผู้เป็นเจ้าคิดแล้วก็จับบาตรและจีวรประดับกายพร้อมแล้วเหาะมาโดยอากาศ
ลงในท่ามกลางเมืองโกสัมพี ยืนอยู่ในที่ใกล้มรรคาหนทาง
พอมาฆมาณพเดินมาตามมรรคาเห็นพระสาวกแล้วก็เข้าไปกราบไหว้ถามว่า
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าจะปรารถนาสิ่งดังฤา ดูก่อนมาณพ
อาตมาภาพมายืนอยู่เพื่อจะรับทานของท่าน
มาณพได้ฟังดังนั้นก็มีจิตเลื่อมใสศรัทธา ประกอบไปด้วยความโสมนัส
เปรียบเหมือนบุรุษยากไร้เข็ญใจ
ได้ซึ่งถุงทรัพย์พันตำลึงอันท่านมาวางลงในมือแห่งตน
จึงกล่าวว่าข้าแต่พระผู้เจริญศีลาธิคุณ ตัวของข้าพเจ้าเป็นปุถุชนวาณิช
เที่ยวค้าขายได้กำไรถึง ๔ หน ก็บังเกิดมหันตทุกข์เป็นอันมาก
บัดนี้ข้าพเจ้าขอกระทำพระนิพพานเป็นวาณิชกรรมแห่งข้าพเจ้าแล้ว
จะยังจิตให้เที่ยวไปค้าขายในเมืองแก้ว ให้ได้สมบัติโลกุตระในเบื้องหน้า
ครั้นว่าแล้วก็เอาทองแสนหนึ่งกับผ้าแดงผืนหนึ่งถวายแก่พระสาวก
ด้วยจิตโสมนัสศรัทธาเลื่อมใสเป็นอันดี แล้วก็กระทำความปรารถนาว่า
เดชะผลทานในกาลบัดนี้จงเป็นปัจจัยให้สำเร็จแก่พระสัพพัญญุตญาณเถิด
พระสาวกเจ้าก็รับเอาไทยทานแล้วก็อนุโมทนาว่า
ดูก่อนอุบาสกผู้รู้พระไตรสรณาคุณแก้วสามประการ
อันว่าความปรารถนาของท่านมีประการใด ขิปฺปํ สมิจฺฉตุ
จงสำเร็จเป็นอันเร็วแก่ท่านดังความปรารถนานั้นเถิด
พระผู้เป็นเจ้ากล่าวอนุโมทนาแล้วก็เหาะไปในอากาศเวหา
ในเมื่อพระสาวกนั้นหายไปลับจักษุมาณพแล้ว
ในที่ถวายทานแห่งมาณพนั้นก็บังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ขึ้นมาต้นหนึ่ง
ฝ่ายมาณพก็ขึ้นอาศัยไม้กัลปพฤกษ์นั้น
เปรียบเหมือนเทพบุตรผู้มีฤทธิ์ไปนั่งอยู่บนยอดเขายุคนธรบรรพต

ครั้งนั้นพระเจ้าโกสัมพีเสด็จแวดล้อมมาด้วยมหาชนเป็นบริวาร
ออกมาถึงสถนที่นั้น ทอดพระเนตรเห็นมาณพนั่งอยู่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์นั้น
ประดุจดังทิพยพิมาน จึงเสด็จเข้าไปใกล้ต้นกัลปพฤกษ์
ฝ่ายว่าเทพารักษ์ที่รักษาต้นกัลปพฤกษ์นั้น
ก็จับเอาพระศอพระยาโกสัมพีเสือกไสออกมา จึงทรงพิโรธ
สั่งให้ราชบุรุษทั้งหลายเอาไฟมาเผาทิพยพิมานนั้นเสีย
ในที่นั้นก็บังเกิดเป็นดอกประทุมชาติผุดขึ้นมารองรับเอามาณพนั้นไว้ให้นั่งอยู่บนดอกบัวเป็นอันงาม
ฝ่ายพระยาโกสัมพีทรงเห็นเป็นอัศจรรย์
จึงสั่งให้จับตัวมาณพบรมโพธิสัตว์ให้เอาไปถ่วงน้ำเสีย
เมื่อมหาชนเอามาณพไปถ่วงน้ำครั้งนั้นดอกบัวใหญ่ก็ผุดขึ้นมารับเอามาณพไว้มิได้เป็นอันตราย
ครั้นพระยาโกสัมพีเห็นอัศจรรย์ดังนั้น จึงถามมาณพว่า
ไม้กัลปพฤกษ์ต้นนี้บุคคลดังฤาให้แก่ท่าน มาณพจึงทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐไม้วิมานทิพย์นี้พระสาวกให้แก่ข้าพระบาท
จึงตรัสว่าท่านจงไปหาพระสาวกให้มายังสำนักแห่งเรา
เราจึงจะเชื่อถ้อยฟังคำของท่าน ครั้งนั้นมาฆมาณพจึงตั้งจิตอธิษฐาน
เพื่อจะให้พระผู้เป็นเจ้ามา ด้วยวาจาว่าข้าแต่พระผู้เจริญคุณเป็นอันมาก
บัดนี้จงอนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้ากลับมายังสำนักข้าพเจ้าก่อนเถิด
พอขาดคำอธิษฐานลง องค์พระสาวกผู้ประเสริฐก็เล็งแลด้วยทิพยจักษุญาณ
รู้แจ้งแล้วก็เหาะลอยลงมายืนประดิษฐานอยู่ณที่ใกล้แห่งมาณพนั้น
พระผู้เป็นเจ้าจึงบอกแก่กษัตริย์กรุงโกสัมพีว่า
ดูก่อนพระองค์ผู้ทรงเป็นสมมติเทวราช
ถ้าแลพระองค์ขืนกระทำประทุษร้ายแก่มาณพหน่อพุทธางกูรผู้นี้
ในพระนครของพระองค์ก็จะทรุดจมลงไปในแผ่นปฐพีหมดสิ้น
พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้นแล้ว ก็กลับเหาะไปในอากาศเวหา
ลงยังสำนักของพระผู้เป็นเจ้า พระยาโกสัมพีได้ฟังพระมหาเถระกล่าวดังนั้น
ก็ตกใจสะดุ้งกลัวแต่ภัยยิ่งนัก จึงตรัสว่าดูก่อนมาณพผู้เจริญ
เราขออภัยโทษแก่ท่านเสียเถิด
ตั้งแต่วันนี้ไปท่านจงเป็นที่อนุชาธิราชของเรา
พระยาโกสัมพีกตั้งมาฆมาณพบรมโพธิสัตว์ไว้ในที่เป็นอนุชาธิราชของพระองค์ฯ

ดูก่อนธรรมเสนาบดีสารีบุตร
อันว่ามาณพนั้นได้ซึ่งมหาสมบัติทั้งปวงเป็นอันมาก
เมื่อได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูเจ้า ทรงพระนามว่าพระรังสีมุนี
จึงมีพระพุทธรัศมี และได้ซึ่งสมบัติบริบูรณ์อันประเสริฐยิ่งนัก
แสดงมาด้วยเรื่องราวโสณพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ คำรบ ๖ ก็ยุติแต่เพียงนี้

http://www.84000.org/anakot/kan3.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น