++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

เดือนห้าหน้าแล้ง : ชีวิตเด็กบ้านสวนบางลำเจียก

แก้ว แกมทอง
            "เดือนห้าหน้าแล้ง ลมแรงพักช่อมะม่วง แว่วเสียงหุยกู่ร้องหารวง เหมือนข้าห่วงจำปาฝันใฝ่ . .  . "
            วันนี้ขออนุญาตนำเพลงลูกทุ่งยอดฮิตจองท่านผู้ใดก็ไม่ทราบ มาประหัวเรื่องไว้สักวรรคสองวรรคพอเป็นน้ำกระสายยาแก้ร้อนเพราะขณะเขียนเรื่องนี้ อากาศมันแสนจะร้อนจริงร้อนจัง แม้ลมหนาวจะพึ่งผละสะบัดก้นพรืดไปหยกๆ เมื่อวันสองวันนี้ โดยทิ้งท้ายไว้ให้หนาวเหยือกกันเฮือกหนึ่ง แล้วก็โยนเตาอบมาให้แทน คนกำลังคลุมโปงกันอยู่ดีๆ เลยต้องลุกขึ้นกุลีกุจอเก็บผ้าห่ม ถอดเสื้อถอดผ้า ไอ้ที่หนาๆน่ะ ออกไปซุกไว้มุมห้อง แล้วที่นี้อะไรล่ะ ก็อาบน้ำกันน่ะซี  เสียงบ้านนั้นซู่บ้านนี้ซ่า ซู่ๆซ่าๆกันทุกบ้านหนักเข้า น้ำท่าในก๊อกมันก็เลยตกใจพากันขี้หดตดหาย ไม่พากันไหนจั๊กๆออกมาเสียแล้ว ใช้วิธีโผล่ๆผลุบๆ คือเดี๋ยวก็โผล่ออกมาโจ๊กหนึ่ง เดี๋ยวก็ทำเป็นผลุบเงียบ แล้วเดี๋ยวก็โผล่ออกมาใหม่เพียงแหมะๆ บางทีก็ตึ๋งๆ พอเราชักจะปลงตก ว่าชั่งมันเถอะวะ น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน นี่ให้มันหยดลงถังพลาสติกไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เต็มถังเอง แต่ที่ไหนได้พอเราเผลอๆ มันดันไหลซ่าออกมาเบ้อเร่อยังกะก๊อกแตก เล่นเอาตกอกตกใจกันไป
            มีท่านผู้รู้ท่านหนึ่งท่านบอกว่า เวลาท่านเปิดก๊อก (ก็ก๊อกประปานี่แหละ) ท่านต้องจุดธูปจุดเทียนนั่งพนมมือด้วย ไม่รู้จริงเปล่า ถ้าจริงก็เห็นจะเป็นเพราะว่าท่านผู้นี้เป็นผู้นิยมเล่นหวยเบอร์ก็เป็นได้ ท่านคงจะเอาเคล็ดอีตรงว่า เวลาน้ำหยดลงมาแหมะหนึ่ง ท่านก็คงจะว่าเป็นเลขหนึ่ง หยดติดกันลงมาสองแหมะ ท่านก็ว่าเป็นเลขสอง พอมันหยุดหยดไปนานหน่อย ท่านก็คงว่าเป็นเลขศูนย์ แล้วพอไหลซ่าลงมาจั๊กๆยังงี้ล่ะก็เย็นใจได้เลยต้องเล่นทั้งข้างล่างข้างบน  คือตั้งแต่เลขหนึ่งถึงเลขศูนย์ ต้องออกแน่ๆ ไม่มีล็อกไม่มีแล็กแล้ว มันต้องออกจากได้ไม่เลขใดก็เลขหนึ่งไล่โต๊ดกันไปเถอะ ไม่รวยชาตินี้ ก็ต้องไปรวยเอาชาติหน้า

            พูดถึงประปาใหม่ดีกว่า เพราะส่วนไม่มากมันมีปัญหา ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรหรอกอย่าเพิ่งโวยวาย เป็นปัญหาพาประสาทนิดๆหน่อยๆน่ะ คือ น้ำประปานี่เวลาเราร้อนจัดๆ อย่าเพิ่งผลีผลามวิ่งเข้าไปเปิดซู่หรือเปิดซ่าให้มันมารดตัวเราเป็นดี เพราะเวลาเราร้อนประปามันก็รู้จักร้อนเป็นเหมือนกัน ไอ้เราคิดว่าจะหนีร้อนไปพึ่งเย็น ที่ไหนได้พอเปิดซู่ลงมาโอ๊ยโย่ยังกะจะลวกตัวแล้วถลกหนังถอนขนได้เลย หรือไม่ก็แทบจะทำให้หยิกไปทุกเส้นขน ธ่อ...มันกลับตาลปัตรไปเสียยังงั้น ยังกะเวลาหน้าร้อนท่านก็ต้มน้ำร้อนใส่ท่อมา แต่พอเวลาหน้าหนาว เราก็อยากจะหาได้ที่อุ่นๆ ท่านกลับเอาน้ำแข็งยัดใส่ท่อมาให้อาบกันเล่นเสียนี่ เย็นเจี๊ยบเลย ต้องอาบกันแต่อีตรงส่วนสำคัญของร่างกายสองสามส่วน แล้วรีบขึ้น สั่นกันงั่กๆ เรื่องมันเป็นเสียหยั่งงี้ ประปานะประปา

            แต่หน้าร้อนของชาวสวนเมื่อก่อนนี้ไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรหรอก ประปงประปาอะไรก็ยังไม่มีใช้ ใช้กันแต่น้ำคลอง แต่เวลาหน้าแล้งนี่น้ำมันลงงวดหมดนะ เหลือขังอยู่แต่ตรงปากท่อหรือตามลำประโดงลึกๆ น้ำเป็นสีเหลืองใสแจ๋ว มองเห็นเลนเห็นโคลนขึ้นมาอืดเลย แต่เป็นที่สนุกสนานโปรดปรานของพวกเราเด็กๆเป็นอันมาก  เพราะจะได้แก้ผ้าลงไปงมโคลนกันให้ฟ่อด จับปูจับปลากันทั้งวันไม่เรียกไม่ขึ้น บางทีเรียกแล้วยังทำหูทวนลมกันเสียก็บ่อย ก็มันร้อนนี่นา อยู่ในโคลนเย็นด้วยสนุกด้วย ถึงขึ้นมาแล้วก็เดินโทงๆกันไปตามถนนตัวมีแต่ขี้โคลนขี้เลนวิ่งเล่นกันมั่งอะไรกันมั่ง พอตัวชักจะแห้งๆก็โดดโครมลงไปใหม่ เป็นทั้งเด็กผู้หญิงเด็กผู้ชาย อย่างพรรคพวกของผู้เขียนกับพวกละครคณะยายเหม็น พวกเราสองก๊กนี่จะยึดทำเลแถวหัวถนนไว้หมด เล่นน้ำโคลนกันก็เล่นกันตรงสะพานข้ามคลองนั่นแหละ พวกละครคณะยายเหม็นพอหน้าร้อนนี่ค่อยหายบ้ารำกันไปหน่อย พากันแก้ผ้ากองไว้ริมตลิ่งแล้วลงไปงมโคลนฟ่อดกับพวกเรา ถ้อยทีถ้อยช่วยกันกั้นทำนบวิดน้ำจับปลา แต่ไม่ได้ปลาตัวโตๆอะไรกะเขาเพราะมันเป็นในคลอง ปลาตัวโตๆมันม่ได้มาขังอยู่ ไม่เหมือนตามปากท่อสวน เวลาน้ำงวดแบบนี้ปลามันชอบมาตกคลั่กกันอยู่ พวกไอ้หนุ่มรุ่นพี่เขาก็ลงมาวิดกัน พวกเราก็คอยช่วยกันเป็นหางเครื่องกับเขาไปด้วย เล่นกันเองนี่ก็ได้แต่ปลาเล็กปลาน้อย อย่างปลาซิว ปลากระดี่ กุ้งฝอย แต่อย่าประมาทกุ้งฝอยนา เห็นตัวเท่านิ้วก้อยขาวซีดหนวดยุ่มย่ามอย่างนั้นเหอะ ถ้าได้มาแยะๆเอามาทำงบกุ้ง ห่อใบตองปิ้งกันข้างถนน อื้อหือ อร่อยพอๆกับงบปลาซิวนั่นเทียว

            เล่นๆกันอยู่นี้บางทีก็เกิดแตกคอกัน เพราะเด็กผู้หญิงมันเรื่องเยอะ ชอบเจ้ากี้เจ้าการ จู้จี้ ชอบใช้ให้เราทำโน่นทำนี่อย่างโน้นซี อย่างนี้ซี (มันเป็นตั้งแต่เด็กๆเลยแฮะ) พอเราเกิดหือกันขึ้นมาก็เอาละซี ขี้โคลนในมือนั่นแหละถล่มกันเข้าไปคนละเผละสองเผละ  โดนหน้าตาหัวหูไม่มีร้อง ก็รักจะเล่นกันเสียอย่างร้องทำไม แต่ทีนี้มันมีหนหนึ่ง ไอ้แกละมันเหวี่ยงพลาดไปหน่อย ไปโดนเอาน้องของพวกเด็กผู้หญิงที่มันทิ้งวางให้คลานเล่นอยู่ริมตลิ่ง เพละเดียวโดนเข้าเต็มเปา เต็มหัวเต็มหูเข้าลูกกะตาร้องจ้า เลยเป็นเรื่องใหญ่ ก็อย่างที่เคยเล่าแล้ว พวกเด็กผู้หญิงนี่เวลาเกิดเรื่องอะไรมันไม่ด่าเองลำพังหรอก แม่พวกมันมาช่วยด่าด้วยเลยเกิดสงครามปาก เพราะแม่พวกเราก็มีเหมือนกันนี่หว่า ธรรมดาพวกเราไม่ชอบฟ้องหรอก เพราะกลัวอดเล่น  ทีนี้บังเอิญจับพลัดจับผลู แม่ไอ้แกละเดินออกมาพอดี เลยได้ล่อกันยับ เสียงแจ๊ดๆแจ๊ดๆ พอต่างคนต่างคอแห้งก็ฉุดกระชากลากถู ลูกใครลูกมันเข้าบ้าง พอวันรุ่งขึ้นพวกเราทั้งสองก๊กต่างก็มาแก้ผ้าลงไปงมโคลนกันใหม่ เรื่องอะไรจะเข็ด

            เด็กผู้หญิงเมื่อโบราณนี่ ไม่รู้เป็นไงทุกคนถ้ามีน้องแล้วต้องเลี้ยงนะ จะไปไหนต้องเอาน้องกระเตงใส่กระเอวไปด้วย สมัยนี้ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ หรือปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอาช่วยเลี้ยง ก็ต้องจ้างคนมาเลี้ยงสักพักหนึ่ง เพราะเด็กคนพี่แค่สามสี่ขวบก็ต้องไปโรงเรียนแล้ว สบายไปไม่ต้องกระเตงน้องจนเอวเป็นหนาม

            พวกเราถึงชอบแตกคอกันเล่นไงล่ะ แต่ตอนหน้าร้อนหรือหน้าแล้งนี่ มันแตกกันไม่ได้ เพราะมันต้องลงน้ำกันตรงนั้นทีเดียวเป็นทำเลเหมาะ แล้วไม่ใช่แต่พวกเราเด็กๆนะ บางทีพวกไอ้หนุ่มรุ่นพี่ก็มาร่วมสัมมนาด้วย พากันสนุกไปใหญ่
   
            ธรรมดาพวกเราเด็กๆก็ไม่ได้แต่งตัวกันวิเศษวิโสอยู่แล้ว ดีหน่อยก็กางเกงมีเอี๊ยม หรือเล็กหน่อยก็ผูกเอี๊ยมอยู่ตัวเดียว เด็กผู้หญิงก็นุ่มผ้าถุงเก่าๆตัวเดียว ส่วนมากก็ไม่ได้นุ่งอยู่กะร่องกะรอยปกติธรรมดาเขา คือ ไม่ได้นุ่งคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย  ได้แต่พันๆไว้ บางทีสวมเข้าไปแล้วยกเอาอีส่วนที่ควรจะพันทบเข้าไปน่ะ ขึ้นมาคล้องไว้บนไหล่ มันจะได้หลุดยากหน่อยไง ส่วนน้องๆที่เล็กลงมาก็ร้อยทั้งร้อยไม่แก้อยู่ตลอดกาลก็มีตะปิ้งปิดไว้อันเดียว นี่พูดถึงเด็กหญิง ถ้าเป็นเด็กชายก็ไม่ต้องปิดอะไรทั้งนั้น บางคนมีด้ายดำๆผูกรอบเอวห้อยตะกรุดมั่งไอ้ขิกมั่ง ไม่รู้เป็นเครื่องลางหรือของขลังอะไร เห็นเขานิยมให้เด็กผูกกัน ลืมสอบถามไว้

            แล้วพอหน้าร้อน  พวกเราก็พร้อมใจกันแต่งชุดอาบน้ำกันแทบทั้งวัน เดินกันโทงๆมีขี้ดินขี้โคลนพอกตามตัวหัวหู บางวันพ่อแม่ว่างก็ถูกจับอาบน้ำขัดขี้ไคลกันเสียที เอาดินสอพองประตามตัวให้พากันเดินลายพร้อมยังกะตุ๊กแก

            ส่วนหน้าร้อนของพวกผู้ใหญ่นั้นดูจะประดิษฐ์ประดอยมากกว่า เพราะธรรมดานี่ผู้ใหญ่เขานุ่งโจงประเบน ห่มผ้าแถบคาดอก  พอร้อนเข้าเขาดึงโจงกระเบนขึ้นไปหยักรั้งปิดไว้แค่กัน เปิดขาอ่อนขาแก่กันเป็นแถว แล้วเอาผ้าแถบทิ้งไปปล่อยถุงกาแฟล่อนจ้องโดยตรง เอาดินสอพองใส่น้ำอบไทยละลายประทั้งตัวหอมฉุย นั่งเอาพัดใบลานพัดกระพือเยิบๆ

            ถ้าถามถึงผู้ใหญ่ฝ่ายชายล่ะ ส่วนมากผู้ชายแก่นี่ธรรมดา เขาก็นุ่งโสร่งตาหมากรุกนะ บางคนก็นุ่งกางเกงแพรอยู่บ้าน แต่พอหน้าร้อนส่วนมากจะหันไปหาผ้าขะม้า เอามานุ่งเป็นโจงกระเบนหยักรั้งปิดแค่ก้นเหมือนคนแก่ผู้หญิงน่ะ แต่ไม่ชอบใช้ดินสอพองประตามตัวเท่าไหร่ นานๆจะเห็นคนแก่ผู้ชายประแป้งตามตัวสักที

            แล้วพวกผู้ใหญ่วัยสาวหรือวัยรุ่นนั่นล่ะ พวกนี้ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นหรอก อย่าเพิ่งไปนึกวาดภาพแล้วยิ้มกริ่ม ผู้หญิงสาวชาวสวนนี่เมื่อตอนนั้นมีกรรมมาก ออกไปเล่นนอกบ้านไม่ได้แล้วยังจะต้องแต่งตัวมิดชิดไม่ว่าหน้าร้อนหน้าหนาวหน้าฝน พวกเธอต้องปิดหมดสามฤดู คือ ต้องนุ่มผ้าถุงปิดหน้าแข้งใส่เสื้อมีตัวนอกอีกตัว  ไม่ใช่ใส่แต่เสื้อยกทรงเดินโทงๆ เหมือนเดี๋ยวนี้ได้ แต่ถ้าหน้าร้อนนี่เขาก็พอจะอนุโลมให้ใส่แต่เสื้อคอกระเช้าตัวเดียวได้  ก็นั่งฟักคอเสื้อกันซะทะลุปรุโปร่งเป็นลวดเป็นลายมองเห็นเนื้อได้ใสๆกันแหละ แล้วก็เดินตากลมกันอยู่ในบ้าน ประดินสอพองขาววอกเหมือนกัน แค่นี้ไอ้หนุ่มเหลือบเข้าไปเห็นยังตาโตบอกอื้อหือ โป๊ดีจังแฮะ

            นอกจากจะสนุกกับการจับกุ้งจับปลาและลุยโคลนกันในคลองแทบทั้งวันแล้ว พวกเราก็ยังมีเรื่องสนุกกันอีกอย่างคือการตกปูเล่น เวลาหน้าแล้งน้ำในคลองงวดนี้ ตามชายเลนสองฟากตลิ่งจะมีปลาตีนกระโดดโหยงๆกันเป็นแถว อ้อ ปลาตีนนี่รูปร่างมันแปลกๆดีนะ แต่มันไม่ได้เหมือนตีนอย่างชื่อหรอก ตัวมันเล็กๆหางเหมือนหางปลาช่อน แต่หัวไม่รู้เหมือนอะไร  ทื่อๆมีตาสองตาโปนออกมา เวลากระโดดโหยงๆไปตาก็มองล่อกแล่ก ล่อกแล่ก โบราณเขาถึงมาสำนวน ตาปลาตีนไงล่ะ เขาว่าใครมีตาเหมือนตาปลาตีนละก็คบไม่ได้ พวกเดียวกับตาปลาดุก  คนตาปลาดุกเขาก็ไม่ให้คบเหมือนกันเพราะมันดูเล็กๆลึกๆ บอกความนัยพิลึกพิลั่น คบไม่ได้ว่างั้นเถอะ

            นอกจากปลาตีนแล้ว สองข้างชายเลนจะมีรูปเต็มพรืดไปหมด ปูเปี้ยวน่ะ รูเล็ก รูใหญ่ รูขนาดกลาง บางรูก็มโหฬาร ปากรูมันแผลบ แต่พวกเราไม่ค่อยมีใครกล้าล้วงไอ้รูใหญ่ๆนี่หรอก อย่างเก่งก็เอาไม้แหย่เข้าไป  เพราะบางทีมันกลายเป็นรูงู ไอ้จุกมันเคยโดนแล้ว ลองเอาไม้เป็นตะขอล้วงเข้าไป พอเกี่ยวออกมา โอ้โห งูงวงช้างตัวเท่าแขน วิ่งแหกปากกันน้ำกระจาย
            ปูเปี้ยวนี่สวยดี ตัวมันสีดำแต่ก้ามสีแดงแจ๋เลย  ยิ่งตัวเล็กๆเท่าหัวแม่มือหรือเท่าปลายนิ้วก้อยจะยิ่งน่ารักมาก พวกเราชอบจับเอามันมาใส่กะลาจะให้มันกัดกัน แต่มันไม่กัดกันหรอก พอใส่ลงไปมันก็ต่างตัวต่างคลานไปคนละทิศ พวกเราก็ช่วยกันต้อนไปต้อนมาจนเบื่อ ต้องเหวี่ยงกะลาลงคลอง

            แต่ที่สนุกที่สุดคือ ใช้วิธีตกเอา ใช้กิ่งภู่ระหงมาทำเป็นคันเบ็ด เอาเชือกกล้วยผูกเข้าเป็นสายเบ็ด แล้วเอาดอกมะพร้าวผูกตรงปลายเชือกทำเป็นเหยื่อล่อ ไม่ต้องใช้ตัวเบ็ดจริงๆ แล้วเราก็แยกย้ายกันไปหาทำเลเหมาะของตัว เอาเหยื่อดอกมะพร้าวหล่นลงไปที่ปากรูปู หรือบางทีก็หย่อนลงไปตรงตัวปูเองเลย ที่มันออกมาคลานอยู่นอกรู  แล้วค่อยกระตูกเหยื่อให้มันกระดุกกระดิก โดยมากลูกปูตัวเล็กๆมันจะซื่อ ไม่ค่อยมีเล่ห์เหลี่ยมอะไร พอเห็นดอกมะพร้าวอยู่ตรงหน้า มันก็เอาก้ามหนีบพอเราเห็นมันหนีบแล้ว เราก็ดึงเบ็ดมา ตัวมันก็เลยลอยตามติดเบ็ดมาด้วย เราก็เอามาวางแหมะลงบนดินแล้วจับใส่กะลาหรือไม่ก็ครอบไว้เพราะมันคลานหนีเก่ง แต่ไอ้ปูตัวโตๆ อย่างแม่ปูพ่อปูนี่มันมีเหลี่ยมมีคูชะมัด กินเบ็ดก็ยากด้วย  บางทีเรานั่งกระตุกเหยื่อจนเมื่อยมันยังไม่ค่อยจะหนีบเลย บางทีพอมันหนีบปุ๊บ เราจะดึงปั๊บงี้ไม่ทันแล้ว มันพาวิ่งเข้ารูพลุบ พอเราดึงพลับมันปล่อยแน่ะ เกิดโมโหมั้ย แล้วยิ่งเกิดโมโหหนักก็อีตรงนี้ซี อีตรงที่มันยอมติดเบ็ดมาแล้วน่ะ คือ มันยอมหนีบดอกมะพร้าวตามเชือกที่เราดึงมา แต่พอเราเหวี่ยงเชือกจะให้ตัวมันถึงฝั่งที่เรายืน พอตัวมันลอยมาถึงกลางคลอง มันดันปล่อยเหยื่อ โดดลงน้ำตุ๋มไปเสียนี่ เกิดโมโหพิลึก

            เพราะงั้นถ้าเราอยากได้ตัวมันจริงๆ เราจะลงลุยถึงตัวมันเลย ไล่ตามเอาเลนโปะตัวมันแล้วจับ ล่อกันเขละขละไป หัวหูมีแต่โคลนแต่เลยเต็มไปหมดทั้งคนทั้งปู

            แต่ถึงไง พวกเราก็ชอบตกปูกันจริงๆ เพราะมันสนุก ตื่นเต้นดี อีตรงที่มันได้ยาก ใครได้เข้าตัวหนึ่งก็อวดสีมือกันโขมงทั้งๆที่ได้มาก็ไม่ได้เอามาทำอะไร เพราะผู้ใหญ่เขาบอกกินไม่ได้ปูเปี้ยวนี่

            มีทีหนึ่งผู้เขียนก็ได้โชว์สีมือตกปูกะเขาด้วย ความจริงก็ตกกะเขาทุกทีแหละ แต่ยังไม่เคยโชว์ความสามารถเหมือนหนนี้ หนนี้พอต่างแยกกันหาทำเลเหมาะของตัวแล้ว ต่างคนก็ต่างลงนั่งเงียบใช้สมาธิให้ปูกินเหยื่อ ผู้เขียนก็ลองเลือกเอาปากรูที่ใหญ่ๆหน่อย  เผื่อจะได้ปูตัวใหญ่ๆกะเขามั่ง เรื่องปากรูปูนี่มันไม่ค่อยแน่นะ บางทีรูใหญ่แต่ปูตัวนิดเดียว บางทีรูเล็กแต่ปูตัวเบ้อเฮิ้มกีมี คราวนี้ผู้เขียนเอารูใหญ่ไว้ก่อน จะได้ตัวเล็กตัวใหญ่ก็ช่างมัน พอค่อยๆหย่อนเบ็ดลงไปแล้วนั่งคอย คอยจนเบื่อก็ไม่เห็นมีปูออกมา จนเสียงไอ้จุกไอ้แกละเข้าได้กันแล้ว ผู้เขียนก็ยังไม่เห็นเงาปูออกมาจากรูเลย เลยลุกขึ้นเอาใหม่พยายามเหวี่ยงเบ็ดก็ดอกมะพร้าวนั่นแหละให้เข้าไปในปากรูมันเลย เอาไม้คันเบ็ดช่วยทิ่มดอกมะพร้าวให้เข้าไปลึกๆด้วยแล้วลงนั่งคอย  เอ๊ะ คราวนี้ได้ความแฮะ พักเดียวแหละรู้สึกว่ามันมาคาบเหยื่อแล้ว ผู้เขียนลองดึงดูมันก็ไม่ปล่อย แถมเราดึงมามันยังดึงไปเสียอีก ผู้เขียนก็ตื่นเต้นซีลุกขึ้นดึงใหญ่ลากเบ็ดออกมา มันก็ตามเบ็ดออกมาด้วย  พอแลเห็นไรๆแค่นั้นแหละว่ามีปูตามเบ็ดออกมาหาผู้เขียนก็ดึงพรวดเลยเหวี่ยงเบ็ดเข้าหาตัว พอตัวปูตามเบ็ดมาหล่นเผละตรงหน้าแค่นั้นผู้เขียนก็จ๊ากลั่น ก็โอ้โหโคตรปูตัวเท่าฝ่ามือแน่ะ ดำปี๋ก้ามเบ้อเร่อแดงแจ๊ด พอหล่นตรงหน้าได้มันก็อ้าก้ามวิ่งจี๋ ไม่ใช่มันจะไล่หนีบหรอกมันก็ตกใจจะวิ่งส่งเดช แต่มันวิ่งมาหาเรา ผู้เขียนเลยทิ้งเบ็ดถอยกรูดกรี๊ดๆ เพื่อนฝูงต้องมารุมล้อมช่วยกันต้อนหน้าต้อนหลังปู จะจับให้ได้แต่ไม่ทันมันหรอก เอะอะเฮฮากันแทบตายแต่ก็คว้าน้ำเหลว

            ตั้งแต่วันนั้นพอพูดถึงเรื่องตกปู พรรคพวกต้องพูดถึงผู้เขียนในฐานะที่ตัวเล็กกว่าเพื่อน แต่ตกได้ปูใหญ่กว่าใคร

            นอกจากจะสนุกกันในตอนหน้าแล้งด้วยการเล่นโคลนตมจับปูจับปลากันแล้ว งานทศกาลประจำปีตามวัดต่างๆเขาก็มีให้ดูกันอีก อย่างงานสงกรานต์ งานแห่หลวงพ่อเกษรวัดท่าพระ
            งานแห่หลวงพ่อเกษรเป็นงานใหญ่มาก เพราะเป็นงานประจำปีที่ต้องมีทุกปีไม่มีขาด ตั้งแต่ผู้เขียนยังเด็กจนมาถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่ พอถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนห้า เขาต้องมีงานแห่หลวงพ่อเกษรกัน ริ้วขบวนที่เดินกันไปนั้นยาวเหยียด สวยงาม เพราะบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อนั้นมากมาย ไม่ว่าไทยว่าจีน เพราะหลวงพ่อเกษรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่นับถือสักการะของชาวสวนถิ่นนี้ทุกคน
            ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า จำเดิมเริ่มแรกนั้น หลวงพ่อเกษรกับหลวงพ่อโสธรที่แปดริ้วท่านล่องแพลงมาจากอยุธยาด้วยกัน เมื่อลัดเลาะกันตามแม่น้ำลำคลองจนมาถึงคลองท้ายวัด ซึ่งแต่ก่อนยังไม่เป็นวัด แพของหลวงพ่อเกษรเกิดล่ม องค์หลวงพ่อท่านก็จมลงไป เหลือแต่หลวงพ่อโสธรองค์เดียวที่ล่องไปจนถึงแปดริ้วได้ แล้วท่านก็อยู่ที่นั่นมาจนเดี๋ยวนี้ ส่วนหลวงพ่อเกษรต่อมาชาวบ้านแถวนั้นช่วยกันนิมนต์ท่านขึ้นมาได้ ก็เลยประดิษฐานอยู่ตรงปัจจุบันนี้ แต่ก่อนนั้นยังมีมีโบสถ์ให้ท่าน เพิ่งจะช่วยกันสร้างขึ้นใหม่ เกือบจะเสร็จแล้วเดี๋ยวนี้
            งานแห่หลวงพ่อเกษรนี่สนุกมาก นอกจากขบวนแห่จะยาวเหยียด เพราะมีริ้วขบวนประเภทต่างๆมากมาย ยังมีประเภทความคิดที่เป็นชุดต่างๆอีกด้วย อย่างชุดพันท้ายนรสิงห์ที่จำลองเรือด้วยกระดาษ เอาฝีพายลงเดินอยู่ในเรือ มีเชือกล่ามเรือขึ้นมาพันคอฝีพายเดินไปเรือมันก็ตามไปด้วยอยู่ดี ก็เหมือนเรือเคลื่อนไปด้วยฝีพายนั้น แล้วก็ชุดแรกนาขวัญ อีชุดนี้มโหฬารมากเพราะมาเอาเทพีที่บ้านแถวบางลำเจียกนี่เอง เป็นเทพีหาบเงินหาบทองสองคู่ พวกเราเด็กๆแอบล้อสาวเทพีพวกนี้ว่าเทผี เผอิญไปล้อให้ได้ยินเลยโดนด่าเปิง
            มีอยู่ชุดหนึ่งซึ่งพวกเราเด็กไม่ชอบเลย มีให้ดูหลายหนด้วย คือ ชุดชูชกกับสองกุมาร เขาก็มีผู้ชายแก่ๆแต่งตัวเป็นชูชก แล้วเอาเด็กจริงๆ เด็กขนาดเราตอนนั้นแหละ แต่งเป็นกัณหา ชาลี นุ่งโจงกระเบน ไว้ผมจุก มีเชือกผูกข้อมือทั้งสองคนแล้วล่ามมาให้ตาชูชกถือ ตาเฒ่าชูชกแกก็ถือเชือกนั่นแหละลากไป อีกมือก็ถือไม้เรียว เด็กสองคนนั่นก็ทำท่าร้องไห้กันกระจองงอแง  มันเป็นการแสดงน่ะ แต่พวกเราไม่ชอบ พอชุดนี้เดินผ่านหน้าทีไร เด็กๆก็ช่วยกันด่าพึมพำ บางคนโมโหจัดอย่างไอ้จุกยังงี้ เพราะมันถือว่าเด็กหัวจุกเป็นพวกเดียวกะมัน มันเลยแค้นแอบเอาก้อนอิฐปาตาชูชก ปาแล้วก็ชวนพวกพ้องวิ่งหนีกันเกรียว  เพราะตาชูชกแกออกจากขบวนแห่มาวิ่งไล่ตีพวกเราแทนกัณหาชาลี เอะอะกันไปทั้งคนดูคนเล่น ต่อมาเลยหายไปอีชุดนี้ ไม่เห็นใครแสดงอีก คงจะนึกได้ว่ามันกระเทือนใจเด็ก
            อีชุดที่พวกเราเด็กๆชอบที่สุด คือ ชุดกระตั้วแทงเสือ ดูได้ดูดีไม่ว่ามีงานแห่อะไรที่ไหน ชุดกระตั้วแทงเสือนี่ต้องมีเป็นประจำ แล้วพวกเราก็ดูกันเป็นประจำ ดูเสร็จก็เป็นโรคระบาดติดมาถึงบ้านทุกที คือ จำเอามาเล่นกันเองที่หัวถนน ไอ้จุกเป็นตัวกระตั้ว ไอ้แกละเป็นนางกระแอ เพราะชุดกระตั้วแทงเสือนี่ผู้ใหญ่เขาเล่นเอาผู้ชายเป็นนางกระแอทุกที กระเดียดกระทายเดินสะอิ้งเอวไปตามจังหวะกลองจังหวะกรับ แสดงว่าพวกกะเทยนี่มีมานานแต่บุร่ำบุราณแล้ว
            พูดถึงเรื่องนี้เลยนึกขึ้นมาได้ถึงสำนวนโบราณอีกสำนวนหนึ่ง คือคำว่า กระแทะกระทาย ซึ่งเขาจะหมายถึงหญิงผู้มีความชำนาญในการครองเหย้าครองเรือนอะไรทำนองนั้นแหละ เพราะมักจะมีคำแตกต่างกันว่า อ๋อ มันจะไม่เก่งยังไง ก็มันช่างกระแทะกระทายดีนัก ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน
            เมื่อไอ้แกละเป็นนางกระแอ ไอ้เบิ้มก็ต้องเป็นเสือเพราะเนื้อตัวมันค่อยบึ้บบั้บหน่อย แล้วหกคะเมนตีลังกาเก่ง เสือนี่ในขบวนแห่จริงๆ เขาก็ต้องหกคะเมนตีลังกาไปแทบตลอดทางนะ ทำไมยังงั้นก็ไม่รู้ซี เคยเห็นเสือที่มันอยู่ในกรง เห็นมันก็เอาแต่เดินไปเดินมา หรือไม่ก็นั่งอยู่เฉยๆ ไม่เคยเห็นมันตีลังกาสักทีก็เป็นเรื่องแปลก ที่เสือของพวกกระตั้วนี่ตีลังกาเก่ง บางตัวก่อนใส่หัวเสือก๊งเข้าไปเสียเยอะ เวลาไปเข้าขบวนแห่เลยออกฤทธิ์ นอกจากจะหกคะเมนตีลังกาอย่างผาดโผนแล้ว ปะเหมาะพ่อยังปีนขึ้นไปบนเสาไฟฟ้าข้างทาง เรียกกันแทบตายยังไม่ค่อยจะยอมลง  เล่นเอาขบวนแห่ต้องหยุดรอนานสองนาน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นในงานแห่หลวงพ่อเกษรหรอก เกิดขึ้นในงานเทียนของวัดพลับ วัดสังกะจาย แล้วก็วัดหงษ์ แต่ก่อนนี้สามวัดนี่เขาร่วมใจกันจับมือแห่ร่วมกัน ขบวนแห่ถึงมโหฬารจริงๆ แห่ออกถนนเจริญพาสน์โน่น ถึงเกิดเหตุเสือไต่เดี๊ยะขึ้นไปบนเสาไฟฟ้าไงล่ะ
            เมื่อไอ้แกละเป็นนางกระแอ ไอ้เบิ้มเป็นเสือ ไอ้เปี๊ยกก็เป็นลูกนางกระแอ เหลือผู้เขียนไม่มีตัวเป็น เลยได้เป็นคนตีเกราะเคาะไม้ ทำจังหวะให้เขาเต้นกัน พลอยได้ออกรำลอยหน้าลอยตาไปกะเขาด้วย สนุกพิลึก แล้วรายการนี้เลิกยากด้วย ต้องเล่นซ้ำๆ กันอยู่หลายวันกว่าจะเบื่อ เลยบางวันต้องเกิดเหตุแย่งวิกแสดงกับพวกละครคณะยายเหม็น เพราะพวกนี้ก็เพิ่งดูละครชาตรีงานหลวงพ่อมาใหม่ๆเหมือนกัน  โรงละครชาตรียังขึ้นสมองอยู่ ต้องมาตั้งวิกเล่นกันอีก อีหัวถนนนั่นก็มีอยู่หัวถนนเดียว เลยต้องแย่งกันทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา พอไม่มีใครแพ้ใครชนะ  เพราะพวกเท่าๆกันเลยต่างคนต่างเล่น ละครก็เล่นไป ปักหลักขึ้นเตียงร้านใส่บาตร พวกขบวนกระตั้วแทงเสือ ก็แห่กันไปเสียงขรม มีพวกไอ้หนุ่มรุ่นพี่มานั่งช่วยลุ้น ตบมือตีตีนไปด้วย ก็พากันครื้นเครงดีไปพักหนึ่ง
            งานประจำปีแห่หลวงพ่อเกษรวัดท่าพระนี่ นอกจากจะมีขบวนแห่ยาวเหยียดให้ดูแล้ว ยังมีมหรสพให้ดูฟรีอีกตั้งหลายอย่าง ที่ประจำก็คือ งิ้ว ละครชาตรี ลิเก ตะกร้อลอดบ่วง มีปีหนึ่งมีการเล่นจูงนางเข้าห้อง  โดยเอาคนจริงๆมาเดินแทนเบี้ย ตัวนางก็เอาผู้หญิงจริงๆ แต่งตัวนุ่งจีบห่มสไบสวยเช้ง คนดูงี้แน่นเอี้ยดลุ้นกันเสียงขรมยังกะดูตะกร้อลอดบ่วง เพราะดูตะกร้อนี่คนดูก็ลุ้นกันตัวโก่งนะ เสียงเฮเฮบางคนฮึดฮัดยังกะจะเข้าไปเตะเองยังมี
            ในงานวันแห่หลวงพ่อเกษร นอกจากพวกเราชาวถิ่นนี้จะไปกับแทบทุกคนแล้ว คนถิ่นอื่นที่เขาพอจะเดินมาได้เขาก็มากัน อย่างคนแถวเจริญพาสน์ วัดสังกระจาย วัดแจ้ง ตั้งแต่เช้าถึงเย็นตามถนนที่ผ่านกลางป่าช้าวัดพลับ เข้าเขตคลองบางลำเจียกไปทะลุวัดท่าพระจะมีคนเดินไปเดินมากันไม่ขาด มีทั้งผู้ใหญ่เด็ก แก่เฒ่าทั้งหญิงชายต่างก็มุ่งหน้าไปงานหลวงพ่อ ตามถนนที่กล่าวนี้ถ้าบ้านใดอยู่ติดถนนหน่อย หรือบางบ้านก็มีประตูรั้วอยู่ติดถนนพอดี บ้านเหล่านี้เขาก็จะเอาโอ่งมังกรขนาดเล็กมาตั้งหน้าบ้าน ตั้งบนร้านหรือบนโต๊ะอย่างดีไม่ใช่ตั้งบนดิน แล้วก็เอาน้ำฝนใส่ยาอุทัยละลายให้หอม บางแห่งก็มีน้ำแข็งใส่ด้วย มีกระบวยหรือจอกเล็กๆ วางไว้ให้เพื่อคนเดินไปเดินมาจะได้กิน ในวันนั้นจะต้องมีคนคอยเติมน้ำให้เต็มอยู่เสมอหลายครั้ง แสดงว่ามีคนหยุดกินน้ำเยอะเพราะทางเดินมันไกลทั้งร้อนทั้งเหนื่อย บางบ้านยังใจถึงเอาเม็ดแมงลักมาละลายใส่น้ำตาลพอหวานอ่อนๆ วางเคียงข้างโอ่งน้ำกินอีกโอ่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีผู้นิยมซดแมงลักยิ่งกว่าน้ำเปล่าๆเสียอีก เดี๋ยวต้องละลายเดี๋ยวต้องละลาย เล่นกันหลายโอ่งเลย
            เรื่องโอ่งน้ำกินตั้งหน้าบ้านเพื่อเป็นทานแก่คนเดินทางนี้ มีบ้านหนึ่งมีบ้านอยู่ติดถนนตอนเกือบถึงวัดท่าพระเลย บ้านนี้ตั้งโอ่งกินไว้หน้าบ้านให้ทานทุกวันทุกปี เป็นโอ่งดินที่มีฝาปิดมิดชิด มีกระบวยวางไว้ให้ คือ บ้านเขาไม่เคยขาดโอ่งน้ำนี้ ใครเดินผ่านไปผ่านมาเมื่อไหร่หิวน้ำเป็นแวะเข้าไปกินได้ทันที จับกระบวยตักน้ำกันจนก้านกระบวยนั่นเป็นมัน
            นั่นคือไมตรีจิตที่เป็นประเพณีของคนไทยแท้แต่โบราณ ที่ว่าใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ ถึงไม่เข้าไปจนถึงบนเรือนบนชาน แต่ผ่านหน้าบ้านก็มีน้ำให้กิน ให้ลูบหน้าพอชื่นใจแล้ว มาถึงปัจจุบันนี้อย่าไปหาเลยเรื่องโอ่งน้ำกินหน้าบ้าน ขืนลองเอามาวางเข้าเถอะพ่อจะได้เทน้ำยกเอาโอ่งไปเสีย ยิ่งเป็นโอ่งมังกรหรือโอ่งดินรูปร่างโบราณอย่างนั้นยิ่งขายได้ราคา รับรองวางไว้ไม่ทันข้ามคืนเรียบร้อย
            เมื่องานแห่หลวงพ่อเกษรกับงานสงกรานต์ตามวัดต่างๆผ่านไปแล้ว คราวนี้ฝนก็ควรจะตกลงมาบ้าง ความจริงในบางครั้งในวันสงกรานต์นั่นแหละ ก็จะมีฝนตกลงมาบ้างแต่เบาบางพอให้อากาศเย็นชื่นไม่แห้งแล้งเกินไป บางทียังไม่ทันจะสิ้นเดือนหน้าด้วยซ้ำ ก็เล่นลงกันจั๊กๆแล้ว มีทั้งลม ทั้งพายุ พัดลูกมะม่วงที่กำลังครึ่งอ่อนครึ่งแก่ ที่เขาเรียกว่ากำลังเข้าคายนั่นน่ะ หล่นกันผลุผละ เด็กเล็กไล่แย่งเก็บกันโกลาหล
            ถัดจากหัวถนนแหล่งมั่วสุมของเราเด็กๆนั้น เป็นสวนของปู่ย่าตายาย มีมะม่วงต้นหนึ่งสูงชะลูดยังกะต้นตาล กิ่งก้านล่างๆขึ้นไปไม่มีเลย ไปมีกิ่งก้านแผ่สาขาอยู่บนยอดโน่น บานแฉ่งยังกะร่ม มะม่วงต้นนี้ออกลูกดกทุกปี เขาเรียกมะม่วงหัวกิ้งก่า เพราะเวลาเข้าคายนี่อีตรงท้ายลูกของมันติดกับขั้วน่ะ จะขึ้นลายปรุเหมือนฝ้าบนแก้มสาว เป็นสีอมแดงอมม่วงเหมือนสีอีตรงคอกิ้งก่าไม่มีผิด มะม่วงต้นนี้พอพายุมาหรือลมแรงหน่อยมันจะหล่นผลุผละ ผลุผละ ลงในรกในพง ในลำประโดง ถ้าเก็บกันทีจะเป็นกระจาด แต่เจ้าของไม่มีปัญญาเก็บ  เพราะต้นมันสูงชะลูดอย่างว่า พวกเราถือโอกาสเป็นเจ้าของ พอพายุมาละก็จะพากันวิ่งจี๋ไปที่โคนต้น ผลุลงมาทีก็เฮกันเข้าไปแย่งกันที ยิ่งลมแรงยิ่งหล่นลงมาทีละหลายลูก ยิ่งสนุกกันใหญ่ ไอ้เรื่องลงในน้ำในโคลนน่ะเหรอ เรื่องเล็ก ต่างคนต่างแก้ผ้า กางแผ่ไว้ริมตลิ่ง โดดโครมกันลงไปงมกันให้ฟ่อด  พอได้ก็เอามากองไว้บนผ้านุ่งหรือกางเกงของตัว สำหรับพอเลิกเก็บแล้วจะได้ห่อหิ้วกลับบ้านเลย แต่ผู้เขียนนั้นก็อย่างว่าน่ะแหละ มันเล็กกว่าเพื่อน ส่วนมากผู้ใหญ่ไม่ค่อยปล่อยให้มา แต่ถ้าวันไหนได้หนีมาได้ ก็ลงเฮกับเขาเหมือนกัน พลอยกี๊กก๊ากไปกะเขาเลาเขาแย่งกันนัว  แล้วตัวเองอย่างดีก็ลูกเดียว ที่เพื่อนๆมันยอมให้แย่งได้เป็นของตัว พากลับบ้าน ไม่คุ้มกับโดนด่า โดนจับอาบน้ำล้างเลนล้างโคลนที่เขละทั้งตัวหัวหู คราวหลังๆเลยเกิดความฉลาด แบบเรียนลัดดีกว่า หรือไม่รวยก็สวยได้ทำนองนั้นเพราะตอนที่เราไม่ยอมลงไปงมอยู่ในโคลนกะเขา ผู้เขียนจะสังเกตเห็นไอ้พวกที่แย่งกันนัวน่ะ พอมันแย่งได้ มันก็ตะกายขึ้นมาวางบนกองของมัน บนผ้านุ่งมั่ง กางเกงมั่ง แล้วก็ผลุบลงไปในลำประโดงอีก แต่ไอ้บางคนมันหัวดี พอวางของมันแล้ว มันก็หันมาวางบนกองของมัน  แล้วผลุบลงไปแย่งกะเขาใหม่ ผู้เขียนก็ได้แต่นั่งหัวเราะงอๆขันเป็นบ้า  เพราะมันไม่ได้ทำคนเดียวหรอก ต่างคนต่างก็ทำใครเผลอเป็นโดนหยิบทั้งนั้น  บางทีมะม่วงลูกเดียวกันน่ะแหละ แต่มันถูกวนไปอยู่บนกองโน้นมั่งกองนี้มั่ง เป็นวัฏจักร ผู้เขียนเลยเก็งได้ พอพายุชักซา มะม่วงชักไม่ค่อยหล่น ไอ้พวกนั้นมันจะเลิกแย่งกันแล้ว ผู้เขียนก็เลยรีบหยิบบนกองของพวกมันแหละกองละลูกสองลูก แล้วรีบหอบวิ่งกลับบ้านก่อน สบายบื๋อ
            จะเห็นว่าให้หน้าแล้งหน้าร้อนยังไงพวกเราเด็กชาวสวนไม่เคยทุกข์ สนุกกันทั้งปีทั้งชาติ แต่พวกผู้ใหญ่น่ะซีถ้าฝนไม่ตกลงมาจริงๆ แล้งไปตลอดจนถึงเดือนหกเขาจะเป็นทุกข์กันแล้ว ไอ้เรื่องน้ำกินน้ำใช้จ่ะไม่ต้องห่วงโอ่งน้ำฝนเขามีตั้งกันไว้รอบบ้าน กินได้ทั้งปีชนอีกปีไม่มีหมด น้ำใช้ก็พอวิดกันก้นคลองก้นคูเอามาแกว่งสารส้มใช้ได้ไม่มีอะไรเดือดร้อน แต่พวกต้นผลไม้นี่ซีมันแย่ อย่างต้นลำไยยังงี้ตอนเดือนสี่จะเข้าเดือนห้านี่ลำใยมันเพิ่งจะมีตุ่มเล็กๆแค่นั้นนะ คือ ลำไยนี่มันจะเริ่มผลิดอกออกช่อกันเมื่อตอนเดือนสาม เดือนสี่นี้ดอกที่บานเต็มต้นยังร่วงไม่หมดเลย ขณะที่เขียนเรื่องนี้ลำไยหน้าบ้านผู้เขียนเพิ่งจะโรยเอง เดือนห้าเดือนหกแหละถึงจะรู้แน่ว่ามันจะติดเป็นลูกได้สักแค่ไหน ระหว่างนี้ถึงต้องอาศัยน้ำบ้างให้มันได้ชุ่มชื่น ไม่งั้นเดี๋ยวมันร่วงหมดอดกัน เพราะฉะนั้นเดือนห้านี่ถึงต้องจำเป็นจริงๆ ที่ต้องมีฝนบ้างที่เขาเรียกฝนชะลานไง แต่บางปีมันก็ไม่ยอมตกลงมาซะเลย เกิดความแห้งแล้งกันไปทั่วทำให้ชาวสวนต้องคิดหาวิธีเรียกฝนกัน.

           
      
ตีพิมพ์ในหนังสือ ต่วย' ตูน
พฤษภาคม ๒๕๓๐ ปีที่ ๑๖ เล่มที่ ๙
โดย แก้ว แกมทอง
บันทึกเรื่องเก่าที่น่าศึกษาเรียนรู้ นำมาเผยแพร่อีกครั้ง เพื่อสัมผัสวิถิชีวิตของไทยยุคก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น