++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

๔๖๓ วันในวังเปรมประชากร

กมล ชโนวรรณ

            "วังเปรมประชากร" ที่ว่านี้ คงไม่มีอยู่ในทำเนียบวัง อย่าไปค้นเสียให้ยากเลยเพราะเป็นวังนอกทำเนียบ ผมตั้งขึ้นเอง เพื่อให้เกิดความรู้สึกครึ้มๆขึ้นมาหน่อย แทนที่จะใช้ชื่อ "เรือนจำคลองเปรม" อันเป็นชื่อที่เรียก  "เรือนจำลหุโทษ" หรือ "เรือนจำกลางกรุงเมพมหานคร" หรือที่คนเก่าๆแก่ๆ อุตส่าห์เรียก "คุกใหม่" ก็ยังมี  แต่จะใหม่สมัยไหน พ.ศ.ใด ผมไม่ทราบ หรือครั้งสุดท้ายก่อนจะยุบทำเป็นสวนสาธารณะแห่งใหม่ล่าสุดใช้ชื่อว่า "เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร" หรือที่เรียกแบบชาวบ้านๆ ว่า "คุกลหุโทษ" ก็คุกเดียวกันเองแหละ

            ผมได้มีโอกาสเข้าไปกินอยู่หลับนอนในวังเปรมประชากร ชั่วปีกว่าๆ (๔๖๓ วัน) ที่ว่าผมมี "โอกาส" จึงเข้าไปอยู่ได้ ก็เพราะคนอื่นไม่มี "โอกาส"  ไม่ใช่ใครอยากเข้าไปอยู่ก็เข้าไปอยู่ได้ตามอยาก ประตู "วัง" ไม่ได้เปิดรับสำหรับทุกคน คงรับเฉพาะผู้มี "โอกาส" เท่านั้น อย่าหวังเสียให้ยากเลยว่าจะเข้าไปอยู่ได้ง่ายๆ เข้าไปแล้วออกยากเสียด้วย  เข้าทำนอง "เข้ายากออกยาก" แต่อย่าไปสนใจคำเปรียบเทียบสัปดี้สัปดนปลอบใจพวกที่อยู่ในวังหรืออยู่ในคุกที่ว่า "ติดคุกยังมีวันออก ... ยังมีวันหุบ"

            วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ คือวันที่ผมย้ายสำมะโนครัวเข้าไปอยู่ในวังเปรมประชากร ทั้งๆที่ไม่มีความสมัครใจเข้าไปอยู่แม้แต่น้อย แต่ผมถูกบังคับโดยผู้ไม่ปรารถนาดีต่อผม ใช้อำนาจกฎหมายบังหน้าเล่นงานผมจนได้ ก็เขายัดเยียดข้อหาสมคบกับพวกฆ่า นายเตียง ศิริขันธ์ กับพวกด้วย ให้ผม ตั้งแต่วันที่ ๑๓ เดือนมิถุนายน ๒๕๐๑ ถึงวันที่ส่งผมเข้าวังเปรมประชากรเป็นเวลา ๓๓ วันตามอำนาจขังของตำรวจ

            ใครๆก็เตือน บ้างก็ขู่ว่า ในวันที่ผมถูกส่งเข้าวังนั้น จะต้องมีผู้ต้องขังระดับเซียนที่อยู่ในวังก่อนแล้ว มาตั้งแถวต้อนรับพวกผมแบบรับน้องใหม่ เพราะพวกนั้นอาฆาตแค้นพวกผมที่จับกุมพวกเขาจนต้องมารับกรรมอยู่ในวัง จึงต้องสมนาคุมพวกผมให้สมแค้น เรียกว่าให้ถึงเลือดว่างั้นเถอะ เข้าตำราภาษิตจีนที่ว่า "บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ" สำหรับผมรวมทั้งน้องใหม่ทุกคนที่เข้าไปพร้อมผมไม่รู้สึกตื่นเต้นกับข่าวนี้แต่อย่างใด เพราะผมและพวกถือว่าไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญหรือสร้างความแค้นอันใดไว้กับใคร หากจะต้องมีผู้ต้องขังรุ่นซีเนียร์คนใดถูกผมจับส่งเข้าไปก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่จับกุมตามปกติของตำรวจผู้รักษากฎหมายธรรมดาๆ เจ้าตัวผู้ถูกจับย่อมรู้ดี ไม่น่าจะมีการอาฆาตจองเวรกันถึงขนาดจะรับน้องใหม่ ตามข่าวลือข่าวกลั่นกรองหรือข่าวกลั่นแกล้งแต่ประการใด และก็เป็นจริงดังที่ผมคิด คือ ไม่มีเหตุการณ์เช่นว่านั้นเกิดขึ้นในวันนั้นหรือวันต่อๆไป พูดแล้วจะว่าคุย ผมสามารถเดินเข้าออกไม่เฉพาะแต่ในบริเวณขัง ๗ เท่านั้น แม้แต่ขังอื่นๆในบริเวณวังฯ (เห็นจะต้องใช้คำว่า "คุก" แทย "วัง" เสียมั่งก็ดี) เท่าที่เขาอนุญาตได้อย่างสะดวกสบาย (ภาษาแสลงตอนนั้นเขาว่า "เดินเต๊ะจุ๊ย" ) พวกที่เคยผจญกันมาเมื่อครั้งอยู่นอกคุกเจอกันเข้าก็พูดจาทักทายผมเป็นอันดี มิหนำซ้ำบางรายถึงขนาดเข้าไปรับใช้ผมเสียอีก

            ภายในคุก เขาแบ่งเขตหรือสถานที่คุมขังออกเป็น ๗ เขต โดยใช้คำว่า "ขัง" นำหน้า เช่น ขัง ๑ ขัง ๒ ขัง ๓ ต่อๆไปจนถึง ขัง ๘ บริเวณสถานที่แต่ละขังเล็กบ้างใหญ่บ้างตามความจำเป็นและเหมาะสม สถานที่ที่ใช้คุมขังพวกผม คือ ขัง ๗ เป็นขังพิเศษใช้ขังบุคคลสำคัญ พวกต้องคดีการเมือง หรือ คดีสำคัญๆโดยเฉพาะ เห็นไหมครับผมกลายเป็นบุคคลสำคัญเอาตอนเข้าคุกนี่เอง

            ลืมบอกไปว่า ขัง ๑ ถึงขัง ๗ นั้นเป็นที่คุมขังผู้ชายทั้งหมด ส่วนขัง ๘ เป็นที่คุมขังผู้หญิงมีเพียงขังเดียว เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงไม่ชอบประพฤติผิดกฎหมาย ทั้งๆที่จำนวนประชากรหญิงของประเทศไทยมีพอๆกับประชากรชาย ดูเหมือนจะมากกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำไป ทำไมถึงเป็นเช่นนี้อยากรู้ต้องถามนักอาชญาวิทยาดู ขัง ๘ นี้ มีกำแพงกั้นแยกต่างหากไม่ให้ปะปนกับขังชาย แม้กระทั่งประตูเข้าออกก็แยกต่างหากเรียกว่า ผู้ต้องขังชายกับหญิงไม่ได้เห็นหน้ากันเลยทีเดียว ผู้ควบคุมดูแลก็ใช้ผู้หญิงล้วนๆ

            สถานที่ที่ใช้คุมขังพวกผม เป็นบริเวณรั้วรอบขอบชิด มีประตูเข้าออก (ทวาร) มีผู้คุมนั่งกำกับอยู่ตรงประตู ใครจะผ่านเข้าออกก็ต้องผ่านนายประตูหรือนายทวาร ด้านประตูเข้าออกประกอบด้วยกำแพงอิฐเป็นแนวกั้น ด้านนี้คือด้านทิศใต้ ด้านทิศเหนือเป็นกำแพวอิฐสูงลิ่วกว่าด้านใต้ เพราะด้านนี้ เป็นด้านนอกคือเป็นกำแพงคุกติดต่อกับภายนอก ตรงมุมต่อระหว่างกำแพงด้านเหนือเป็นซอยรถวิ่งได้ไปทะลุวัดสุทัศน์ และตรงปากซอยนี้ (ด้านถนนมหาไชย) ก็เป็นร้านนายเหมือนซึ่งใครๆก้รู้จัก ร้านนี้ส่วนใหญ่ขายเครื่องจักรสาน

            ส่วนสำคัญของขัง ๗ คือ ตัวตึกสองชั้น ลักษณะเด่นของตึกนี้คือลูกกรงเหล็กรอบริมตึกทั้งชั้นบนและชั้นล่าง  มีบันได้ขึ้นลงจากชั้นล่างถึงชั้นบนสองบันไดอยู่ด้านขวาและด้านซ้ายบันไดชั้นบนถือว่าเป็นส่วนด้านหน้าของตึกมีที่ว่างใช้ร่วมกัน เป็นที่พักผ่อนที่กินอาหาร ที่ดูทีวี ถัดพื้นที่รวมตอนนี้ออกไป ตามด้านยาวของตึก คือส่วนที่ใช้เป็นห้องขังเฉพาะตัว เรียกได้ว่า ห้องไปรเวท  ต่างคนต่างนอนในตอนกลางคืน ห้องใครห้องมัน ใครจะขอนอนร่วมกับใครก็ไม่ได้ ห้องเฉพาะตัวนี้แยกออกเป็นสองแถวหน้าหลังชนกัน ด้านหน้าห้องซอยมีระเบียงผ่านเหมือนกันทั้งปีกซ้ายปีกขวา ในตอนกลางวันจะออกมานั่งหน้าห้องส่วนตัว พื่อพักผ่อนหรือหาอะไรทำก็ได้ หรือมายืนเกาะลูกกรงที่กั้นรอบแนวริมตึกมองไปข้างหน้าดูวิวที่ไม่ค่อยจะน่าดูนักแก้เซ็งก็ไม่มีใครเขาว่าอะไร หรือจะลงจากตึกมาอยู่ในบริเวณตึกขังก็ยังได้ ขออย่างเดียวอย่าแหกกำแพงออกไปข้างนอกก็แล้วกัน

            ที่ผมมายืนเกาะลูกกรงมองวิวหรือทำอะไรตรงระเบียงหน้าห้องได้ในตอนกลางวันนั้นเพราะเหตุว่าตอนกลางคืน คือ ๑๘.๐๐ น. หรือ ๖ โมงเย็นทุกคนจะต้องเข้ากุฏิหรือห้องขังเฉพาะตัวห้องใครห้องมัน แล้วผู้คุมจะโยกคันบังคับหรือที่เรียกว่า หางปลาเสียงดังโครมใหญ่ ประตูลูกกรงห้องขังซอยจะปิดสนิทพร้อมกัน หมดอิสรภาพไปอีกส่วนหนึ่งในช่วงเวลานี้จะออกได้อีกทีก็เวลา ๐๖.๐๐ น. หรือหกโมงเช้าของวันใหม่ ในเมื่อผู้คุมมายกหางปลาขึ้นโครมเดียว ก็เปิดประตูขังซอยได้ทุกห้อง เป็นการปลุกโดยไม่จำเป็นต้องใช้นาฬิกาปลุก แต่ใช้เสียงโครมครามสนั่นหวั่นไหวจากการยกหางปลาของผู้คุมแทน

            อีตอนที่ต้องเข้าอยูในห้องทึบๆแคบๆ ตั้งแต่หัวค่ำ (๑๘.๐๐ น.) จนถึงเวลาหกโมงเช้า รวม ๑๒ ชั่วโมงนี่ซิ เป็นเรื่องทรมานจิตใจและทรมานสังขารอย่างสาหัสสากรรจ์ เพราะห้องฝาทึบ ๓ ด้านมีประตูลูกกรงหน้าห้องเท่านั้นที่ไม่ทึบ ขนาดห้องพอจะตั้งเตียง ไม่กระดานแผ่นนอนได้คนเดียวแล้วเหลือช่องว่างตามแนวยาวของเตียงหันปลายเท้ามาทางประตูลูกกรงแทบจะพอดิบพอดี ขนาดห้องก็คงประมาณ ๒ คูณ ๑ เมตรครึ่ง คิดดูก็แล้วกัน มันจะอบอ้าวขนาดไหน เครื่องใช้ไฟฟ้าทางเรือนจำห้ามใช้และห้ามนำเข้า ฉะนั้นพัดลมก็ดี หรือแอร์คอนดิชั่นก็ดี ที่จะใช้ดับร้อน หาไม่ได้แน่ในห้องขัง

            พูดถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็คิดไปถึงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์วันส่งพวกผมเข้าคุก จะเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับใดอย่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บหรือหาอะไรเลย นักข่าวผู้ทำข่าวป่านนี้คงไปอยู่ไหนๆแล้ว อาจตายไปแล้วก็เป็นได้ ลงข่าวเปนตุเป็นตะว่า มีการขอตู้เย็น พัดลม เข้าไปบำรุงความสุขตามประสาผู้ต้องขังชั้นพิเศษ คือ มีสิทธิพิเศษกว่าผู้ต้องขังธรรมดาว่างั้นเถอะ คุยๆสอบถามที่มาของข่าวนี้กันแล้วได้ความว่า ขณะที่เจ้าพนักงานนำพวกผมเข้าประตูคุกนั้น พอดีกันกับมีการขนตู้เย็น พัดลม และเครื่องใช้ไฟฟ้าขึ้นรถยนต์จากห้าง กมลสุโกศล ผู้จำหน่ายสินค้าไฟฟ้าไปส่งลูกค้าอยู่ที่หน้าห้างซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับคุกพอดี นักข่าวเข้าใจผิดคิดว่า ตู้เย็น พัดลม เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นของพวกผมนำเข้าไปใช้ในคุก เลยซวยไปเพราะการกระทำซวยๆของคนหาข่าวชุ่ยๆ เพื่อป้อนข่าวให้กับคนหิวข่าวคือผู้อ่านซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่

            ว่าถึงวิธีการดับความร้อนในห้องขังที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือ ตักน้ำใส่ถังเข้าไปไว้ในห้องก่อนหกโมงเย็น เมื่อร้อนมากก็ตักน้ำในถังรดอาบดับร้อนกันตรงพื้นซีเมนต์ข้างๆที่นอน ความเทลาดของพื้นทำให้น้ำไกลออกจากห้องผ่านชานทางเดินหน้าห้องออกชายคาตึกลงไปข้างล่าง ไม่เป็นการรบกวนใคร และไม่ผิดระเบียบอันใดของเรือนจำ ให้น้ำเปียกตัวอยู่อย่างนั้นไม่ต้องเช็ดตัว ใช้พัดใบลานพัดๆจนเนื้อตัวแห้งแทน ทำให้ผ่อนคลายความร้อนได้บ้างดีกว่าอยู่เปล่าๆ

            ส่วนวิธีการเปลื้องทุกข์ ไม่ว่าทุกข์เบา ทุกข์หนัก ไม่มีอะไรดีไปกว่านั่งกระโถนที่นำเข้าไปเตรียมไว้ในห้องก่อนเวลาหางปลาโยกปิด ถ่ายแล้วปิดฝาให้มิดชิด มิฉะนั้นจะต้องนอนสูดกลิ่นของตัวเองตลอดคืน คุกต้องขออภัยในความไม่สะดวกที่ไม่มีห้องน้ำห้องส้วมอยู่ในห้องขังเหมือนเช่นห้องขังของกองปราบปรามที่เคยเล่าไว้คราวก่อน

            ที่มามาแล้วนั้นเป็นวิธีการเปลื้องทุกข์ในร่างกาย แต่ถ้าเป็นทุกข์ทางใจก็ไม่มีทางแก้นอกจากมือก่ายหน้าผากเอาทางธรรมะเข้าข่ม จะได้ฝืนใจหลับนอนได้บ้าง หากบางครั้งบางคราวเกิดไปเอากามะเข้าข่มแทนธรรมะ ก็ต้องมีอันทุกข์ใจหนักเข้าไปอีก แถมจะออกอาการกระวนกระวายตะกายฝาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณตรีคูณ

            ใครจะนอนหลับเข้าไปได้ตั้งแต่หกโมงเย็น ความจริงเขาไม่ได้ปิดห้องขังให้เข้านอนตั้งแต่ตอนนั้น  เขาไม่ได้ห้ามไม่ให้เอาอะไรเข้าไปเล่นเข้าไปทำ เพียงแต่อย่าให้เป็นการรบกวนห้องข้างเคียงหรือคนอื่นอยากจะคุยกันก็ออกเสียงตะโกนกันหน่อย ถ้าจะคุยให้เห็นหน้ากันก็ต้องเอากระจกเงาลอดช่องประตูลูกกรงออกไป ปรับภาพในกระจกให้ทแยงเข้าหาคนที่จะพูดด้วยจะฟังด้วย นับว่าเป็นการยากลำบากสักหน่อยในการที่จะเอาทั้งภาพทั้งเสียง

            มีบ่อยครั้งที่ได้ฟังเพลง "โป้ยกังเหล็ง" จากเสียงร้องของนักร้องแก้เซ็งอาวุโสของพวกเรา ท่านผู้นั้นคือ พล.ต.จ.รัตน์ วัฒนมหาตม? อดีตผู้บังคับการตำรวจสันติบาล  ท่านเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ต้องหาคดีสมคบฆ่า นายเตียง ศิริขันธ์กับพวก และท่านก็เป็นจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้ด้วย นับได้ว่าท่านเป็นพี่เอื้อยของพวกเราทั้งในทางคดีและส่วนตัว วันดีคืนดีคือ คืนที่ท่านสามารถปรับอารมณ์ให้ชื่นมื่นได้  มักจะได้ยินท่านขึ้นต้นเสียงร้องว่า "สูนซึงยูฮ่ายยยย..." ต่อไปเนื้อร้องว่าอย่างไรอีกไม่ทราบ ผมจำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ถ้าอยากรู้ไปค้นหาเนื้อร้องเพลงจีนเก่าแก่ชื่อ "โป้ยกังเหล็ง" เอาเอง สรุปแล้ว จะทำอะไร จะพูดอะไร เปล่งเสียงอะไรออกมาเป็นการระบายอารมณ์ตนเองและให้คนอื่นสบายใจขึ้นมาบ้าง ก็พยายามกระทำก่อนที่จะหลับตาลงได้ในคืนหนึ่งๆดีกว่านั่งคิดนอนคิดให้เกิดความทุกข์ใจกระวนกระวายใจไม่ใช่หรือ?

            ขอกระซิบดังๆว่า ห้องที่ "พี่รัตน์"  หรือที่เรียกว่า "ผู้การรัตน์" ยึดครองกินอยู่หลับนอนในวังเปรมประชากรนี้ไม่ใช่ธรรมดา คือ เป็นห้องขนาดใหญ่กว่าที่ผมอยู่ ที่สำคัญเป็นพิเศษคือ  เป็นห้องขังที่คนใหญ่คนโตขนาด จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยโน้น เคยอยู่หรือเคยเป็นที่ขังมาแล้ว ตอนต้องหาคดีอาชญากรสงคราม (สงครามมหาเอเซียบูรพา) นั่นไง

            เป็นกิจวัตรประจำวัน หลังเสียงโครมจากการยกหางปลาขึ้น ถอนสลักเปิดประตูห้องแต่ละห้องพร้อมกัน แต่ละคนก็กรูกันออกมาจากประตูของใครของมันพร้อมๆกัน เหมือนปล่อยสัตว์เลี้ยงออกไปหากินตอนเช้า ส่วนมากจะนุ่งผ้าขาวม้าหรือกางเกงบางๆ มีถังเปล่าไปตักน้ำ มีกระโถนของเสียถือไว้อีกมือ จุดหมายปลายทางที่เดียวกัน คือ ส้วม ที่อยู่ด้านหลังตึกหรือด้านกำแพงติดซอยร้านนายเหมือน ส้วมที่ว่านี้เป็นส้วมแบบราดน้ำ  เขาสร้างเป็นช่องถ่ายได้ช่องละคน กั้นข้างมิดชิด แต่ด้านหน้ากั้นแค่ครึ่งตัว เมื่อนั่งถ่ายหันหน้าออกก็เห็นหน้ากันป๋อหลอ คุยกันได้คุยกันดีขณะถ่าย เสร็จแล้วใช้น้ำประปาที่ตักมาจากบ่อซีเมนต์ใหญ่กักเก็บน้ำประปาไว้ให้ใช้และ อาบกันกลางแจ้งอยู่เยื้องด้านหน้าของตึกขังเป็นน้ำชำระของสกปรกจากร่างกายแล ะช่องส้วม

            เข้าส้วมกันเรียบร้อยแล้ว ช่วงตอนกลางวันนี้ถือว่า เราได้รับอิสระภาพดีกว่าตอนกลางคืน คือมีอิสรภาพกว้างขวางขึ้น แต่ต้องอยู่ในขอบเขตบริเวณตึกขัง อันนับได้ว่ากว้างขวางพอสมควร มีลานพอที่จะเล่นแบตมินตันหรือตะกร้อได้ มีที่วิ่งได้รอบๆ สระน้ำอันเรียกว่าบ่อน้ำจะเหมาะกว่า ขนาดบ่อประมาณ ๓๐ คูณ ๔๐ เมตร น้ำในบ่อสะอาดพอสมควรแก่การเป็นบ่อน้ำในคุก รอบๆบ่อมีต้นไม้ใหญ่พอที่จะเป็นร่มเงาบังแดดได้ ในบ่อมีปลาเหมือนกันส่วนใหญ่เป็นปลาหมอเทศ เป็นประเภทปลาเทวดาเลี้ยง

            ใครจะออกกำลังกายประเภทใดไม่มีข้อห้าม แต่เครืองมือเครื่องใช้ต้องหากันมาเอง ผมเลือกการออกกำลังกายโดยการเล่นแบตมินตัน ตั้วโผใหญ่ที่จัดให้มีการเล่น คือนายเก่าผมชื่อ พ.ต.อ.วิชิต รัตนภาณุ ต้องคดีเดียวกันกับผม (ฆ่านายเตียงกับพวก) แต่ท่านเข้ามอบตัวทีหลังผม เพราะมัวไปคุมแบตมินตันทีมชาติไปแข่งขันต่างประเทศ  จะเป็นประเทศใดก็จำไม่ได้เสียแล้ว ขนาดคุมทีมชาติแสดงว่าท่านเชี่ยวชาญเอตทัคคะในเชิงแบตมินตันขนาดไหนอย่าให้ผมเซดเลย ลูกทีมของท่านตอนนั้นจำได้แม่นยำคนหนึ่งคือ คุณเจริญ วรรธนะสิน ตอนนี้ใครๆเรียกอาจารย์เจริญกันทั้งนั้น และตอนนี้ท่านดังกว่าตอนที่เล่นแบตมินตันเสียอีก คือ ดังเพราะลูกชายเป็นนักร้องดังระเบิด ที่ใช้ชื่อ เจ.เจเจตริน นี่แหละ

            ผมไม่ค่อยได้เล่นแบตมินตันมาก่อน เจ้านายผมจัดหาแร็กเก็ตและลูกขนไก่มาให้เล่นเสร็จเรียบร้อย เป็นการออกเหงื่อ ออกกำลังแก้กลุ้มไปวันหนึ่งๆเล่นไปๆ ความที่ผมไม่ประสีประสาในเชิงเล่น เจ้านายเขาเลยให้สมญานามผมเลียนนักแบตมินตันชื่อดังของเนเธอแลนด์ขณะนั้น คือ "เออร์แบนด์คอร์ป" ชื่อที่เขาตั้งให้ผมที่เลียนแบบ "เออร์แบนด์คอร์ป" คือ "เออร์แลนด์คุก" ก็เข้าทีดี

            หลังจากการออกเหงื่อในตอนเช้าแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเช้า ต่างคนต่างหากินกันและแบ่งปันกันบ้างตามควรแก่การอยู่ร่วมกัน ส่วนมากเป็นอาหารส่งมาจากข้างนอกทุกมื้อ  ไม่ใช่ในคุกไม่มีข้าวกิน มีน่ะมี แต่ภาษาจีนเขาว่า "เจี๊ยะบ่อโละ" ผมเคยไปดูที่หุงข้าวต้มแกงในคุกหรือที่เรียกว่า "โรงครัว" วันหนึ่งเห็นพวกทำครัวนั่งขัดสมาธิหั่นผักบุ้งที่จะแกงอยู่ปากกระที่จะใช้ต้มแกง หั่นแล้วใช้ตีน (เท้า) ข้างหนึ่งดีดกวาดผักบุ้งลงกระทะหน้าตาเฉยเลย ผมเห็นแล้วกินไม่ลงเพราะเหตุนี้ นอกเหนือไปจากแกงต้มผักที่บางทีหาเนื้อสัตว์สักชิ้นในถ้วยหนึ่งยังไม่ค่อยจะได้ ทั้งๆที่บอกทนโท่ว่าแกงเนื้อสัตว์ ไม่ใช่ผักเฉยๆ โดยปกติอันเป็นเหตุที่ไม่น่ากินอยู่แล้ว แต่ยังไงๆผู้ต้องขังอื่นๆ ก็กล้ำกลืนกินกันได้ อาจจะเพราะความจำเป็นบังคับให้กินมากกว่า

            ผู้ต้องขังว่ากันว่า เนื้อสัตว์ที่มีอยู่ในรายการเลี้ยงผู้ต้องขังนั้น ความจริงมีปริมาณก่อนที่จะเข้ามาในคุกเพียงพออยู่ แต่บังเอิญหายไประหว่างทางบ้าง ถูกตัดตอนเอาไปกินกันบ้าง จึงเหลือถึงผู้ต้องขังจริงๆแค่เศษๆ เรื่องกินๆนี่ ไม่ว่าหน่วยงานไหนก็มีกันทั้งนั้นแหละ แล้วในคุกจะไม่ให้มีการกินกันได้อย่างไรผมก็ฟังๆ เขาว่าไปอย่างนั้น ไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเองจึงไม่บังอาจยืนยัน

            ในจำนวนพวกเรา (ขัง๗) แทบจะไม่มีใครกินกับข้าวฟรีของคุก แต่ก็สนใจเฉพาะเรื่องข้าวอยู่ คือ เอาแต่ข้าว กับข้าวไม่เกี่ยว ที่สนใจก็เพราะเป็นข้าวแดงหรือข้าวซ้อมมือ ที่เขาว่ามีโปรตีนเยอะ ป้องกันเลือดออกตามไรฟันหรืออะไรๆที่มีประโยชน์แก่ร่างกายมากมายก่ายกอง หากินที่อื่นยาก ก็มากินเอาในคุกนี่แหละ

            สำหรับผมทั้งข้าวและกับข้าว ผูกปิ่นโตจากผู้คุมนี่เอง สะดวกและประหยัดกว่าที่จะให้ทางบ้านจัดส่งเข้ามาในคุก พรรคพวกคนอื่นๆในขังเดียวกันส่วนมากก็ผูกปิ่นโตเช่นว่านั้นโอกาสที่จะได้ร่วมวงกัน มีอะไรก็แบ่งกันกินก็ในมื้อเย็นก่อนหกโมง สนุกสนานกันตามอัตภาพ ทั้งมีน้ำพรรค์อย่างว่ากินกันเกือบจะเป็นประจำ (กินแบบออนเดอะร็อค โซดงโซดาไม่ต้องใช้เพราะหายาก) โดยเฉพาะเหล้าแม่โขง ส่วนเหล้าฝรั่งก็มีบ้างเป็นบางโอกาส ที่กินเหล้ากันนี้ เป็นการแอบกิน เพราะผิดระเบียบคุกทั้งการดื่มและการนำเข้ามา

            ทำไม ทั้งๆที่เป็นของต้องห้ามแต่พวกผมมีกินกัน ก็เพราะพวกผมมีวิธีการนำเข้า อย่างเหล้าแม่โขงเข้ามาครั้งหนึ่งเป็นลังๆ ยี่ห้อฝรั่งปนมาบ้างครั้งละขวดสองขวด เส้นทางขนส่งคือทางอากาศไม่ใช่ทางเครื่องบินหรือ ฮ.หรอกครับ แต่เป็นการทิ้ง(ร่ม) ทางป้อมยามตามที่กล่าวมาตอนต้นแล้วว่า มีป้อมยามตำรวจอยู่มุมกำแพงด้านร้านนายเหมือน อาศัยที่เป็นตำรวจเก่า ตำรวจป้อมยามก็ยินดีเสี่ยงช่วยเหลือรับของจากภายนอกมาแล้วก็จัดทิ้งร่มให้ในตอนเช้าเมื่อเปิดห้องขัง ตกลงซิกแนลกันแล้ว ฝ่ายภาคพื้นดินก็เตรียมผ้าห่มนอนหรือผ้าผวยจับผ้ากันไว้คนละมุมรอรับใกล้ๆป้อม ตำรวจที่ป้อมก็ทิ้งหีบเหล้าลงมาบนผ้าผวย ก็เท่านั้น แต่บางครั้งการรับทางภาคพื้นดินผิดพลาด เหล้าฝรั่งที่ทิ้งลงมาเป็นพิเศษหลุดจากผ้าผวยและกระทบพื้นซีเมนต์แตกกระจาย เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง อย่างนี้ก็เคยมี

            เหล้าที่ได้มาแต่ละครั้ง จะซุกซ่อนเป็นสต็อคได้ที่ไหน ไม่ยากเลย ทิ้งไว้ในบ่อน้ำบริเวณขังนั่นแหละปลอดภัยดี เมื่อต้องการก็งมขึ้นมา การกินเหล้าในคุกมันลำบากลำบนอย่างนี้ แต่ก็ไม่พ้นความพยายามซึ่งมีอยู่ที่ไหนก็สำเร็จที่นั่น เมื่อเราหามากินเองได้แล้วเรื่องอะไรที่จะกินเหล้าแม่โขงของผู้คุมที่ผ่านเข้าทางประตูหน้า แล้วมาขายเอากำไรขูดเลือดซิบๆ (แล้วเอาทิงเจอร์ทาด้วย) ถึงขวดละ ๕๐ บาท ในเมื่อตอนนั้นข้างนอกขายแค่ขวดละ ๑๘ บาทเท่านั้น เป็นธรรมดาสมดังคำพังเพยที่ว่า ของแพงต้องของหน้าคุก แต่นี่ในคุกมันต้องแพงกว่าหน้าคุกวันยังค่ำ

            ของห้ามอีกอย่างหนึ่งสำหรับคุก คือ หนังสือพิมพ์ถูกห้ามนำเข้าในคุกเด็ดขาด ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอันใดที่จำเป็นต้องปิดหูปิดตาผู้ต้องขัง ส่วนหนังสืออื่นๆหรือจะเป็นจดหมายก็เช่นกันห้ามนำเข้าและนำออกด้วย แต่ยังดีที่มีข้อแม้ว่าจะต้องผ่านการตรวจเซ็นเซอร์ของเจ้าพนักงานก่อนจึงจะนำผ่านเข้าออกได้ ซึ่งส่วนมากเจ้าพนักงานตรวจแล้วอนุญาตให้ผ่านไม่มีปัญหา

            ก็อย่างว่า สิ่งใดที่เขาห้ามความต้องการสิ่งนั้นก็มีเพิ่มขึ้น ยิ่งห้ามก็เหมือนยุให้ยิ่งอยาก ผมมีหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ อ่านและแบ่งปันกับอ่านตลอดรายการ วิธีการนำหนังสือพิมพ์เข้า เป็นเรื่องปกติต้องจ่ายค่านำเข้าตามระเบียบ ผู้นำเข้ามาให้ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ผู้คุมธรรมดานี่แหละ แต่เป็นผู้หญิง กลวิธีนำเข้าก็ต้องซุกซ่อนผ่านด่านประตูเข้ามา ขืนถือโด่เด่เข้าแม้จะเป็นผู้คุมก็ต้องมีความผิด ผู้คุมก็กลัวความผิดเหมือนกัน หรือไม่แน่นา อาจจะกลัวถูกผู้คุมด้วยกันขอแบ่งเปอร์เซ็นต์นำเข้าก้ไม่ทราบได้ ผู้คุมหญิงที่ว่านี้แกมีกลวิธีซุกซ่อนหนังสือพิมพ์แบบพิสดาร เชื่อว่าไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน โดยอาศัยที่คุณเธอรูปร่างใหญ่โตอ้วนตุ๊ต๊ะ ซึ่งแน่ละนมต้มย่อมใหญ่ยานเท้งเต้ง ก็ได้ใช้ประโยชน์ความใหญ่ยานซุกหนังสือทั้งปึกไว้ใต้ฐานนมแล้วเอานมยานๆ ทับไว้ สบายบื๋อทั้งรายวันรายสัปดาห์ นับสิบฉบับยังไหวด้วยประการฉะนี้

            พูดถึงการนำเอกสารผ่านเข้าออกประตูใหญ่ ทำให้นึกถึงเพื่อนรักผมคนหนึ่งซึ่งเข้าไปอยู่คอยผมที่ขัง ๗ เพื่อนคนนี้เป็นนักเขียนชั้นดี แม้ว่าจะเข้าไปอยู่ในวัง (คุก) ด้วยข้อหาที่ถูกกลั่นแกล้งโดยไม่เป็นธรรม ก็ยังประกอบธุรกิจเขียนหนังสืออยู่ โดยส่งข้อเขียนซุกออกไปในแฟ้มเอกสารของนายตำรวจรุ่นพี่ผมซึ่งต้องคดีฆ่า นายอารีย์ลีวีระ และต้องออกไปทำธุรกิจ (สู้คดี) ที่ศาลอาญาเป็นประจำทุกอาทิตย์หรืออาทิตย์ละสองครั้งเป็นปกติธุระ แล้วนัดหมายกับผู้มารับข้อเขียนซึ่งฝากไปศาลอาญา  บอกเสียเลยในที่นี้ก็ได้ว่า นักเขียนผู้นั้น คือ "สุวัฒน์ วรดิลก" เจ้าของนามปากกา "รพีพร"

            ส่วนใหญ่ "สุวัฒน์ วรดิลก" เขียนและฝากส่งออกไปในขณะนั้น เป็นบทละคร ทีวี ตอนนั้น (พ.ศ.๒๕๐๑) มีทีวีเพียงช่องเดียว คือ ช่องสี่ (บริษัทไทยโทรทัศน์ฯ) ออกอากาศที่บางขุนพรหม สถานที่ที่เป็นธนาคารชาติปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ช่องสี่ก็คือช่องเก้า ผมมีส่วนช่วยคุณสุวัฒน์ฯ โดยผมเคยออกแบบฉากละครทีวีที่คุณสุวัฒน์ฯ เขียนลายเรื่องอยู่ เพราะคุณสุวัฒน์เชื่อมือผมว่ามีหัวศิลปวาดภาพอยู่บ้าง คงจะออกแบบฉากได้ แต่ที่ออกแบบฉากนี้อย่าคิดว่าได้เงิน เขาให้ออกแบบก็ดีใจในผลงานถมเถไปแล้ว จำได้ว่ามีละครเรื่องจีนๆ ชื่อ "จอมภพมฤตยู" ผมก็เป็นผู้ออกแบบฉาก แต่ไม่ได้ดูทีวีเรื่องนั้น จึงไม่อาจรู้ว่า ฉากเขาทำตามแบบที่ผมออกให้หรือเปล่าหรือถ้าทำตามที่ออกแบบไปฉากออกมาจะใช้ได้หรือเปล่า

            โอกาสที่พวกผมจะได้ดูทีวีมีสัปดาห์ละครั้ง หมุนเวียนกันไปตามขังต่างๆ เมื่อถึงรอบขัง ๗ จะได้ดู พนักงานเรือนจำจะยกทีวีมาตั้งให้ดูที่ระเบียงเชิงบันไดด้านหน้าที่จะเข้าห้องขังซอยอันเป็นที่พักผ่อนรวม หรืออาจเรียกได้ว่าที่ตรงนั้นคือห้องรับแขกของขัง ๗ ก็ควรจะได้ คืนไหนได้ดูทีวีก็สบายหน่อย ไม่ต้องเข้ากุฏินอนแต่หัวค่ำ  ทีวีปิดรายการจึงจะปิดหางปลาปิดอิสรภาพบางส่วน รายการทีวีในคืนที่ได้ดูจะดีไม่ดีเป็นโปรแกรมที่ต้องการดูหรือไม่ เป็นการเสี่ยงดวงก็ต้องจำใจดู คนคุกเลือกไม่ได้นี่ครับ



           


ตีพิมพ์ใน ต่วย' ตูน ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ปักษ์หลัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น