++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

ปรัชญาคอมพิวเตอร์ - นรินทร์ เงินอ้น

เขียนโดย นรินทร์ เงินอ้น

            นาน..น้าน... ผมจะได้มีโอกาสเข้าใกล้ธรรมะกับเขาสักที ผมเข้าวัดคราวนี้ได้ฟังธรรมจากหนุ่มนุ่งขาวห่มขาวโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมพบเขาขณะที่ผมกำลังครวญเพลง "สุขาอยู่หนไหน" เขามองหน้าผมนิดหนึ่งแล้วก็บอกทางให้
            ขณะที่ผมเดินออกมาตามทางเดิมก็เพิ่งได้สังเกตว่าบริเวณวัดนั้น ร่มรื่น วิเวกดีมาก มองหาหนุ่มคนนั้น ก็เห็นเขากำลังนั่งอยู่บนแคร่ใต้ร่มไม้ใหญ่
            ผมเห็นว่าบรรยากาศที่ร่มรื่นสบายดีและก็ไม่มีโอกาสได้พักผ่อนในบรรยากาศเช่นนี้มานานแล้ว จึงเดินเข้าไปทักทายเสวนากับเขา ก็ได้ความเริ่มต้น ว่าเขาอาศัยอยู่แถวๆวัดแห่งนี้ แล้วก็ได้มาช่วยงานของวัดเสมอ บางทีก็มาถือศีลกินเจอยู่ที่นี่ คุยกันเรื่องสัพเพเหระ แล้วก็วกมาเรื่องเกี่ยวกับ บาป บุญ ศีลธรรม
            ตอนหนึ่งเขาหยุดคิดสักครู่แล้วปุจฉาขึ้นว่า
            "คุณว่าทำไมคนเราเกิดมาแล้วต้องตายด้วย"
            ผมยังไม่ทันได้วิสัชนา เขาก็กล่าวต่อว่า
            "ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีการเลิกรา ถ้าเปรียบชีวิตที่เกิดมาเหมือนกับการจุดไม้ขีดไฟก้านหนึ่ง ถ้าได้เชื้อที่ดี ไฟนั้นก็ขยายปริมาณใหญ่ กลายเป็นกองไฟได้ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นไฟประเภทไหน และใช้ทำอะไร
            เป็นไฟไปเผาผลาญบ้านเรือนชาวบ้านให้เดือดร้อนเสียหาย ให้เขาสาปแช่ง ให้เขายินดีถ้ากองไฟนี้จะดับเสียได้
            หรือจะเป็นกองไฟที่ให้ความอบอุ่น ไล่ความหนาว ให้เขาสรรเสริญ ให้เขาอาลัยเสียตายถ้ากองไฟกองนี้จะต้องมอดดับลง
            ดังนั้นจึงไม่ใช่เหตุที่น่าสนใจว่าจะเกิดจะตาย แต่สำคัญว่าเกิดมาแล้วได้ทำอะไรไว้ก่อนตาย เราอาจมีชีวิตเป็นอมตะ คือ ไม่ตายได้ คือ เมื่อไม่มีเกิดก็ไม่มีดับ เมื่อไม่ยึดเอาเป็นตัวเราของเรา ไม่ยินดีว่าเกิดคือได้รับ ไม่เสียใจว่าดับคือสูญเสีย เมื่อไม่ยึดเอาสิ่งใดเป็นถาวรแม้ชีวิต เมื่อไม่กิดก็ไม่ดับ ชีวิตจึงเป็นอมตะ"
            ผมเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจหรอก อมต๊ะ-อมตุ้ยอะไร แต่ชักนึกสนุก จึงปุจฉาเขาขึ้นว่า
            "แล้วคุณว่าคนเราตายแล้วเกิดใหม่มั้ยล่ะครับ"
            "กองไฟที่มอดลง สิ่งที่สูญไปคือเชื้อไฟในการทำให้เกิดความร้อน สิ่งที่เหลือคือเถ้าถ่านไว้ให้ผู้ที่ระลึกถึงเก็บไว้ แต่เปลวไฟความร้อนที่เห็นว่าสูญนั้น ไม่ได้สูญหายไปไหน สสารไม่สูญหายไปจากโลก มีแต่แปรสภาพหรือเปลี่ยนรูปเป็นพลังงาน พลังงานก็แปรรูปไปในรูปอื่นๆ"
            "สิ่งที่ดับสูญไปสูญไปคือร่างกาย หรือ ฮาร์ดแวร์ แต่สิ่งที่คงอยู่คือ จิตใจหรือ ซอฟท์แวร์ ที่บันทึกเอาไว้ว่าได้ทำอะไร อย่างไร ไว้บ้าง ไม่ได้ดับสูญไป แต่รอเวลามาใส่ฮาร์ดแวร์ตัวใหม่ บางคนจึงมีสิ่งที่เรียกว่า พรสวรรค์ ไงคุณ ในการทำงานบางอย่างที่คนอื่นๆ อาจต้องใช้เวลาฝึกฝนอยู่นาน เพราะต้องโปรแกรมใหม่หมด แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์จะสามารถทำได้โดยการฝึกฝนในระยะเวลาสั้นๆ เพราะมีโปรแกรมสำเร็จอยู่แล้ว ป้อนเข้าเครื่องก็ใช้งานได้เลย ใครที่เคยทำอะไรไม่ดี ทำชั่วอะไรไว้ ก็จะถูกสิ่งที่บันทึกไว้แล้วนั้นกำหนดวิถีชีวิตให้เป็นไป...."
            "งั้นอย่างคนที่เคยทำชั่วไว้ก็ไม่มีโอกาสเป็นคนดีเลยซิครับ" ผมสอด
            "นั่นต้องขึ้นอยู่กับจิตที่ใฝ่ประพฤติชอบและขึ้นอยู่กับ
            พีเพิ้ลแวร์ คือ คนที่พัฒนาระบบ
            ผู้ควบคุมและโปรแกรมเมอร์ คือ ผู้ป้อนข้อมูล
            และผู้ใช้ ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์นั้นๆ คือ ครอบครัว สภาพแวดล้อม อาจารย์ ผู้อบรมดูแล จะต้อช่วยกันปรุงแต่งพัฒนาระบบนั้นๆ
            การพัฒนาแต่เพียงฮาร์ดแวร์แต่เพียงอย่างเดียว แม้จะทำให้เครื่องทำงานรวดเร็วละเอียดเพียงใด หากไม่มีซอฟท์แวร์ คอยควบคุม กำหนดการทำงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ฮาร์ดแวร์นั้นๆ ก็จะไม่มีความหมายอะไร เหมือนร่างกายที่แข็งแรง ว่องไว ฉลาดแต่ไม่เฉลียว มีจิตใจชั่วร้าย ใช้ร่างกายในทางที่ผิด"
            ผมก็แย้งขึ้นว่า  "แล้วถ้ามีโปรแกรมอย่างนี้ทำไมไม่มีใครจำได้ว่าชาติก่อนเคยเป็นอะไร ยังไงมาก่อน แล้วบางคนก็สอนให้ดียาก หรือไม่ได้เอาเสียเลยล่ะครับ"
            "โปรแกรมส่วนมาก จะมีส่วนของโปรแกรมที่ทำหน้าที่ ป้องกันการลอกเลียนการขโมยดูตัวโปรแกรมเอาไว้ ส่วนของโปรแกรมต่างๆ ไม่หายไปไหน แต่ต้องเป็นคนที่เข้าใจการทำงานและภาษาในโปรแกรมนั้นได้อย่างลึกซึ้ง จึงจะสามารถดูโปรแกรมนั้นได้ ดังผู้ที่ฝึกสมาธิจิต เข้าใจจิตใจ รู้จักใช้จิตใจ ก็จะระลึกชาติภูมิได้ พระพุทธองค์ยังทรงระลึกพระชาติก่อนจะมานิพพานได้ ทรงเล่าสอนว่ากว่าจะได้ซอฟท์แวร์ที่สมบูรณ์นั้น ต้องผ่านการปรับปรุงโปรแกรมมาอย่างไรบ้าง"
            "แล้วหนทางไหน ศาสนาใดล่ะครับ  ที่จะพาเราไปสู่จุดนั้นได้" ผมถาม
            "ทุกศาสนา สอนให้คนเป็นคนดี ทำดี ศาสนาก็เหมือนภาษาหรือลำดับการทำงานในโปรแกรม ไม่ว่าจะใช้ภาษาอะไร ก็เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายได้ การทำงานที่เหมือนกัน อยู่ที่ว่าจะใช้ภาษาใดในการทำงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด"
            "แล้วที่พระสงฆ์สวดเป็นภาษาบาลีล่ะครับ จะให้ปฏิบัติได้อย่างไร ในเมื่อคนทั่วไปฟังไม่รู้เรื่องสักคำ" ผมแซวแทรกขึ้นมาอีก

            "ก็จริงที่การเทศน์ด้วยภาษาบาลี คนฟังไม่รู้เรื่อง ก็ปฏิบัติไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ท่านก็แปลเป็นภาษาไทยมานานแล้ว แต่เราก็ยังไม่ควรเลิกศึกษาภาษาบาลี เพราะในศาสนาพุทธ ภาษาบาลีก็เป็นเสมือนภาษาเครื่องไปแล้วเป็นภาษาแรก ภาษาต้นของศาสนา ถ้าคุณสามารถเข้าใจคุณก็สามารถปฏิบัติ สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
            ถ้าคุณรู้จักเพียงแค่การกดปุ่มให้เครื่องทำงาน หรือรู้จักเครื่องเพียงจากที่เขาแปล เขาเขียนมาให้อ่านเท่านั้น คุณก็จะมีความรู้ ความเข้าใจเพียงที่ผู้แปลมาให้เท่านั้น ไม่สามารถพัฒนาให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้เลย และสิ่งที่ได้รู้ได้เข้าใจก็คือสิ่งที่ผู้แปลเข้าใจหรือตีความมา อาจจะคลาดเคลื่อนไปจากความหมายจริงก็ได้
            คุณคงเคยได้เรียนได้ฟังมาว่า ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ได้มีพวกยักษ์มาร มาคอยรบกวนไม่ให้บรรลุได้
            คุณลองคิดดู ทำไมป่านนี้ ยังไม่มีใครขุดพบซากฟอสซิลหรือกระดูกยักษ์พวกนั้นเลย  ทั้งที่น่าจะหาได้ง่าย เพราะพวกยักษ์นี่ก็ตายอยู่รวมๆกัน ทั้งที่จมน้ำที่แม่พระธรณีบีบมวยผมและยังที่ถูกศรพระรามนั่นอีก แต่กลับพบแต่ซากไดโนเสาร์ได้
            พระพุทธเจ้าทรงอุปมา ตัวกิเลส ตัณหาที่คอยรบกวนจิตใจ ไม่ให้สงบ เสมือนยักษ์มารคอยรบกวนจิตใจ บางทีผู้แปลอาจเข้าใจและก็ได้แปลอุปมาเช่นกัน แต่ยังมีคนไม่น้อยที่เข้าใจผิด
            พระพุทธเจ้าทรงอุปมาสิ่งต่างๆให้ง่ายแก้การเข้าใจขึ้น เหมือนที่เราจะแก้สมการคณิตศาสตร์ จากโจทย์ เราก็จะแทนค่าเป็นตัวแปร X Y Z แต่ในชีวิตจริง ไม่เคนมีใครเคยไปซื้อสินค้า X ราคา Y จำนวน Z สักคน..."
- - - - - - - - - - - - - - - -
             วันนั้น ผมจากเขามาด้วยซอฟท์แวร์ เอ๊ย จิตใจที่ปลอดโปร่ง แต่สมองที่มึนงง ต้องไปค้นหาศัพท์คอมพิวเตอร์อยู่พักใหญ่
            แล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้มีโอกาสกลับไปที่วัดแห่งนั้นอีกครั้ง หวังจะไปสนทนาธรรมกับพ่อหนุ่มคนเดิม (คราวนี้ผมเตรียมตัวมาเต็มที่) ผมตระเวณหารอบวัดก็ไม่เจอ เห็นพระรูปหนึ่งกำลังกวาดวัดอยู่ ท่านคงเห็นผมมาด้อมๆมองๆอยู่หลายรอบ ถึงถามผมว่ามาหาใคร ผมก็ไม่ได้ถามชื่อเขาไว้ด้วย เพราะมัวแต่มึนในบทเทศน์ ได้แต่บอกรูปพรรณสัณฐานไป พระท่านนิ่งนึกสักครู่
            "อ๋อ..อ..เจ้าอ้น โยมเป็นญาติมันเหรอ"
            เมื่อผมบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน เพียงแต่เคยพบกันครั้งหนึ่งที่นี่ ท่านก็ถอนใจแล้วเล่าว่า
            "เฮ้อ.. เด็กคนนี้น่าสงสารนะ แกเคยเรียนเก่งมากทีเดียว เห็นว่าเรียนเกี่ยวกับคอมๆ ..เตอร์ๆ อะไรนี่ล่ะ เมื่อปีที่แล้วแกซ้อนมอเตอร์ไซต์ไปกับเพื่อน เห็นว่าจะไปอบรมฝึกปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ก็ถูกรถสิบล้อมันเฉี่ยวเอา ดีนะที่ไม่ตาย แต่ก็ทำเอาสลบไป 3-4 วัน กะโหลกศีรษะร้าวออกจากโรงพยาบาลมาก็ต้องเลิกเรียน แกชอบพูดอะไรของแกคนเดียว รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง  เออ!  ว่าแต่คุณมีธุระอะไรกะแกเหรอ"
            เอาละซิ ผมติดใจคำเทศน์ของคนสติเฟื่องเข้าให้แล้ว แต่ไงก็เถอะ ท่านผู้รู้เคยบอกไว้ว่า ไหว้พระพุทธอย่าให้ติดปูน ไหว้พระสงฆ์อย่าให้ติดลูกชาวบ้าน
            โปรแกรมเมอร์ จะเป็นใครก็ตาม ขอให้ป้อนโปรแกรมถูกต้องก็แล้วกัน
            กาลิเลโอ ยังถูกหาว่าบ้าเลย ตอนประกาศว่าโลกหมุนรอบ ดวงอาทิตย์

เรื่องนี้เคยตีพิมพ์ใน หนังสือการ์ตูน ขายหัวเราะ มกราคม พ.ศ. 2535

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ17 ตุลาคม 2551 เวลา 09:45

    เรื่องนี้ตีพิมพ์ ครั้งแรก ประมาณปี 2530 ใน คอลัมน์เรื่องสั้น "วัยหนุ่มสาว" ในหนังสือ "สตรีสาร" ครับ

    ตอบลบ