++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

“สุริยะใส” เย้ย “หมัก” ใกล้หมดสภาพ หวังใช้สภาฟอกความผิดให้ตัวเอง

     วันนี้ (1 ก.ย.) เวลา 00.05 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยโดยกล่าวถึงการประชุมรัฐสภา เพื่อหาทางออกของปัญหาสถานการณ์บ้านเมือง เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า นายกรัฐมนตรีกำลังใช้การประชุมรัฐสภาเพื่อฟอกตัวเอง ใครอภิปรายอย่างไรก็แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ยิ่งพูดยิ่งเห็นธาตุแท้ว่า รัฐบาลชุดนี้ไปไม่ไหวแล้ว แต่ถ้านายกรัฐมนตรีจะเอาประเทศเป็นเดิมพัน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็จะสู้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้ประเทศชาติเสีย หาย
      
       ทั้งนี้ นายสุริยะใสได้เรียกร้องไปยังรัฐบาล หากไปประกาศลาออกก็ขอให้กลับเข้ามาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล อย่าอู้งานหรือหนีงาน ในเมื่อไม่ลาออกก็ต้องมาทำงาน จะรอดูว่าหากไม่มาที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว จะย้ายไปทำงานกันที่ใด พันธมิตรฯ ก็จะตามไปเปิดป้ายมหาวิทยาลัยราชดำเนินที่ดังกล่าว ขณะเดียวกัน เมื่อดูจากศักยภาพในการอภิปรายของนายกรัฐมนตรี เหมือนจะไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง หมดสภาพแต่ไม่ยอมจำนน ไม่สนใจว่าบ้านเมืองนี้จะแตกแยกหรือแตกหักกันไปอีกนานเท่าใด
      
       “บ้านเมืองวิกฤตขนาดนี้ แต่เรากลับมีผู้นำที่เห็นแก่ตัว ประวัติศาสตร์ชาติไทยของเราผ่านพ้นวิกฤตการณ์ได้ เพราะถึงจุดหนึ่งผู้นำเสียสละ แต่น่าเสียดายที่เรากำลังมีผู้นำที่เห็นแก่ตัว ขี้ขลาด กำลังจะผลักภาระความรับผิดชอบให้กับประชาชน แต่เราก็ไม่กลัว ฉะนั้นไม่ต้องไปวิตกกังวล นายสมัคร (สุนทรเวช) เป็นนายกรัฐมนตรีแค่ในนาม สั่งตำรวจก็สั่งยาก ศิษย์จงรักก็สลายการชุมนุมไม่ได้ สั่งทหารใช้ พรก.ฉุกเฉิน กองทัพก็ไม่เห็นด้วย ล่าสุดเห็นว่า สั่งแมว 13 ตัวที่บ้านก็ไม่ได้ ขนาดแมวยังก่อกบฏแล้ว ยังมีเวลากลับตัวกลับใจวันนี้ประกาศลาออกก็ยังไม่สาย” นายสุริยะใส กล่าว
      
       นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า วันนี้รัฐบาลคงเหลือเพียงแค่นาม เนื้อในเน่าแฟะ ปกครองไม่ได้ ในทางยุทธศาสตร์พันธมิตรฯต้องนิ่งอยู่กับที่ ปล่อยให้องค์กรแนวร่วมเปิดศึกในสมรภูมิต่างๆ ทั่วประเทศ จากนี้ไปจะต้องจับตาและติดตามท่าทีของรัฐบาลทรราชอย่างใกล้ชิด จะออกฤทธิ์ออกเดชอะไรอีกหรือไม่ วันนี้รัฐบาลก็ไม่ได้คาดหวังจะใช้รัฐสภาฟอกดำให้เป็นขาว แต่เป็นการส่งสัญญาณให้กับพวกลิ่วล้อเห็นว่ายังคงสู้อยู่ จะไม่ถอย ฉะนั้นจะต้องไม่หวั่นไหว พัฒนาจากการคัดค้านมาเป็นการต่อสู้ ก็เพื่อสร้างการเมืองใหม่ นี่คือสิ่งสูงสุดของการต่อสู้ครั้งนี้
      
       ในช่วงท้าย นายสุริยะใสยังเชื่อมั่นการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะได้รับการสนับสนุนจากพลังเงียบที่แฝงตัวอยู่ อีกไม่นานพลังเหล่านั้นจะออกมา พันธมิตรฯเปรียบเสมือนขวานคอยตัดกิ่งตัดก้าน สุดท้ายเห็นว่า ตัดไปแล้วยังงอกออกมาอีก ก็เลยถอนรากถอนโคนมันเสียเลย แต่บังเอิญต้นไม่ต้นนี้มีช่วงเวลาเจริญงอกงามของรากแก้ว และรากฝอยรุกคืบไปไกลกว่าที่คาดคิด ฉะนั้นแม้นพันธมิตรฯ โค่นต้นไม้ได้ แต่รากยังอยู่ จึงรอแนวร่วมที่กำลังมา และเชื่อว่าอีกไม่นานมาแน่นอน
      
       นอกจากนี้ นายสุริยะใสยังเปิดเผยให้เห็นแนวทางการต่อสู้ของรัฐบาล พยายามไม่สู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันเฉกเช่นเดียวกับที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ทำ เนื่องจากหวั่นเกรงกลัวการรัฐประหาร ซึ่งหากเกิดขึ้นในบรรยากาศแบบนี้รับรองระบอบทักษิณ ไม่เหลือรากเหลือโคนอีกต่อไป รัฐบาลจึงไม่กล้าสู้แบบหมดหน้าตัก หวั่นจะเสียผลประโยชน์หากเกิดการรัฐประหาร วิธีเล่นในขณะนี้คือ เผื่อทางหนีไว้ กันตัวเองให้อยู่รอดเพียงเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น