++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

กระบวนการหาเมียเมื่อแก่

"คนเสฉวน"
            พลตรียุทธนา รูปขจร ได้เขียนเล่าถึงอาการของคนที่มีอายุย่างเข้าปีที่ ๖๖ อย่างท่านว่ามีอาการรวม ๑๔ อย่าง (ต่วย' ตูนปักษ์แรก เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๖) แต่อาการที่สำคัญมีรวม ๓ อย่างด้วยกัน

            ๑.มีใครมาบอกว่ายาดีอะไรเป็นต้องกินไปเสียหมด ทั้งๆที่ยานั้นแสนที่จะขม
            ๒. เห็นผู้หญิงรู้สึกว่ามันสวยไปเสียหมด และ
            ๓. เวลาคุยกับใครอดที่จะนำความหลังไปเล่าให้เขาฟังเสียไม่ได้

            ที่ว่าเป็นอาการสำคัญเพราะเป็นอาการที่พ้องกับคำกล่าวถึงอาการของคนแก่ที่ว่า "ชอบของขม ชอบชมเด็กสาว ชอบเล่าความหลัง" เดี๊ยะเลย

            แต่ที่อ่านแล้วใจคอไม่ดี คือ ท่านพูดถึงเรื่องมรณะสติ โดยบอกว่า คิดว่าที่อยู่มาถึงขณะนี้ น่าจะเพียงพอแล้ว อย่าให้คนอื่นต้องเดือดร้อนกว่านี้เลย ยังไงก็ขอให้ไปอย่างสบายๆ อย่าให้คนข้างเคียงเดือดร้อนในการรักษาพยาบาลเลย

            ผมเลยอยากขออนุญาตให้กำลังใจท่านว่า อายุ ๖๖ ปีนั้น เพิ่งเริ่มแก่ (ย้ำ! เพิ่งเริ่มเท่านั้นนะครับ) ยังมีเวลาชื่นชมสิ่งสวยๆงามๆ เขียวๆ แดงๆ ไปอีกนานครับ คนอายุเท่านี้ หรือแก่กว่านี้อีกจำนวนมากมายยังรู้สึกรื่นรมย์ในการมีชีวิตอยู่ และมีหลายๆคนริอ่านมีเมียเด็กซะด้วย สำหรับท่านดูท่าจะไม่ใช่คนเจ้าชู้ ก็ขอให้อยู่เขียนเล่าความหลังอันสนุกสนานให้แฟนานุแฟน ต่วย'ตูน ที่มีเป็นจำนวนนับแสนได้อ่านกันต่อไปเถิดครับ

            คนเรานี่ก็แปลก ตอนเป็นเด็กรุ่นกระทง นมเพิ่งแตกพาน ก็ดันไปชอบหนุ่มห้าว สาวใหญ่ แต่พอแก่ตัวลงกลับมีรสนิยมชอบเด็กๆ หาความสมดุลย์ยาก ! ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดสำนวนเรียกคนแก่ที่ชอบเด็กสาวว่า "โคเฒ่า" หรือ "โคแก่" แต่จะเสียดแทงหัวใจเหลือเกินถ้าถูกเรียกขานว่า "เฒ่าตัณหากลับ" เพราะที่จริงไม่ใช่สักกะหน่อย เพียงแต่เรา "เอ็นดูเด็ก" ก็เท่านั้นเอง  จริงไม๊ครับท่านผู้สูงวัยทั้งหลาย

            ลุงแม้น ผู้เฒ่าวัยเกือบเจ็ดสิบแถวบ้านผม เมื่อภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของแกเสียไปเมื่อแกอายุได้หกสิบปี แกก็ทนอยู่อย่างทุกข์ทรมานอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ด้วยความรู้สึกที่ยังอาลัยอาวรณ์ถึงคู่ทุกข์คู่ยากที่พลันมาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน แต่เมื่อต้องทนนอนหนาวเปล่าเปลี่ยวมาหลายเหมันต์เข้าก็ชักจะทนไม่ไหว ถึงฤดูคิมหันต์ก็ขาดคนปรนนิบัติพัดวี ลูกหลานไหนเลยจะมาเข้าใจในหัวจิตหัวใจเมีย อย่ากระนั้นเลย เมื่อทนไม่ไหวก็อย่าทนมันเลย (ว่าเข้านั่น! ) หาผู้หญิงวัยเอ๊าะๆ ชีๆ แปะแป๊ะมาเป็นคู่ใจคอยแก้ไขปัญหาในทุกข์ฤดูเห็นจะดีเป็นแน่แท้ (ภาษาประกิตเขาว่า woman for all seasons) ว่าแล้วเฒ่าแม้นก็เริ่มเปรยกับลูกๆว่าเหงา ลูกๆก็พยักหน้าหงึกหงักทำท่าเข้าใจ แล้วก็เพียรผลัดเวรกันมาเยี่ยมเยียน ปรนนิบัติเอาอกเอาใจอยู่ไม่ขาด เมื่อเห็นท่าไม่ได้การ  แกก็เริ่มแผนที่สอง คราวนี้แกเล่นเกมหนักเลยทีเดียวโดยเปรยกับลูกชายคนโตว่า ระยับสาวแก่วัยใกล้สี่สิบซึ่งมีนิวาสถานอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้าน ยังเป็นสาวโสด ถ้าได้มาเป็นคู่ดูแลตัวแกก็คงจะมีความสุข ลูกหลานก็จะได้ไม่ต้องเทียวกันมาดูแลแกอย่างทุกวันนี้ ลูกได้ฟังอยู่ข้างจะตกใจ ได้แต่บอกพ่อว่าขอไปปรึกษาน้องๆดูก่อน ถ้าเห็นพ้องกันก็จะได้ไปติดต่อทาบทามสาวเจ้าให้ต่อไป

            หลังจากนั้นลุงแม้นก็ค่อยสบายใจ ครึ้มในหัวอกว่าจะได้เมียมากอดเล่นยามแก่เป็นแน่แท้แต่คอยไปก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า แกก็เดินแผนสามโดยคอยเซ้าซี้ลูกๆว่าเรื่องไปถึงไหน จนลูกๆทนไม่ไหวตกลงส่งพี่ชายไปทาบทามทางสาวว่าจะสมัครใจมาเป็นแม่เลี้ยงของเขาไหม ผลปรากฎว่าสาวระยับตอบปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ยิ่งกว่านั้นยามปะหน้าลุงแม้นสาวเจ้าก็แกล้งเปรยกับตัวเองออกมาให้ดังพอที่ลุงแม้นจะได้ยินว่า แก่จวนจะเข้าโลงอยู่แล้ว ให้รู้จักลดกิเลสตัณหาลงบ้าง เด็กๆจะได้นับถือ เฒ่าแม้นได้ยินแล้วท้อใจนัก รำพึงว่า ไอ้เราใช่ว่าจะตัณหากลับซักกะหน่อย เพียงแต่เอ็นดูเด็กเห็นว่าอยู่มาจนจะครบสี่สิบแล้วยังหาคู่ไม่ได้ ก็เลยคิดจะทำบุญกะเด็ก แต่เมื่อเด็กมันไม่เข้าใจก็ช่างมันปะไร อยู่คนเดียวก็ได้ (วะ) หลังจากนั้นไม่นานแกก็ล้มเจ็บลง รักษาตัวได้ไม่นานแกก็ลาจากโลกบูดๆ เบี้ยวๆใบนี้ไปอย่างสุดแสนจะเปล่าเปลี่ยว เฮ้อ! น่าสงสาร

            แต่กรณีของเจ๊เจียวไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องต่างกันราวกลับหัวกลับหาง แต่ผลลัพธ์ที่เกิดเหมือนกัน คือ พระเอกตายตอนจบ (คนแก่ซวยอีกแล้ว) เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ

            เจ๊เจียวเป็นสาวลูกจีนผิวขาวสะอาด แต่เนื่องจากต้องอยู่กะเหย้าเฝ้ากะเรือน จึงไม่ค่อยมีโอกาสไปพบปะผู้คน และไม่มีใครมาทาบทามสู่ขอก็เลยต้องอยู่เป็นโสดมาจนอายุสี่สิบปี  (ตอนเกิดเรื่องนี้) พี่สาวแกที่มีร้านขายผ้าเกิดขาดคนช่วยเลยให้แกไปช่วยขาย ก็พลันมีอาแปะพ่อม่ายวัยหกสิบสองมาซื้อผ้าแล้วเกิดติดอกติดใจ  เทียวไปเทียวมาแวะเวียนไม่ขาดระยะ เจ๊เจียวในตอนแรกก็เรียกแกว่าอาแปะๆ แต่ต่อมาพระเอกไม่ยอมให้เรียกว่า "อาแปะ" ซะแล้วโดยบอกว่า "อั๊วยังไม่แก่นา ต้องเรียกว่าอาเฮียซี" เจ๊เจียวก็ยินยอมด้วยความมีอัธยาศัย ซึ่งยังความยินดีให้แก่โคเฒ่า เอ๊ย! อาแปะเป็นอย่างมาก เรื่องจึงเลยมาถึงตรงที่อาแปะให้ลูกชายมาติดต่อกับทางบ้านสาว ขอให้เป็นเพื่อนคู่ใจของเตี่ย สาวเจ้าก็ปรึกษากับแม่และพี่สาวแล้วก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะน่าโอเค เพราะอาแปะก็เป็นคนดี ยังแข็งแรงอยู่ และที่สำคัญคือฐานะดียอมสู้ค่าสินสอดอย่างไม่เกี่ยงงอนเลยแม้แต่น้อย

            เรื่องน่าจะจบลงอย่างแฮปปี้ เอ็น (กรุดุ้งกระ) ดิ้ง เหมือนนิยายน้ำเน่า (ดี) ทั้งหลาย ถ้าสาวไม่เซ้าซี้ให้ผัวแก่ไปเดินออกกำลังที่สวนสาธารณะข้างบ้านทุกเช้าเย็น แต่จะไปโทษสาวฝ่ายเดียวก้ไม่ถูก แกก็คงอยากให้ผัวมีร่างกายแข็งแรง เรื่องเศร้าเกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง ในขณะที่อาแปะออกกำลังกายเสร็จแล้วก็หาที่นั่งพัก พอแกก้มตัวลงจะนั่งก็เกิดเป็นลมคาม้านั่ง เมียสาวตกใจร้องเรียกให้คนช่วยเสียงหลง แต่กว่าจะนำพระเอกส่งโรงพยาบาลได้ก็สายเสียแล้ว แกตายโดยไม่มีโอกาสสั่งเสียร่าเมียสาวแม้แต่คำเดียว

                เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์สำหรับ "โคแก่" ที่กำลังจะมี "หญ้าอ่อน" ไว้เคี้ยวว่า จะหักโหมอย่างไรก็ต้องระวังสุขภาพตัวเองไว้บ้าง การมีหญ้าอ่อนให้เคี้ยวไม่ได้เปลี่ยนแปลงร่างกายของเราให้กลายเป็นหนุ่มได้เหมือนจิตใจหรอกครับ พับผ่า!!

            เอาเรื่องกระบวนการหาเมียเมื่อแก่ เอ๊ย!! เมื่อแก่ที่สุดเศร้ามาเล่าสองเรื่องแล้ว คราวนี้มาดูเรื่องรักของคนแก่ที่สุดแสนจะหวานชื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นจะเป็นบาปทางใจโทษฐานทำให้คนแก่อ่านแล้วไม่สุขใจ มีโทษสมควรตายหมื่นครั้ง

                ผมคิดว่าแทบทุกคนต้องรู้จักป้าล้อต็อกในฐานะที่เป็นดาวตลกที่ค้างฟ้าบันเทิงเมืองไทยมาหลายทศวรรษเต็มที และคนที่รู้จักป๋าต๊อกก็คงเห็นพ้องต้องกันว่าหน้าตาของป๋านั้นไม่หล่อเหลาดูตลกที่สุด เคยมีพิธีกรเกมโชว์รายการหนึ่งเชิญผู้ชมในห้องส่งให้มาจ้องหน้าป๋าต็อก ถ้าจ้องได้เกินห้านาทีโดยไม่หัวเราะจะได้รับรางวัล ปรากฎว่าผู้ชมท่านนั้นจ้องหน้าป๋าได้ไม่เกินนาทีก็หัวเราะก๊าก โถ! ก็หน้าป๋าดูแล้วตลกจนทนไม่ไหวนี่

            เห็นหน้าตาอย่างนี้อย่าไปดูถูกเชียว เพราะประวัติของป๋าต็อกในเรื่องผู้หญิงนั้นเหลือร้ายจริงๆ เริ่มจากการมีภรรยาคนแรกเป็นนางเอกละครที่มีชื่อเสียงโด่งดัง คือ คุณแม่สมจิตต์ฯ และต่อๆ มา ป๋าก็มีเมียอีกหลายคน (มีคนพูดกันว่าถ้าสาวใดถูกป๋าจับหัวเป็นต้องเสร็จแกทุกคน ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า) แต่กรณีที่ต้องยกหัวแม่มือให้ทั้งสองอันคือ กรณีล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์ และทางจอทีวี นั่นคือ การที่แกมีลูกชายที่เกิดจากเมียสาวคนล่าสุดในขณะที่แกมีอายุ ๗๘ ปี ! และที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ เมียสาวคนล่าสุดให้สัมภาษณ์ว่ารักป๋ามาก  เคยบอกป๋าว่าขอให้ป๋าหยุดเรื่องผู้หญิงไว้ที่ตัวเธอ โห! อะไรจะยอดเยี่ยมขนาดน้าน อย่างนี้ต้องยกให้เป็น "ซุปเปอร์โคเฒ่า" ที่ "โคถึก" ทำอะไรไม่ได้จริงๆ หรือใครจะเถียง!

            แต่กระบวนการหาเมียเมื่อแก่ที่สนุกสนานที่สุดเห็นจะเป็นกรณีของ เจ้าคุณปัจจนึกฯ แห่งหัสนิยายเอกอัครอภิบรมมหาอมตะนิรันดร์กาลสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน (ที่ถูกควรเรียกว่า สี่เกลอ มิฉะนั้นคนที่ชอบ ดร.ดิเรก ซึ่งก็เป็นตัวเอกอีกตัวหนึ่งจะน้อยใจเอาได้)

            พระยาปัจจนึกพินาศ ตามท้องเรื่องเป็นข้าราชการบำนาญ ได้รับบำนาญเดือนละ ๘๐๐ บาท (เป็นจำนวนเงินมหาศาลสำหรับปี ๒๔๘๐) ท่านเป็นคนศีรษะล้านเลี่ยนเตียนโล่งสุดลูกหูลูกตา (ของแมลงวันที่บังเอิญบินหลงมาเกาะบนศีรษะท่าน) และอ้วนพุงพลุ้ยเข้าตำรา  เป็นพ่อม่ายเมียตาย อยู่กับลูกสาวแสนสวยสองคนที่บ้านถนนรองเมือง ซอยเท่าไรไม่แจ้ง เนื่องจากต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ในขณะเดียวกัน ท่านเลยเป็นคนที่หวงลูกสาวราวกับจงอางหวงไข่ คนที่เคยอ่านสามเกลอตอนหวงลูกสาวจะจำได้ดีว่าท่านหวงลูกสาวขนาดไหน แต่ที่สนุกกว่าเห็นจะเป็นตอนที่ท่านริอ่านจะมีเมีย ไม่ว่าจะเป็นตอนชิงนาง และศึกม่ายสาวที่ เจ้าคุณปัจจนึกฯ เจ้าคุณวิจิตรฯ (บิดานายจอมทะเล้นนิกร) และ ลุงเชย (มหาเศรษฐีปากน้ำโพ จอมขี้เหนียวพี่ชาย เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ)  แย่งกันจีบ คุณนายลิ้นจี่ ม่ายสาวใหญ่มารดาของ นวลละออ หรือตอนแม่ครูสาวที่เจ้าคุณปัจจนึกฯ ริไปจีบแม่ม่ายผัวตายที่อ้วนราวกับกระปุกตังฉ่ายซึ่งมีลูกสาวเปิดโรงเรียนสอนหนังสือเด็กที่บ้าน ซึ่งในท้ายที่สุดเจ้าคุณถึงกับถูกแม่ม่าย ถีบกระเด็นออกมาจากบ้าน ตอนนี้ผมอ่านหลายครั้งเพราะสนุกสนานมาก โดยเฉพาะตอนที่ท่านเจ้าคุณต่อรองราคาไปป์และตู้กับเจ็กที่เวิ้งนาครเขษม และตอนที่สามเกลอยอมเป็นนักเรียนโค่งเพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าคุณปัจจนึกฯ จีบแม่ม่ายได้อย่างสะดวกโยธิน ถ้าใครอ่านเป็นครั้งแรกแล้วหัวเราะต่ำกว่าสิบครั้งผมยอมให้ถองกบาลเลยเอ้า!

            กระบวนการหาเมียเมื่อแก่ก็เป็นอย่างที่เล่าไปแล้วว่ามีทั้งทุกข์ทั้งสุข ทั้งนี้แล้วแต่บุญแต่กรรมของแต่ละคน ถ้าอยากลองดูก็สุดแท้แต่ใจจะไขว่คว้า แต่สำหรับผมนั้นขอเดินหน้าหาเมียคนแรกให้ได้เสียก่อน เพราะแก่จนป่านนี้ยังหาไม่ได้เลยครับ !@!
ตีพิมพ์ใน ต่วย' ตูน ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ปักษ์หลัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น