++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

คำทำนายนี้ดีกว่า น่าจะใกล้เคียงกะการเมืองใหม่


คำทำนายนี้ดีกว่า น่าจะใกล้เคียงกะการเมืองใหม่อ่ะ


คำทำนายที่เคยมีช้านานนัก
เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยทำนาย

เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง
น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา
เป็นประชาจนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน
ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร
องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส
แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน
เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง
ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา
ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม
สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป
โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว
ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี
เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ
มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน
พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก
เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย
เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช
ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล
จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ
ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม
ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว
ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง
สายน้ำหลั่งกรากวหวาดเสียวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม
หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป
เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น
แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา
ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ...


คืออยากรู้ว่า "นารีขี่ม้าขาว" นี่เพื่อนๆคิดว่าเป็นใครช่วยบอกเราที


เรื่องของปืนไฟกับไทยสมัยโบราณ - ของเก่า เราลืม

ปฏิพัฒน์ พุ่มพงษ์แพทย์

            ผมเคยได้เข้าร่วมในสมาคมสุราบานของพี่ต่วยมาหลายครั้ง เมื่อครั้งยังรับราชการอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆชายแดนไทยกับเขมร ได้คบค้าสมาคมกับพวกตำรวจและทหารทางชายแดนก็มากมายหลายเหล่า  ได้พบได้เห็นปืนแบบสมัยใหม่ๆก็หลายชนิดหลายอย่าง แต่ก็ไม่เคยที่จะได้สนอกสนใจที่จะไปสืบหาความเป็นมาของมันมากมายนัก เพราะมัวแต่วุ่นวายสบายใจอยู่กับหินและสุราเสียมากกว่า เรียกว่ายังไม่มีแรงบันดาลใจในทางนี้เลย ทั้งๆที่อยู่ใกล้ชิดกับมัน

            ต่อมาเมื่ออำนาจฟ้าผ่าจากเจ้านายต้นสังกัดให้ย้ายเข้ามารับราชการที่กรุงศรีอยุธยา ต้องมาศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของชาวโปรตุเกส ฝรั่งยุโรปชาติแรกที่เข้ามามีบทบาทอยู่กับกรุงศรีอยุธยา จากการศึกษาเรื่องราวของชาวโปรตุเกสนี้ทำให้ต้องหันมาศึกษาเรื่องของปืนขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่เพื่อที่จะเอามาใช้ เพราะเรื่องพรรณอย่างนี้ผมไม่ถนัดอยู่แล้ว

            ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ราวแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ฝรั่งชาติโปรตุเกสได้เข้ามาตีเอาเมืองมะละกาซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของพวกแขกมุสลิมได้ และได้ส่งฑูตเข้ามาติดต่อทำสัมพันธไมตรีกับกรุงสยาม เพราะเห็นว่าชาติสยามเป็นชาติใหญ่ชาติหนึ่งในเอเชียและเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญแห่งหนึ้ง สินค้าที่จะนำเข้ามาค้าขายในกรุงสยาม ที่เป็นของแปลกและใหม่ก็คือ "ปืนไฟ" เพราะในสมัยนั้นนับว่าเป็นอาวุธสงครามที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย ไทยเราก็รับสัมพันธไมตรีกับประเทศนี้ด้วยดี เพราะที่รู้ๆแน่ก็คือ ได้เห็นพิษสงของมหาอำนาจชาตินี้แล้ว ในครั้งที่สามารถตีเอาเมืองมะละกาได้ ทั้งๆที่ไทยได้เคยพยายามที่จะไปตีมาแล้ว แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

            เรื่องของการค้า เมื่อเสนอสินค้าให้กับลูกค้าแล้ว ก็ควรจะต้องมีการแนะนำการใช้ให้ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งก็เป็นการประจวบเหมาะ เพราะในช่วงต่อมา สมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช ราว พ.ศ. ๒๐๘๑ พม่าข้าศึกได้มารุกรานเมืองเชียงกรานซึ่งอยู่ทางชายแดนไทยกับพม่า สมเด็จพระชัยราชาธิราช จึงกรีฑาทัพจากพระนครไปรบเพื่อป้องกันหรือแย่งชิงเมืองนั้น ในกองทัพครั้งนั้นได้มีกองทหารอาสาของชาวโปรตุเกส  จำนวน ๑๒๐ คน เข้าร่วมไปในกองทัพด้วย พวกชาวโปรตุเกสได้นำเอาปืนไฟไปเข้าสงครามด้วย จนได้รับชัยชนะและเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์สยาม ถึงขนาดพระราชทานที่ดินให้พวกชาวโปรตุเกสตั้งรกรากทำการค้าขายและเผยแพร่ศาสนาของตัวเองได้อย่างเสรี  ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้รับชาวโปรตุเกสเข้าเป็นทหารไว้รับใช้ในราชการ ในตำแหน่งของทหารองครักษ์ของพระมหากษัตริย์ไทยอีกด้วย

            คำว่า "ปืน" เป็นคำไทยๆ ใช้เรียกอาวุธชนิดหนึ่งที่มีอำนาจ มีแรงกำลังที่จะส่งผลให้ไกลออกไป ไม่ว่าจะเป็นธนูหรือหน้าไม้ก็ตาม ล้วนแล้วแต่เรียกปืนทั้งสิ้น อย่างเช่นรูปพระนารายณ์ทรงปืน ก็ทำเป็นรูปพระนารายณ์ทรงถือศรหรือธนูเป็นอาวุธ หาได้ถือปืนไม่ ส่วนคำว่า "ไฟ" ก็เป็นคำไทยเช่นกัน หมายถึงความร้อนแรงและโชติช่วง เมื่อนำเอาคำสองคำมารวมกันแล้ว ก็แปลว่าอาวุธที่ใช้ส่งไปไกลโดยใช้ไฟเป็นตัวส่ง

            การนำปืนเข้ามาใช้ในราชการครั้งต้นๆ ก็คงจะเป็นปืนเล็ก ซึ่งเป็นปืนประเภทปืนคาบศิลา ที่ใช้หินเหล็กไฟติดอยู่ทางด้านท้ายของลำกล้องปืน เมื่อใส่ดินปืนเข้าไปในลำกล้องโดยใช้เขนง หรือเขาสัตว์เป็นภาชนะในการกรอกดินปืน แล้วก็ใช้ไม้หรือเหล็กยาวๆ กระทุ้งดินปืนให้แน่นก่อนที่จะบรรจุลูกกระสุนเข้าไปในขั้นสุดท้าย  เมื่อเวลาจะยิงก็เหนี่ยวไกปืนที่เชื่อมต่อไปยังสิ่งที่เรียกกันว่านกปืน นกปืนก็จะตีลงไปกระทบกับศิลาหรือหินที่ติดเอาไว้ใกล้ๆกับรูชนวนที่ทางท้ายของลำกล้อง เมื่อนกปืนกระทบกับศิลา ก็เกิดประกายไฟแลบเข้าไปติดกับชนวนและดินปืน ทำให้เกิดแรงปะทุไปผลักกระสุนให้วิ่งออกจากลำกล้องปืนไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ส่วนวิถีกระสุนจะรุนแรงหรือไกลเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับการอัดดินปืนว่าจะแน่นมากน้อยเพียงไร ถ้าอัดได้แน่นมาก วิถีกระสุนก็ออกไปไกล ถ้าอัดดินปืนไม่แน่น วิถีกระสุนก็สั้นลง เอาระยะที่แน่นอนไม่ได้ ทั้งนี้แล้วแต่ความอดทนมากน้อยของผู้ยิง แต่ถึงจะอย่างไรก็ตาม อาวุธชนิดนี้ก็เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาในประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง เพราะสามารถทำร้ายข้าศึกได้อย่างชะงัด ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้การค้าขายปืนไฟในราชอาณาจักรสยามเป็นไปอย่างก้าวหน้าและได้ราคาดี

            หากจะเปรียบเทียบเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์กับปัจจุบัน ก็เหมือนกับประเทศผู้ผลิตสินค้าอาวุธสงครามที่เห็นช่องทางจะจำหน่ายสินค้าของตนให้ได้มากๆ เมื่อได้มองตลาดการค้าแล้ว เห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะประเทศสองประเทศกำลังทำสงครามกันอยู่ ก็จะได้ส่งพ่อค้าเข้าไปติดต่อค้าขายอาวุธให้กับประเทศทั้งสองเข้ามารบราฆ่าฟันกันเองตามความพอใจ ดังนั้น ในสงครามไทยและพม่าในระยะต่อมา จึงปรากฏว่ามีอาสาชาวโปรตุเกสเข้าไปร่วมอยู่ในกองทัพทั้งสองฝ่ายด้วย เพื่อสาธิตสินค้าของตนให้กับลูกค้าทั้งสองประเทศ

            เมื่อปืนไฟเป็นสิ่งจำเป็นที่จะใช้ในราชการสงครามมากยิ่งขึ้น ก็เช่นเดียวกับในสมัยนี้ที่ทางราชการทหารต้องเที่ยวสืบหาอาวุธที่ทันสมัยใหม่ๆ เพื่อนำมาไว้ใช้ป้องกันประเทศ ซึ่งในสมัยนั้นก็คงจะได้สั่งทั้งปืนเล็กปืนใหญ่เข้ามาใช้กันหลายชนิดในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ได้กล่าวถึงเรื่องราวที่น่าสังเกตไว้เกี่ยวกับเรื่องปืนบ้าง ถึงการที่คนเอเซียยังไม่ชำนาญในการใช้ปืน แต่ก้ได้รู้ได้เห็นประสิทธิภาพของมันได้เป็นอย่างดีแล้ว

            ภายหลังจากที่เสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัยในแผ่นดินของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ไปแล้ว พม่าได้ยกกองทัพกลับเข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง ไทยได้เห็นประโยชน์ของปืนใหญ่ ปืนไฟ ปืนเล็ก ว่ามีคุณค่าอย่างมหาศาลในการทำลายล้างข้าศึก จึงคิดทำลายค่ายพม่าด้วยทางลัด โดยอัญเชิญเอาปืนใหญ่ ชื่อ นารายณ์สังหารลงเรือสำเภาหมายจะไปยิงค่ายข้าศึกให้พินาศ แต่เนื่องจากปืนใหญ่เป็นอาวุธหนักและมีคุณค่ามาก เมื่อจะเชิญปืนลงเรือสำเภานั้น เพื่อป้องกันการแย่งชิงจึงได้แต่งกองทัพบกออกรักษาป้องกันสำเภาปืนทั้งสองฝั่งแม่น้ำที่เรือปืนจะผ่านไป จากการตั้งทัพบกป้องกันปืนนี้เอง ทำให้กองสอดแนมของพม่ารู้แกวของกองทัพไทยว่า ดูทีท่าพี่ไทยจะเอาของแพงมาเล่นงานแน่ จึงรีบกลับเข้าไปรายงานราชการทัพให้กับพระเจ้าหงสาวดี แต่ยังไม่ทันที่จะรายงานเสร็จพี่ไทยเราก็ยิงปืนนารายณ์สังหารเข้าไปในค่ายใหญ่ของพม่า กระสุนตกลงไปในค่ายกลิ้งขลุกๆเข้าไปที่หน้าพลับพลาพระที่นั่งของพระเจ้าหงสาวดีๆเองก็ทรงตกพระทัย ให้เก็บเอากระสุนปืนที่กลิ้งขลุกๆมานั้นขึ้นเซ่นสรวงบวงพลี แล้วก็ย้ายค่ายหนีไปอยู่ที่อื่นให้พ้นวิถีกระสุนปืนใหญ่ พอตั้งค่ายใหม่เสร็จสรรพก็ยกทัพเคลื่อนเข้ามาอีก  พี่ไทยเห็นได้ทีว่าปืนนี้มีประสิทธิภาพดีจริงๆก็ให้เอาปืนใหญ่ใส่ลงสำเภาจะไปยิงค่ายพม่าที่ตั้งใหม่อีก แต่คราวนี้ชะรอยว่าจะอัดดินปืนมากไป หรืออย่างไรไม่ทราบปืนถีบเอาท้ายสำเภาจมลง ผลของการยิงครั้งนั้นจึงได้แต่ยิงกิ่งโพธิ์ใหญ่ขนาด ๓ กำเศษ ตกลงใกล้ช้างพระที่นั่งของพระเจ้าหงสาวดีเท่านั้น

            เรื่องของปืนใหญ่ปืนไฟในสมัยแรกๆของไทยนั้นคงยังมีเรื่องเล่ากันอีกมากมาย เพราะในช่วงก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าในปี พ.ศ.๒๑๑๒ นั้น ไทยได้สั่งปืนชนิดต่างๆเข้ามาอีกมากมาย ถึงขนาดตั้งรายล้อมรอบกำแพงพระนครศรีอยุธยาได้ จำนวนปืนต่างๆเหล่านั้นมีปืนอยู่ชนิดหนึ่งที่เรียกกันเป็นภาษาไทยว่า "ปืนบะเหลี่ยมจำรงมณฑกนกสับ" ถ้าจะแปลเป็นภาษาไทยๆก็คงจะไม่ได้ความอะไร ซึ่งผมเชื่อว่าคงจะมีที่มาจากภาษาอื่นๆแน่ ก็เลยลองค้นดู ไปเห็นศัพท์ที่น่าสนใจก็เลยรวมๆมาลองตีความให้คิดกันเล่นๆ อย่างนี้ครับ . . .

            บะเหลี่ยม, บาเรียม มาจากศัพท์ว่า brown bess อ่านว่า บราวเบส แปลว่า ปืนคาบศิลา
            จ่ารง มาจากศัพท์ว่า chariot อ่านว่า แชเรียท แปลว่า รถลาก, รถศึก หรือรถประเภทมีสองล้อ
            มณฑก มาจากศัพท์ว่า breech block อ่านว่า เบรสบล๊อก แปลว่า ส่วนท้ายของปืน และ นกสับ มาจากศัพท์ว่า knock up อ่านว่า น๊อคอัพ แปลว่า กระทบขึ้น หรือดีขึ้น
           
            แน่นอนที่ว่า คนไทยได้รับศัพท์ดุ่นๆของเขามาใช้เรียกเป็นชื่อปืน แล้วก็ใช้สำเนียงแบบไทยๆ เรียกเสียโก้หรูว่า "ปืนบะเหลี่ยมจ่ารงมณฑกนกสับ" ไปเสียเลยทีเดียว ผิดถูกอย่างไรก็ทิ้งไว้ให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาวิจารณ์กันไปองเถอะ แต่ผมน่ะว่าของผมอย่างนี้ล่ะครับ



ที่มา ตีพิมพ์ใน ต่วย' ตูน พ็อคเกตบุคส์
พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๐ ปีที่ ๑๖ เล่มที่ ๔

เพราะหัวใจที่อยากจะช่วย พันธมิตร

ผมมาพันธมิตร เพราะเรื่อง 3 เรือง คือ
หนึ่ง เพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์
สอง เพื่อดินแดน คือ เรื่องของปราสาท พระวิหาร และอีกหลายปราสาทที่เขมร กำลังได้คืบเอาศอก
สาม เพื่อรักษาความมั่นคงแข็งแรง ของ สถาบันตุลาการ

แต่ ยังมีเวบไซด์ ที่ ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่ตลอดเวลา
แต่ ทั้งปราสาทพระวิหาร และเขาพระวิหาร ก็ยังเป็นของเขมร อยู่จนถึงปัจจุบัน
แต่ สถาบันตุลาการก็ยังมี คนทำลายอยู่ทุกวี่ทุกวัน

แล้วงัยอะครับ เนี่ย เมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ ความคิดเห็นผม คือ
หนึ่ง ต้องกดดัน ทั้งรัฐบาลและ กระทรวง ไอซีที ให้จัดการโดยเร็วที่สุด
ส อง ต้องกดดันทหาร ซึ่งทหารบอกว่า ก็ขึ้นอยู่ก้บรัฐบาล ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ถาม พลเอก อนุพงศ์ ดูซิครับว่า ถ้ามีคนมาข่มขืนลูกเขา เขาจะพูดได้ไม๊ว่า ต้องไปถามเมียผม เพราะเรื่องในบ้านผมให้เมียเป็นผู้ดูแล
สาม ต้องกดดัน ทั้งตำรวจ อัยการให้ทำงานให้เต็มที่สักที ไม่ใช่ไปยืนด่าๆๆ แล้วก็กลับ
ค รับ นี่คือ สิ่งที่ผมอยากให้พันธมิตร ไม่ว่าทั้งแกนนำ หรือประชาชน ทุกคนที่เข้ามาอยู่ ณ มัฆวาน และ ทำเนียบรัฐบาล ต้องดำเนินการทุกวัน และตลอดเวลา
ไม่ใช่เพียงแค่ เข้ามาเพื่อ
ฟังไฮปาร์ค
ฟังเพลง
มีอาหารอร่อย ๆ ที่ได้รับจากการบริจาคกินสามมื้อ
มีที่พักอาศัย
มีเครืองซักผ้า
มีตู้เก็บของ
มีที่อยู่อาศัย
มีเต้นใหญ่ๆ สวยๆ
มีการ์ดให้การคุ้มครองดูแล
เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัจจัยในการ เปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวไปสู่ การเมืองใหม่
อาจจะบอกได้ว่า แน่นอน เมื่อการประท้วงยืดเยื้อ ก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ ครับ ก็ถูกส่วนหนี่ง
แต่อย่าลืมว่า เราจะอยู่อย่างนี้ต่อไปอีกไม่ได้อีกแล้ว
จะยืดเยื้อ ก็ยืดเยี้อ แต่ต้องยืดเยื้อ เพีอรุกไปข้างหน้า
ไม่ใช่ เค้าผ่านงบประมาณประจำปี เราก็ทำอะไรไม่ได้
เขาแต่งตั้งนายทหาร ข้าราชการ เราก็ทำอะไม่ได้
เขาเปลี่ยนตัวนายก จาก นอมินี มาเป็น น้องเขย เราก็ทำอะไรไม่ได้
แล้ว นี่ถ้าเค้าแก้รัฐธรรมนูญ แล้วเอาพวก นปก มาอยู่หน้ารัฐสภาเราจะทำอะไรได้บ้างหละครับ

ด้วยความรักและห่วงใยอย่างสุดหัวใจ

ร้อยกว่าวันที่อยู่มา ผมขาดเรียนไป สี่วัน
สินค้าทุกชนิด ที่ ASTV ทำออกขายผมซื้อทุกอย่าง อย่างหละหลายๆ ชิ้น
ข ่าวสาร ทั้งของ manager และ ASTV ผมก็รับทั้งสองอย่างทั้งที่เหมือนกันทุกประการ ก็เลยกลายเป็นว่า ข่าวหนึ่งข่าวผมได้รับซ้ำกัน แต่ก็เพี่อ ASTV ก็ ok ครับยินดี
บริจาคเงินก็หลายครั้งหลายหนจนนับไม่ได้ว่ากี่ครั้งกี่หน
เมื่อมีข่าวว่า นปก จะเข้า ผมก็มาเช่าโรงแรมนอนรอ ทั้งๆ ที่บ้านผมก็อยู่ ใน กทม
แต่ก็เพราะหัวใจที่อยากจะช่วย ทั้งๆ ที่ผม ก็ไม่ใช่ การ์ด
ฯลฯ

ครับ ทั้งหมด นี้ ก็จากหัวใจ
ก็หวังว่าคงได้รับการพิจารณาให้ลงให้นะครับ

ส้มตุ้ย

การเมืองใหม่ เปรียบเสมือนใบไม้อ่อนของต้นไม้

    การเมืองใหม่ เปรียบเสมือนใบไม้อ่อนของต้นไม้ที่กำลังออกใบอ่อนมากมายด้วยความพยายามต่อสู ้เพื่อให้ต้นไม้หายใจได้และสังเคราะห์แสงให้ต้นไม้ต้นนี้อีกครั้ง พร้อมที่จะรับแสงแดดและเป็นโรงงานให้ต้นไม้ต้นนี้มีอายุยืนนานต่อไป หลังจากโดนเขาตอน ทาบกิ่ง ต่อกิ่ง หรือตัดกิ่งก้าน เอาไป แต่เมื่อเขาเอาไปปลูกโดยไม่มีรากแก้ว แต่สุดท้ายก็จะตายเพราะไม่มีรากแก้ว ด้วยความใจร้อนทาบกิ่ง ตอน ตัดไปปลูก มันนึกว่าจะหอมหวานเช่นต้นไม้ใหญ่ แต่มันไม่ยืนต้นทนแรงลม หรือทนโรคได้ แต่ต้นไม่ใหญ่ต้นนี้ ก็โดน ทาบ ตัด ตอน แทบตายยืนต้นเหมือนกัน แต่ยังดี ยังมีความแข็งแรงจนมีใบอ่อนออกมาให้เห็น ความหวังของไม้ต้นนี้จึงสร้างความหวังให้เพื่อนต้นไม้อื่นอยู่ร่วมเป็นหลักใ ห้ป่าผืนนี้ต่อไป หากใบไม้เล็กๆเหล่านี้ไม่พยายามออกมารับแสง อีกไม่นานก็จะยืนตาย แล้วปล่อยให้พวกกิ่งตอน กิ่งทาบ กิ่งตัด เจริญเติบโตอย่างนั้นหรือ อีกไม่นานเขาก็ตายเพราะไม่รากแก้ว และไม่มีความคิดที่จะปลูกอย่างเริ่มต้น เพราะเขากลัวเวลาที่มีอยู่จะน้อยเกินไป ที่เขาจะได้ชื่นชม เพราะเขารู้อยู่ว่า มันไม่มีทางเจริญเติบโตอย่างเดิมเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นกำเนิดได้หรอก เพราะมันไม่มีรากแก้ว ดังนั้น ต้นไม้ใหญ่ยืนอยู่ได้ ด้วยใบไม้เล็กๆเหล่านี้และนับวันจะเจริญเป็นใบใหญ่ ผลิตอาหารและบำรุงต้นใหญ่ทั้งต้น ในรุ่นต่อรุ่น ถ้ารากแข็งแรง มีหรือต้นไม้ต้นนั้นจะไม่ออกใบอีก ฤดูไหนก็ผ่านพ้นได้ ถ้ารากแข็งแรง ดังนั้น การเมืองใหม่คือใบ ต้องรักษารากแก้วของประเทศให้แข็งแรงที่สุดแล้ว แล้วต้นไม่ต้นนี้จะถูกตอน ตัด หรือ ทาบกิ่ง ต่อกิ่ง ฤดูอันโหดร้าย ถ้าไม่หวั่นไหว ก็ผลิดอกออกผลได้ตลอดไป ไม่ตายยืนต้นอย่างน่าสงสาร ดังนั้น ใบไม้เป็นส่วนสำคัญยิ่งเวลานี้ ต้นไม่แข็งแรงและเติบโต เกิดจากรากและใบ ส่วนของต้นไม้และดอกเป็นผลพลอยได้อย่างหายห่วงไร้กังวล เมื่อใบไม้ร่วงหล่นก็มีใบใหม่มาแทน ใบเก่าก็เป็นปุ๋ยบำรุงรากแก้วและรากฝอยดูดอาหารมาหล่อเล้ยงลำต้นและใบหมุนเว ียนอย่างไร้ที่สิ้นสุด ผลของไม้ก็แตกออกอย่างมีรากแก้ว เป็นลูกของต้นไม้ใหญ่และหากมีมากมาย ก็กลายเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ในอนาคตหมุนเวียน รากแก้วสำคัญที่สุด การรักษารากแก้วของประเทศคือการรักษาสถาบัน ไม่แน่รอบบ้านเราในเอเชียก็อยากได้การปกครองแบบเราก็ได้ 3 สถานบันคือรากแก้ว นี่คือการเมืองใหม่ และอาจได้รับความนิยม
กง

การศึกษากับการเมืองใหม่

    การศึกษา
1.ต้องมีการสอนศีลธรรมจริยธรรมตั้งแต่ชั้นประถม(ปูพื้น-รายละเอียด)ถึงมหาวิทยาลัย(การวิเคราะห์-ทุกศาสนา)
2.นำผู้ทรงศีลมาเป็นผ้สอน-โรงเรียนและวัดหรือมัสยิด ต้องกลับมาเป็นส่วนที่ร่วมกัน
3.มีการสอนเรื่องหน้าที่พลเมือง-การเมือง-ประวัติศาสชาติไทยอย่างเข้ม
4.สอนเรื่องรักชาติรักมาตุภูมิ
5.การศึกษาเป็นระบบให้ฟรีอย่างแท้จริง
6.จัดระบบการศึกษาใหม่
วิธีการ
6.1ส่งเสริมให้คนเก่งมาเป็นแม่พิมพ์ของชาติ
6.2 กำหนดเงินเดือนครูให้สูง(อย่างสูงเท่ากับตำแหน่งนายก) เพื่อจูงใจคนเก่งมาเป็นครูและให้ครูสอนกวดวิชาเข้า
ระบบ
6.3 เงินเดือนเก่าก็ให้เป็นไปตามเดิม(คนไม่เก่งให้มีสิทธิ์เท่าเดิมจะได้ไม่เป็นภาระงบประมาณ)
ส่วนที่สูงขึ้นใช้วิธีประเมินความสามารถ มีเป็นขั้นตอนขึ้นไปเรื่อยๆเป็นลำดับ
6.4คนที่มีเงินเดือนสูงต้องมีการจัดการการสอนที่มีประสิทธิภาพ มีการถ่ายทำการสอนและนำเทปการสอนนี้ส่ง
ให้โรงเรียนอื่นๆให้ทั่วถึง
6.5 จัดระบบการเรียนให้ดีขึ้น เพื่อไม่ต้องมีการเรียนพิเศษ
6.6 จัดระบบให้สามารถรับคนที่จะเรียนได้ทุกวิชาชีพ (จะได้เลิกเรื่องกวดวิชาให้หมด)
6.7 มีการแนะนำวิชาชีพก่อนตัดสินใจเลือกเรียนแต่ละวิชาชีพ และมีการเตรียมความพร้อมเด็กที่จะเรียนแต่ละ
สาขาวิชาชีพ
นายเอกราช

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

แนวทางใหม่ในการเลือกตั้งที่สมดุลย์อำนาจของคนเมืองกับคนรากหญ้า

ผมมีแนวทางใหม่ในการเลือกตั้งที่สมดุลย์อำนาจของคนเมืองกับคนรากหญ้าได้ครับ

จากปัญหาที่ว่าคนในแต่ละส่วนในสังคมมีแนวคิดต่างกันระหว่าง

1. คนที่เสียภาษี
2. คนที่ใช้ภาษี
3. กับคนได้รับผลประโยชน์จากภาษี

คนที่เสียภาษีบอกว่าคนใช้ภาษีโกง ก็เงินของกูอ่ะ เอาไปแล้วก็ใช้ดีๆหน่อยดิ อย่ากแดรกกันจนไม่ลืมหูลืมตา

แ ต่คนได้รับผลประโยชน์บอกว่าไม่เป็นไร คนใช้ภาษีบริหารงานดี เป็นเลิศ กูได้ผลประโยชน์ ถือว่าดีแล้ว กูเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ประเทศเป็นของพวกมรึงหรือไง โวยวายอยู่ได้
(แล้วคนกลุ่มนี้ก็เป็นข้ออ้างให้กับคนใช้ภาษีเป็นอย่างดี )

***** เพื่อเป็นกลางระหว่างคนเสียภาษีที่เป็นเจ้าของเงิน และคนได้รับผลประโยชน์ผู้บอกว่าเป็นคนส่วนใหญ่เป็นรากหญ้า เป็นเจ้าของประเทศตัวจริง
ก็ต้องหาคนใช้ภาษีที่เป็นคนของทั้งสองฝ่ายอย่างสมดุลย์

การคัดสรรคนใช้ภาษีก็ให้ weight ตามมูลค่าภาษีเงินได้บุคคลฯที่เสียแต่ละปีดีมั้ย
โ ดยทุกคนจะมีคะแนนน้ำหนักที่ 1 แล้ว + ด้วยสัดส่วนของ ภาษีเงินได้ขอแต่ละคน ต่อเงินได้ทั้งหมด(เฉพาะภาษีเงินได้) ของเขตเลือกตั้งนั้นๆ สูตรน้ำหนักคะแนนก็จะง่ายๆดังนี้

นำหนักคะแนน = 1 + (จำนวนคนที่มีสิทธิเลือกตั้งในเขต X (ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา / รวมภาษีรายได้บุคคลธรรมดาของทั้งเขตเลือกตั้ง))

ดังนั้น หากเขตการเลือกตั้ง มี 100 คน จะมี 200 คะแนนเต็ม
โดย 100 คะแนนแรกมาจากสิทธิ์พื้นฐานของทุกคนที่ได้
และ 100 คะแนนหลังจะได้จากสิทธิตามภาษีของแต่ละคน

ด ังนั้น คะแนนของคนที่เสียภาษี แม้จะมีน้อยคนแต่น้ำหนักคะแนนไปคูณกับผลที่เค้าเลือก ก็มีน้ำหนักเท่าๆกันคนส่วนใหญ่ที่ไม่เสียภาษี เหมือนกัน
ดังนั้น ประชาธิปไตย์ไม่ได้แปรว่าเสียงส่วนใหญ่อย่างเดียว แต่เป็นเสียงส่วนใหญ่ตามสิทธิ์ที่เค้ามีส่วนรับผิดชอบกับสังคมด้วย

และในการ implement แนวคิดนี้ดังต่อไปนี้

*** คะแนนนี้จะระบุไว้ในทะเบียนผู้มีสิทธิลงคะแนนแต่ละหน่วยเลือกตั้ง
*** และจะถูกเขียนลงในบัตรลงคะแนนของแต่ละคนตอนรับบัตรเลือกตั้ง
*** คะแนนนี้ไม่ละเอียดมากเพื่อใม่ให้เกิดความแตกต่างกันที่ทศนิยมแล้วทำให้การตรวจสอบย้อนหลังถึงคะแนนได้ภายหลัง
*** คะแนนนี้จะถูกนำไปคูณกับผลการเลือกตั้งที่เค้าเลือกตอนนับคะแนน

# ด้วยวิธีนี้ จะทำให้คนที่เสียภาษีรู้สึกว่าคะแนนเค้ามีค่ามากขึ้น ถ้ายังแพ้คนที่มีคะแนนน่อยกว่าอยู่ก็ต้องยอมรับ ถือว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่จริงๆ
ไม่ใช่เหมือนปัจจุบัน ที่เสียภาษีไปมากมาย แต่คะแนมีค่าแค่ 1 เท่ากับคนที่ไมเคยเสียภาษีที่เลือกคนที่ให้เงินให้ทองเข้ามาทำลายประเทศ

# ด้วยวิธีนี้ คนรากหญ้าที่ไม่ได้เสียภาษีมากมาย คะแนนที่ของเค้าโดยกล้าวหาว่าซื้อขายกันมาก็ไม่ได้มีน้ำหนักต่อบ้านเมืองมาก นัก ไม่มีผลมากมาย

!!!! แต่ แนวคิดนี้ออกจะผ่าโลก ผ่าแนวคิดที่ว่าประชาธิปไตย์คือความเสมอภาค แต่กลายเป็นมองว่าประเทศเหมือนห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งจริงๆมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ

อาจจะฝืนความรู้สึกของนักประชาธิปไตยทั้งหลายแหล่ แต่มันก็หุบปากของทุกส่วนในสังคมได้ไม่ใช่เหรอครับ

ถ้าใครจะเห็นด้วยก็กรุณานำไปเผยแพร่ได้ครับ
Thaimocracy@hotmail.com

นักการเมืองกับการเมืองใหม่

    นักการเมืองกับการเมืองใหม่
1.ก่อนเข้าสู่ระบบการเลือกตั้ง ต้องผ่านการตรวจสอบประวัติ เรื่องจริยธรรม-ข้อหาทุจริต
2.ก่อนเข้าสู่ระบบการเลือกตั้ง ตรวจสอบทรัพย์สินและรายได้ และตรวจสอบความสอดคล้องกับการเสียภาษี
3. เมื่อเข้าสู่ตำแหน่งแล้ว บัญชีทรัพย์สินต้องแจงอยู่ในInternetตลอดเวลา เพื่อให้ ปชช ตรวจสอบได้ทุกเวลา ครอบคลุมทุกคนในครอบครัว(ทั้งยังไม่บรรลุนิติภาวะและบรรลุนิติภาวะแล้วรวมถึ งคู่สมรสของทายาทด้วย )
4.ตรวจสอบอีกเมื่อออกจากตำแหน่ง บัญชีทรัพย์สินต้องแจงอยู่ในInternet อีก3ปี

คดีเกี่ยวกับนักการเมือง
1.นักการเมื่อง มีคดีทุจริต คดีไม่มีหมดอายุความ
2.นักการเมื่อง มีคดีทุจริต ความผิดเพิ่มเป็นสองเท่า
3.นักการเมื่อง มีคดีทุจริต ต้องขาดจากการเมืองตลอดชีวิต
4.คดีทุจริต นักการเมื่อง คนไทยทุกคนฟ้องร้องได้
5.คดีทุจริต นักการเมื่อง มีเกณฑ์ เวลา กำหนดในการทำคดีชัดเจน ผู้ทำงานล่าช้าต้องมีความผิดและออกจากการทำคดี
นายเอกราช

สิ่งสำคัญในวันนี้คือถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลุกขึ้นมา

จริงๆ อยากให้คนที่คัดค้านการเมืองใหม่ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาเกินก็ดี นักธุรกิจก็ดี คนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ก็ดี ที่กลัวว่าถ้าเป็น 70-30 อย่างที่ว่าไว้แล้วจะทำให้ประเทศเราดูไม่เป็นประชาธิปไตยหรือจะด้วยเหตุผลอะ ไรก็ตามที พวกคุณน่าจะลองมองดูว่าทำไมถึงต้องมีการเมืองใหม่ ในความคิดของผม ผมว่านะที่ต้องมีการเมืองใหม่ก็เพราะการเมืองในระบบเก่าที่เป็นการเลือกตั้ง 100% ผลที่ออกมาคือทำให้เราได้นักการเมืองแบบทักษิณ เนวิน สมัคร บรรหาร ฯลฯ แล้วพวกคุณก็ดูแล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย คอร์รัปชั่นเบ่งบานจนฉาวไปทั้งโลก นักการเมืองไม่มีจิตสำนึก เข้ามาทำการเมืองเพื่อหวังตำแหน่ง หวังเกียรติยศ หวังผลประโยชน์ และอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์กับประเทศเลยบอกได้เลยว่าถ้ายังเป็นอยู ่อย่างทุกวันนี้อีกไม่เกิน 30 ปีประเทศเราคงด้อยพัฒนาต้องไปแข่งกับเขมร ลาว หรือพม่า แล้วเด็กรุ่นใหม่คงจะก่นโค ตร ต่อว่าพ่อแม่ปู่ย่าตายายว่าเอาประเทศที่กลายเป็นซากปรักหักพังมาให้พวกเขา ทั้งที่ในช่วงเวลาของเราเรามีโอกาสแต่เราไม่ทำ ผมว่าตอนนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะทำประเทศเราให้ก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง โดยที่มีทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นแกนและมีส่วนร่วมในการจัดการพัฒนาประเทศโดยใช้ หลักธรรมาภิบาล ไม่ใช่เหมือนอย่างทุกวันนี้ที่เราปล่อยให้บ้านเมืองตกอยู่ในมือของนักการเมื องไม่กี่ร้อยคนในสภาแล้วในบรรดานักการเมืองเหล่านั้นก็ห่วงแต่ตำแหน่ง ผลประโยชน์โดยไม่ได้คิดทำประโยชน์ให้ประเทศเลย อย่างที่เห็นทุกวันนี้ก็คงเห็นว่านักการเมืองได้เผยธาตุแท้ออกมาแล้ว ทุกคนโดยเฉพาะไ อ้พรรคพังประชาชนห่วงแต่ผลประโยชน์ ถ้าเจรจาประโยชน์ไม่ลงตัวก็ปั่นป่วนกันจนไม่เป็นอันทำอะไร ผมดูแล้วได้แต่สมเพชเวทนา นักการเมืองพวกนี้เหมือนพวกเป รตที่แย่งส่วนบุญกันจริงๆ ไม่ต่างกันเลย สุดท้ายผมถามพวกคุณๆ ที่คัดค้านการเมืองใหม่ว่าคุณยินดีที่จะให้ประเทศเราขับเคลื่อนไปโดยพวกนักก ารเมืองน้ำเน่าไม่กี่ร้อยคนอย่างที่เป็นกันอยู่อย่างทุกวันนี้หรือ ถ้าคำตอบคือไม่ คำถามต่อไปที่พวกคุณต้องตอบให้ได้คือ คุณมีวิธีการแก้ไขหรืออัปเปหิพวกนักการเมืองเก่าๆ เฮง ซว ย พวกนี้หรือเปล่าและพวกคุณจะทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส ่วนในการจัดการประเทศของเรา การเมืองใหม่ที่แกนนำว่าผมว่าก็คือการเมืองที่ทุกคนต้องการน่ะแหละคือการเข้ าไปมีส่วนร่วม (Public Participation) ส่วนที่ว่าสั ดส่วน 70-30 หรือจะเท่าไหร่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะสั ดส่วนนี้สามารถเปลี่ยนแปลงยืดหยุ่นได้ไม่ใช่หรือ แต่ผมว่าสิ่งสำคัญในวันนี้คือถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลุกขึ้นมาเพื่อแสดงให้ พวกนักการเมืองเฮง ซว ยพวกนี้เห็นว่าประเทศไทยไม่ใช่ของพวกมรึง พวกมรึงจะมาทำปู้ยี่ปู้ยำ ข่มขืนประเทศอีกต่อไปไม่ได้แล้ว พวกมรึงต้องออกไปสถานเดียว และที่อยู่ที่สุดท้ายบ้านของพวกมรึงก็คือคุก
athenanike

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

กระบวนการหาเมียเมื่อแก่

"คนเสฉวน"
            พลตรียุทธนา รูปขจร ได้เขียนเล่าถึงอาการของคนที่มีอายุย่างเข้าปีที่ ๖๖ อย่างท่านว่ามีอาการรวม ๑๔ อย่าง (ต่วย' ตูนปักษ์แรก เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๖) แต่อาการที่สำคัญมีรวม ๓ อย่างด้วยกัน

            ๑.มีใครมาบอกว่ายาดีอะไรเป็นต้องกินไปเสียหมด ทั้งๆที่ยานั้นแสนที่จะขม
            ๒. เห็นผู้หญิงรู้สึกว่ามันสวยไปเสียหมด และ
            ๓. เวลาคุยกับใครอดที่จะนำความหลังไปเล่าให้เขาฟังเสียไม่ได้

            ที่ว่าเป็นอาการสำคัญเพราะเป็นอาการที่พ้องกับคำกล่าวถึงอาการของคนแก่ที่ว่า "ชอบของขม ชอบชมเด็กสาว ชอบเล่าความหลัง" เดี๊ยะเลย

            แต่ที่อ่านแล้วใจคอไม่ดี คือ ท่านพูดถึงเรื่องมรณะสติ โดยบอกว่า คิดว่าที่อยู่มาถึงขณะนี้ น่าจะเพียงพอแล้ว อย่าให้คนอื่นต้องเดือดร้อนกว่านี้เลย ยังไงก็ขอให้ไปอย่างสบายๆ อย่าให้คนข้างเคียงเดือดร้อนในการรักษาพยาบาลเลย

            ผมเลยอยากขออนุญาตให้กำลังใจท่านว่า อายุ ๖๖ ปีนั้น เพิ่งเริ่มแก่ (ย้ำ! เพิ่งเริ่มเท่านั้นนะครับ) ยังมีเวลาชื่นชมสิ่งสวยๆงามๆ เขียวๆ แดงๆ ไปอีกนานครับ คนอายุเท่านี้ หรือแก่กว่านี้อีกจำนวนมากมายยังรู้สึกรื่นรมย์ในการมีชีวิตอยู่ และมีหลายๆคนริอ่านมีเมียเด็กซะด้วย สำหรับท่านดูท่าจะไม่ใช่คนเจ้าชู้ ก็ขอให้อยู่เขียนเล่าความหลังอันสนุกสนานให้แฟนานุแฟน ต่วย'ตูน ที่มีเป็นจำนวนนับแสนได้อ่านกันต่อไปเถิดครับ

            คนเรานี่ก็แปลก ตอนเป็นเด็กรุ่นกระทง นมเพิ่งแตกพาน ก็ดันไปชอบหนุ่มห้าว สาวใหญ่ แต่พอแก่ตัวลงกลับมีรสนิยมชอบเด็กๆ หาความสมดุลย์ยาก ! ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดสำนวนเรียกคนแก่ที่ชอบเด็กสาวว่า "โคเฒ่า" หรือ "โคแก่" แต่จะเสียดแทงหัวใจเหลือเกินถ้าถูกเรียกขานว่า "เฒ่าตัณหากลับ" เพราะที่จริงไม่ใช่สักกะหน่อย เพียงแต่เรา "เอ็นดูเด็ก" ก็เท่านั้นเอง  จริงไม๊ครับท่านผู้สูงวัยทั้งหลาย

            ลุงแม้น ผู้เฒ่าวัยเกือบเจ็ดสิบแถวบ้านผม เมื่อภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของแกเสียไปเมื่อแกอายุได้หกสิบปี แกก็ทนอยู่อย่างทุกข์ทรมานอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ด้วยความรู้สึกที่ยังอาลัยอาวรณ์ถึงคู่ทุกข์คู่ยากที่พลันมาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน แต่เมื่อต้องทนนอนหนาวเปล่าเปลี่ยวมาหลายเหมันต์เข้าก็ชักจะทนไม่ไหว ถึงฤดูคิมหันต์ก็ขาดคนปรนนิบัติพัดวี ลูกหลานไหนเลยจะมาเข้าใจในหัวจิตหัวใจเมีย อย่ากระนั้นเลย เมื่อทนไม่ไหวก็อย่าทนมันเลย (ว่าเข้านั่น! ) หาผู้หญิงวัยเอ๊าะๆ ชีๆ แปะแป๊ะมาเป็นคู่ใจคอยแก้ไขปัญหาในทุกข์ฤดูเห็นจะดีเป็นแน่แท้ (ภาษาประกิตเขาว่า woman for all seasons) ว่าแล้วเฒ่าแม้นก็เริ่มเปรยกับลูกๆว่าเหงา ลูกๆก็พยักหน้าหงึกหงักทำท่าเข้าใจ แล้วก็เพียรผลัดเวรกันมาเยี่ยมเยียน ปรนนิบัติเอาอกเอาใจอยู่ไม่ขาด เมื่อเห็นท่าไม่ได้การ  แกก็เริ่มแผนที่สอง คราวนี้แกเล่นเกมหนักเลยทีเดียวโดยเปรยกับลูกชายคนโตว่า ระยับสาวแก่วัยใกล้สี่สิบซึ่งมีนิวาสถานอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้าน ยังเป็นสาวโสด ถ้าได้มาเป็นคู่ดูแลตัวแกก็คงจะมีความสุข ลูกหลานก็จะได้ไม่ต้องเทียวกันมาดูแลแกอย่างทุกวันนี้ ลูกได้ฟังอยู่ข้างจะตกใจ ได้แต่บอกพ่อว่าขอไปปรึกษาน้องๆดูก่อน ถ้าเห็นพ้องกันก็จะได้ไปติดต่อทาบทามสาวเจ้าให้ต่อไป

            หลังจากนั้นลุงแม้นก็ค่อยสบายใจ ครึ้มในหัวอกว่าจะได้เมียมากอดเล่นยามแก่เป็นแน่แท้แต่คอยไปก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า แกก็เดินแผนสามโดยคอยเซ้าซี้ลูกๆว่าเรื่องไปถึงไหน จนลูกๆทนไม่ไหวตกลงส่งพี่ชายไปทาบทามทางสาวว่าจะสมัครใจมาเป็นแม่เลี้ยงของเขาไหม ผลปรากฎว่าสาวระยับตอบปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ยิ่งกว่านั้นยามปะหน้าลุงแม้นสาวเจ้าก็แกล้งเปรยกับตัวเองออกมาให้ดังพอที่ลุงแม้นจะได้ยินว่า แก่จวนจะเข้าโลงอยู่แล้ว ให้รู้จักลดกิเลสตัณหาลงบ้าง เด็กๆจะได้นับถือ เฒ่าแม้นได้ยินแล้วท้อใจนัก รำพึงว่า ไอ้เราใช่ว่าจะตัณหากลับซักกะหน่อย เพียงแต่เอ็นดูเด็กเห็นว่าอยู่มาจนจะครบสี่สิบแล้วยังหาคู่ไม่ได้ ก็เลยคิดจะทำบุญกะเด็ก แต่เมื่อเด็กมันไม่เข้าใจก็ช่างมันปะไร อยู่คนเดียวก็ได้ (วะ) หลังจากนั้นไม่นานแกก็ล้มเจ็บลง รักษาตัวได้ไม่นานแกก็ลาจากโลกบูดๆ เบี้ยวๆใบนี้ไปอย่างสุดแสนจะเปล่าเปลี่ยว เฮ้อ! น่าสงสาร

            แต่กรณีของเจ๊เจียวไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องต่างกันราวกลับหัวกลับหาง แต่ผลลัพธ์ที่เกิดเหมือนกัน คือ พระเอกตายตอนจบ (คนแก่ซวยอีกแล้ว) เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ

            เจ๊เจียวเป็นสาวลูกจีนผิวขาวสะอาด แต่เนื่องจากต้องอยู่กะเหย้าเฝ้ากะเรือน จึงไม่ค่อยมีโอกาสไปพบปะผู้คน และไม่มีใครมาทาบทามสู่ขอก็เลยต้องอยู่เป็นโสดมาจนอายุสี่สิบปี  (ตอนเกิดเรื่องนี้) พี่สาวแกที่มีร้านขายผ้าเกิดขาดคนช่วยเลยให้แกไปช่วยขาย ก็พลันมีอาแปะพ่อม่ายวัยหกสิบสองมาซื้อผ้าแล้วเกิดติดอกติดใจ  เทียวไปเทียวมาแวะเวียนไม่ขาดระยะ เจ๊เจียวในตอนแรกก็เรียกแกว่าอาแปะๆ แต่ต่อมาพระเอกไม่ยอมให้เรียกว่า "อาแปะ" ซะแล้วโดยบอกว่า "อั๊วยังไม่แก่นา ต้องเรียกว่าอาเฮียซี" เจ๊เจียวก็ยินยอมด้วยความมีอัธยาศัย ซึ่งยังความยินดีให้แก่โคเฒ่า เอ๊ย! อาแปะเป็นอย่างมาก เรื่องจึงเลยมาถึงตรงที่อาแปะให้ลูกชายมาติดต่อกับทางบ้านสาว ขอให้เป็นเพื่อนคู่ใจของเตี่ย สาวเจ้าก็ปรึกษากับแม่และพี่สาวแล้วก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะน่าโอเค เพราะอาแปะก็เป็นคนดี ยังแข็งแรงอยู่ และที่สำคัญคือฐานะดียอมสู้ค่าสินสอดอย่างไม่เกี่ยงงอนเลยแม้แต่น้อย

            เรื่องน่าจะจบลงอย่างแฮปปี้ เอ็น (กรุดุ้งกระ) ดิ้ง เหมือนนิยายน้ำเน่า (ดี) ทั้งหลาย ถ้าสาวไม่เซ้าซี้ให้ผัวแก่ไปเดินออกกำลังที่สวนสาธารณะข้างบ้านทุกเช้าเย็น แต่จะไปโทษสาวฝ่ายเดียวก้ไม่ถูก แกก็คงอยากให้ผัวมีร่างกายแข็งแรง เรื่องเศร้าเกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง ในขณะที่อาแปะออกกำลังกายเสร็จแล้วก็หาที่นั่งพัก พอแกก้มตัวลงจะนั่งก็เกิดเป็นลมคาม้านั่ง เมียสาวตกใจร้องเรียกให้คนช่วยเสียงหลง แต่กว่าจะนำพระเอกส่งโรงพยาบาลได้ก็สายเสียแล้ว แกตายโดยไม่มีโอกาสสั่งเสียร่าเมียสาวแม้แต่คำเดียว

                เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์สำหรับ "โคแก่" ที่กำลังจะมี "หญ้าอ่อน" ไว้เคี้ยวว่า จะหักโหมอย่างไรก็ต้องระวังสุขภาพตัวเองไว้บ้าง การมีหญ้าอ่อนให้เคี้ยวไม่ได้เปลี่ยนแปลงร่างกายของเราให้กลายเป็นหนุ่มได้เหมือนจิตใจหรอกครับ พับผ่า!!

            เอาเรื่องกระบวนการหาเมียเมื่อแก่ เอ๊ย!! เมื่อแก่ที่สุดเศร้ามาเล่าสองเรื่องแล้ว คราวนี้มาดูเรื่องรักของคนแก่ที่สุดแสนจะหวานชื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นจะเป็นบาปทางใจโทษฐานทำให้คนแก่อ่านแล้วไม่สุขใจ มีโทษสมควรตายหมื่นครั้ง

                ผมคิดว่าแทบทุกคนต้องรู้จักป้าล้อต็อกในฐานะที่เป็นดาวตลกที่ค้างฟ้าบันเทิงเมืองไทยมาหลายทศวรรษเต็มที และคนที่รู้จักป๋าต๊อกก็คงเห็นพ้องต้องกันว่าหน้าตาของป๋านั้นไม่หล่อเหลาดูตลกที่สุด เคยมีพิธีกรเกมโชว์รายการหนึ่งเชิญผู้ชมในห้องส่งให้มาจ้องหน้าป๋าต็อก ถ้าจ้องได้เกินห้านาทีโดยไม่หัวเราะจะได้รับรางวัล ปรากฎว่าผู้ชมท่านนั้นจ้องหน้าป๋าได้ไม่เกินนาทีก็หัวเราะก๊าก โถ! ก็หน้าป๋าดูแล้วตลกจนทนไม่ไหวนี่

            เห็นหน้าตาอย่างนี้อย่าไปดูถูกเชียว เพราะประวัติของป๋าต็อกในเรื่องผู้หญิงนั้นเหลือร้ายจริงๆ เริ่มจากการมีภรรยาคนแรกเป็นนางเอกละครที่มีชื่อเสียงโด่งดัง คือ คุณแม่สมจิตต์ฯ และต่อๆ มา ป๋าก็มีเมียอีกหลายคน (มีคนพูดกันว่าถ้าสาวใดถูกป๋าจับหัวเป็นต้องเสร็จแกทุกคน ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า) แต่กรณีที่ต้องยกหัวแม่มือให้ทั้งสองอันคือ กรณีล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์ และทางจอทีวี นั่นคือ การที่แกมีลูกชายที่เกิดจากเมียสาวคนล่าสุดในขณะที่แกมีอายุ ๗๘ ปี ! และที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ เมียสาวคนล่าสุดให้สัมภาษณ์ว่ารักป๋ามาก  เคยบอกป๋าว่าขอให้ป๋าหยุดเรื่องผู้หญิงไว้ที่ตัวเธอ โห! อะไรจะยอดเยี่ยมขนาดน้าน อย่างนี้ต้องยกให้เป็น "ซุปเปอร์โคเฒ่า" ที่ "โคถึก" ทำอะไรไม่ได้จริงๆ หรือใครจะเถียง!

            แต่กระบวนการหาเมียเมื่อแก่ที่สนุกสนานที่สุดเห็นจะเป็นกรณีของ เจ้าคุณปัจจนึกฯ แห่งหัสนิยายเอกอัครอภิบรมมหาอมตะนิรันดร์กาลสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน (ที่ถูกควรเรียกว่า สี่เกลอ มิฉะนั้นคนที่ชอบ ดร.ดิเรก ซึ่งก็เป็นตัวเอกอีกตัวหนึ่งจะน้อยใจเอาได้)

            พระยาปัจจนึกพินาศ ตามท้องเรื่องเป็นข้าราชการบำนาญ ได้รับบำนาญเดือนละ ๘๐๐ บาท (เป็นจำนวนเงินมหาศาลสำหรับปี ๒๔๘๐) ท่านเป็นคนศีรษะล้านเลี่ยนเตียนโล่งสุดลูกหูลูกตา (ของแมลงวันที่บังเอิญบินหลงมาเกาะบนศีรษะท่าน) และอ้วนพุงพลุ้ยเข้าตำรา  เป็นพ่อม่ายเมียตาย อยู่กับลูกสาวแสนสวยสองคนที่บ้านถนนรองเมือง ซอยเท่าไรไม่แจ้ง เนื่องจากต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ในขณะเดียวกัน ท่านเลยเป็นคนที่หวงลูกสาวราวกับจงอางหวงไข่ คนที่เคยอ่านสามเกลอตอนหวงลูกสาวจะจำได้ดีว่าท่านหวงลูกสาวขนาดไหน แต่ที่สนุกกว่าเห็นจะเป็นตอนที่ท่านริอ่านจะมีเมีย ไม่ว่าจะเป็นตอนชิงนาง และศึกม่ายสาวที่ เจ้าคุณปัจจนึกฯ เจ้าคุณวิจิตรฯ (บิดานายจอมทะเล้นนิกร) และ ลุงเชย (มหาเศรษฐีปากน้ำโพ จอมขี้เหนียวพี่ชาย เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ)  แย่งกันจีบ คุณนายลิ้นจี่ ม่ายสาวใหญ่มารดาของ นวลละออ หรือตอนแม่ครูสาวที่เจ้าคุณปัจจนึกฯ ริไปจีบแม่ม่ายผัวตายที่อ้วนราวกับกระปุกตังฉ่ายซึ่งมีลูกสาวเปิดโรงเรียนสอนหนังสือเด็กที่บ้าน ซึ่งในท้ายที่สุดเจ้าคุณถึงกับถูกแม่ม่าย ถีบกระเด็นออกมาจากบ้าน ตอนนี้ผมอ่านหลายครั้งเพราะสนุกสนานมาก โดยเฉพาะตอนที่ท่านเจ้าคุณต่อรองราคาไปป์และตู้กับเจ็กที่เวิ้งนาครเขษม และตอนที่สามเกลอยอมเป็นนักเรียนโค่งเพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าคุณปัจจนึกฯ จีบแม่ม่ายได้อย่างสะดวกโยธิน ถ้าใครอ่านเป็นครั้งแรกแล้วหัวเราะต่ำกว่าสิบครั้งผมยอมให้ถองกบาลเลยเอ้า!

            กระบวนการหาเมียเมื่อแก่ก็เป็นอย่างที่เล่าไปแล้วว่ามีทั้งทุกข์ทั้งสุข ทั้งนี้แล้วแต่บุญแต่กรรมของแต่ละคน ถ้าอยากลองดูก็สุดแท้แต่ใจจะไขว่คว้า แต่สำหรับผมนั้นขอเดินหน้าหาเมียคนแรกให้ได้เสียก่อน เพราะแก่จนป่านนี้ยังหาไม่ได้เลยครับ !@!
ตีพิมพ์ใน ต่วย' ตูน ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ปักษ์หลัง

ระบบการคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งในตำแหน่งที่สูงขึ้น

    ระบบการคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งในตำแหน่งที่สูงขึ้น
1.การคัดเลือกบุคคล เช่นเมื่อจะเลือกคนที่จะดำรงตำแหน่ง ซี8 ต้องให้คนที่เป็นซี7 ในหน่วยงานเดียวกันเป็นผู้เลือก
2.เสร็จแล้วค่อยนำชื่อผู้ได้รับการเลือก ให้ผู้มีอำนาจทำการแต่งตั้งต่อไป

นักการศาสนา
1.มีสิทธิ์ทางการเมืองระดับไปเลือก ตั้ง
2.มีหน้าที่เผยแพร่เรื่องการเมือง
3.ยังไม่มีสิทธิทางดำรงตำแหน่งทางการเมือง

การศึกษา
1.ต้องมีการสอนศีลธรรมจริยธรรมตั้งแต่ชั้นประถม(ปูพื้น-รายละเอียด)ถึงมหาวิทยาลัย(การวิเคราะห์-ทุกศาสนา)
2.นำผู้ทรงศีลมาเป็นผ้สอน-โรงเรียนและวัดหรือมัสยิด ต้องกลับมาเป็นส่วนที่ร่วมกัน
3.มีการสอนเรื่องหน้าที่พลเมือง-การเมือง-ประวัติศาสชาติไทยอย่างเข้ม
4.สอนเรื่องรักชาติรักมาตุภูมิ
5.การศึกษาเป็นระบบให้ฟรีอย่างแท้จริง
6.จัดระบบการศึกษาใหม่
วิธีการ
6.1ส่งเสริมให้คนเก่งมาเป็นแม่พิมพ์ของชาติ
นายเอกราช

ขอเสนอแนวการเมืองใหม่ จาก leksungsriin@hotmail.com

    ขอเสนอแนวการเมืองใหม่
ปั จจุบันนัการเมืองต้องสังกัดพรรคการเมือง แต่พรรคการเมืองไม่มีการคัดเลือกคนดีเข้าสังกัดพรรคใครก็ได้ที่มีฐานเสียงดี พรรคก็รับไว้ เวลาแต่งตั้งรัฐมนตรีก็ไม่ได้แต่งตั้งคนดีแต่แต่งตั้งคนที่โกงเก่ง แล้วก็มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อสร้างฐานอำนาจปกปิดความผิดเวลาโกง ทำให้ฝ่ายตรวจสอบไม่สามารถหาหลักฐานมาจัดการได้
การเมืองปัจจุบันไม่มีนั กการเมืองที่เก่งและดีเข้ามาเล่นการเมืองเพราะเข้ามาเล่นการเมืองแล้วขาดทุน เพราะเข้าไม่โกงเงินเดือนน้อยพรรคไม่ส่งเสริมคนดีเขาเลยอยู่เฉยๆดีกว่า
วิธีแก้คือจะต้องให้นักการเมืองดีๆมาเล่นการเมืองได้โดยไม่ต้องสังกัดพรรคตั้งเงินเดือนให้สูงพออย่าให้ขาดทุน
แ ละถ้าใครสมัครเป็นฝ่ายค้านให้ระบุก่อนลงสมัครว่าต้องการเป็นฝ่ายค้านแล้วตั้ งเงินเดือนให้สูงกว่าฝ่ายรัฐบาลแล้วให้อำนาจการตรวจสอบและการฟ้องศาลได้เต็ม ที่ฝ่ายค้านได้เต็มที่
leksungsriin@hotmail.com

เป็นความคิดที่ดีนะเรื่องเอาเรื่องของภาษีมาคิดในการออกคะแนนเสียง

เป็นความคิดที่ดีนะเรื่องเอาเรื่องของภาษีมาคิดในการออกคะแนนเสียงเนี่ย
แต่ผมกลัวตรงที่คนที่มันรวยมากๆ ในสังคมไทยอะคับ มันมีฐานะต่างจากชนชั้นรากหญ้าและชนชั้นกลางมากเลย
แ ละคนรวยพวกนี้เป็นคนที่เสียภาษีออกจะเยอะมากด้วย ถ้าเขาจับกลุ่มกันไม่กี่คนได้ เขาจะสามารถมีคะแนนของตัวเองเยอะมากถ้าเทียบกับชนชั้นรากหญ้าและชนชั้นกลาง ถ้าเขาเป็นคนดีก็ว่ากันไป แต่ถ้าไม่ดีก็แย่ ซึ่งแบบนี้จะต้องมาคิด weight กันใหม่ด้วยอะคับ
ให้มันเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสม ไม่ให้คนที่รวยมากๆ เนี่ยมีสิทธิใช้คะแนนเสียงได้อยากเหมาะสมจริงๆ ไม่งั้นมันก็เหมือนพวกนายทุนวิ่งลอบบี้แค่คนที่มันรวยมากๆ อะ มันก็จะกลายเป็นการซื้อเสียงเหมือนเดิมแล้วง่ายกว่าด้วยคือวิ่งแค่ไม่กี่คน ผมเห็นด้วยนะคับแต่ผมคิดว่ามันคงยังมีช่องโหว่อยู่หน่อย ผมคิดว่าในเรื่องของวิธีจะเลือกเขาไปก็ดีเนี่ย เราคงต้องมาคิดวิธีตรวจสอบหลังจากเข้าไปแล้ว และวิธีควบคุมอำนาจของนักการเมือง วิธีป้องการหรือ block การหาผลประโยชน์ทางกฏหมายของนักการเมือง
นอกจากนั่นแล้วยังมีเรื่องของกา รรักษาความยุติธรรมภายในสังคมไทยไม่ว่า ลูกจ้างนายจ้าง(อันนี้อาจจะมีบ้างอยู่แล้ว) หรือเรื่องของข้าราชการชั้นผู้น้อยกับข้าราชการที่มีอำนาจ (อันนี้ผมว่ายังน้อย) ทุกวันนี้กฏหมายไทยนั่นคือเปิดช่องให้คนฟ้องศาลเยอะนะคับ แต่สิ่งนี้มันปฏิบัติยากหน่อย สมมุติเช่น ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คิดจะกลั่นแกล้งข้าราชการชั้นผู้น้อย สั่งพักราชการ ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ผิด ข้าราชการชั้นผู้น้อยทำไงได้คับ น้องจาก ต้องวิ่งติดสินบนหาเงินไปให้ กับ วิ่งฟ้องศาล ซึ่งมันไม่ง่ายเหมือนพูดหน่ะคับ แบบว่าแน่จริงก็ไปฟ้องศาลซี้เปิดช่องอยู่แล้ว ฟ้องเลย ต้องจ้างทนาย ต้องวิ่งขึ้นศาล แล้วไม่มีอำนาจอะไรไปต่อรองได้ กว่าศาลจะตัดสิน มันก็ยื้อศาลชั้นต้นก็แล้ว ก็ไปศาลอุทธรณ์ กว่าจะไปศาลฎีกา นี้คือใช้เงินทั้งนั้นนะคับ
ค ข้าราชการชั้นสูงเนี่ยเขายื้อได้อยุ่แล้วเพราะเขามีเงิน แต่ข้าราชการชั้นผู้น้อยเนี่ย มันไม่มีปัญญาแม้แต่ศาลชั้นต้นแล้ว นี้มันเหมือนกับจะมีความยุติเพราะมีศาลแต่มันใช้จริงได้ยากมาก สำหรับคนจน ยังมีอีกหลายเรื่องที่คนมีเงินจะกลั่นแกล้งคนไม่มีเงินได้โดยอ้างว่าก็ไปฟ้อ งศาลเอาสิ
นี้เป็นข้อเสนอแนะของผมนะคับ คนโดนกลั่นแกล้งในสังคมไทยเยอะมาก
ไม่ทราบว่าเห็นด้วยมั้ยหรือติติง ความคิดเห็นนี้ได้นะคับ ขอบคุณมากครับ
ร่วมด้วย

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

๔๖๓ วันในวังเปรมประชากร

กมล ชโนวรรณ

            "วังเปรมประชากร" ที่ว่านี้ คงไม่มีอยู่ในทำเนียบวัง อย่าไปค้นเสียให้ยากเลยเพราะเป็นวังนอกทำเนียบ ผมตั้งขึ้นเอง เพื่อให้เกิดความรู้สึกครึ้มๆขึ้นมาหน่อย แทนที่จะใช้ชื่อ "เรือนจำคลองเปรม" อันเป็นชื่อที่เรียก  "เรือนจำลหุโทษ" หรือ "เรือนจำกลางกรุงเมพมหานคร" หรือที่คนเก่าๆแก่ๆ อุตส่าห์เรียก "คุกใหม่" ก็ยังมี  แต่จะใหม่สมัยไหน พ.ศ.ใด ผมไม่ทราบ หรือครั้งสุดท้ายก่อนจะยุบทำเป็นสวนสาธารณะแห่งใหม่ล่าสุดใช้ชื่อว่า "เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร" หรือที่เรียกแบบชาวบ้านๆ ว่า "คุกลหุโทษ" ก็คุกเดียวกันเองแหละ

            ผมได้มีโอกาสเข้าไปกินอยู่หลับนอนในวังเปรมประชากร ชั่วปีกว่าๆ (๔๖๓ วัน) ที่ว่าผมมี "โอกาส" จึงเข้าไปอยู่ได้ ก็เพราะคนอื่นไม่มี "โอกาส"  ไม่ใช่ใครอยากเข้าไปอยู่ก็เข้าไปอยู่ได้ตามอยาก ประตู "วัง" ไม่ได้เปิดรับสำหรับทุกคน คงรับเฉพาะผู้มี "โอกาส" เท่านั้น อย่าหวังเสียให้ยากเลยว่าจะเข้าไปอยู่ได้ง่ายๆ เข้าไปแล้วออกยากเสียด้วย  เข้าทำนอง "เข้ายากออกยาก" แต่อย่าไปสนใจคำเปรียบเทียบสัปดี้สัปดนปลอบใจพวกที่อยู่ในวังหรืออยู่ในคุกที่ว่า "ติดคุกยังมีวันออก ... ยังมีวันหุบ"

            วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ คือวันที่ผมย้ายสำมะโนครัวเข้าไปอยู่ในวังเปรมประชากร ทั้งๆที่ไม่มีความสมัครใจเข้าไปอยู่แม้แต่น้อย แต่ผมถูกบังคับโดยผู้ไม่ปรารถนาดีต่อผม ใช้อำนาจกฎหมายบังหน้าเล่นงานผมจนได้ ก็เขายัดเยียดข้อหาสมคบกับพวกฆ่า นายเตียง ศิริขันธ์ กับพวกด้วย ให้ผม ตั้งแต่วันที่ ๑๓ เดือนมิถุนายน ๒๕๐๑ ถึงวันที่ส่งผมเข้าวังเปรมประชากรเป็นเวลา ๓๓ วันตามอำนาจขังของตำรวจ

            ใครๆก็เตือน บ้างก็ขู่ว่า ในวันที่ผมถูกส่งเข้าวังนั้น จะต้องมีผู้ต้องขังระดับเซียนที่อยู่ในวังก่อนแล้ว มาตั้งแถวต้อนรับพวกผมแบบรับน้องใหม่ เพราะพวกนั้นอาฆาตแค้นพวกผมที่จับกุมพวกเขาจนต้องมารับกรรมอยู่ในวัง จึงต้องสมนาคุมพวกผมให้สมแค้น เรียกว่าให้ถึงเลือดว่างั้นเถอะ เข้าตำราภาษิตจีนที่ว่า "บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ" สำหรับผมรวมทั้งน้องใหม่ทุกคนที่เข้าไปพร้อมผมไม่รู้สึกตื่นเต้นกับข่าวนี้แต่อย่างใด เพราะผมและพวกถือว่าไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญหรือสร้างความแค้นอันใดไว้กับใคร หากจะต้องมีผู้ต้องขังรุ่นซีเนียร์คนใดถูกผมจับส่งเข้าไปก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่จับกุมตามปกติของตำรวจผู้รักษากฎหมายธรรมดาๆ เจ้าตัวผู้ถูกจับย่อมรู้ดี ไม่น่าจะมีการอาฆาตจองเวรกันถึงขนาดจะรับน้องใหม่ ตามข่าวลือข่าวกลั่นกรองหรือข่าวกลั่นแกล้งแต่ประการใด และก็เป็นจริงดังที่ผมคิด คือ ไม่มีเหตุการณ์เช่นว่านั้นเกิดขึ้นในวันนั้นหรือวันต่อๆไป พูดแล้วจะว่าคุย ผมสามารถเดินเข้าออกไม่เฉพาะแต่ในบริเวณขัง ๗ เท่านั้น แม้แต่ขังอื่นๆในบริเวณวังฯ (เห็นจะต้องใช้คำว่า "คุก" แทย "วัง" เสียมั่งก็ดี) เท่าที่เขาอนุญาตได้อย่างสะดวกสบาย (ภาษาแสลงตอนนั้นเขาว่า "เดินเต๊ะจุ๊ย" ) พวกที่เคยผจญกันมาเมื่อครั้งอยู่นอกคุกเจอกันเข้าก็พูดจาทักทายผมเป็นอันดี มิหนำซ้ำบางรายถึงขนาดเข้าไปรับใช้ผมเสียอีก

            ภายในคุก เขาแบ่งเขตหรือสถานที่คุมขังออกเป็น ๗ เขต โดยใช้คำว่า "ขัง" นำหน้า เช่น ขัง ๑ ขัง ๒ ขัง ๓ ต่อๆไปจนถึง ขัง ๘ บริเวณสถานที่แต่ละขังเล็กบ้างใหญ่บ้างตามความจำเป็นและเหมาะสม สถานที่ที่ใช้คุมขังพวกผม คือ ขัง ๗ เป็นขังพิเศษใช้ขังบุคคลสำคัญ พวกต้องคดีการเมือง หรือ คดีสำคัญๆโดยเฉพาะ เห็นไหมครับผมกลายเป็นบุคคลสำคัญเอาตอนเข้าคุกนี่เอง

            ลืมบอกไปว่า ขัง ๑ ถึงขัง ๗ นั้นเป็นที่คุมขังผู้ชายทั้งหมด ส่วนขัง ๘ เป็นที่คุมขังผู้หญิงมีเพียงขังเดียว เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงไม่ชอบประพฤติผิดกฎหมาย ทั้งๆที่จำนวนประชากรหญิงของประเทศไทยมีพอๆกับประชากรชาย ดูเหมือนจะมากกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำไป ทำไมถึงเป็นเช่นนี้อยากรู้ต้องถามนักอาชญาวิทยาดู ขัง ๘ นี้ มีกำแพงกั้นแยกต่างหากไม่ให้ปะปนกับขังชาย แม้กระทั่งประตูเข้าออกก็แยกต่างหากเรียกว่า ผู้ต้องขังชายกับหญิงไม่ได้เห็นหน้ากันเลยทีเดียว ผู้ควบคุมดูแลก็ใช้ผู้หญิงล้วนๆ

            สถานที่ที่ใช้คุมขังพวกผม เป็นบริเวณรั้วรอบขอบชิด มีประตูเข้าออก (ทวาร) มีผู้คุมนั่งกำกับอยู่ตรงประตู ใครจะผ่านเข้าออกก็ต้องผ่านนายประตูหรือนายทวาร ด้านประตูเข้าออกประกอบด้วยกำแพงอิฐเป็นแนวกั้น ด้านนี้คือด้านทิศใต้ ด้านทิศเหนือเป็นกำแพวอิฐสูงลิ่วกว่าด้านใต้ เพราะด้านนี้ เป็นด้านนอกคือเป็นกำแพงคุกติดต่อกับภายนอก ตรงมุมต่อระหว่างกำแพงด้านเหนือเป็นซอยรถวิ่งได้ไปทะลุวัดสุทัศน์ และตรงปากซอยนี้ (ด้านถนนมหาไชย) ก็เป็นร้านนายเหมือนซึ่งใครๆก้รู้จัก ร้านนี้ส่วนใหญ่ขายเครื่องจักรสาน

            ส่วนสำคัญของขัง ๗ คือ ตัวตึกสองชั้น ลักษณะเด่นของตึกนี้คือลูกกรงเหล็กรอบริมตึกทั้งชั้นบนและชั้นล่าง  มีบันได้ขึ้นลงจากชั้นล่างถึงชั้นบนสองบันไดอยู่ด้านขวาและด้านซ้ายบันไดชั้นบนถือว่าเป็นส่วนด้านหน้าของตึกมีที่ว่างใช้ร่วมกัน เป็นที่พักผ่อนที่กินอาหาร ที่ดูทีวี ถัดพื้นที่รวมตอนนี้ออกไป ตามด้านยาวของตึก คือส่วนที่ใช้เป็นห้องขังเฉพาะตัว เรียกได้ว่า ห้องไปรเวท  ต่างคนต่างนอนในตอนกลางคืน ห้องใครห้องมัน ใครจะขอนอนร่วมกับใครก็ไม่ได้ ห้องเฉพาะตัวนี้แยกออกเป็นสองแถวหน้าหลังชนกัน ด้านหน้าห้องซอยมีระเบียงผ่านเหมือนกันทั้งปีกซ้ายปีกขวา ในตอนกลางวันจะออกมานั่งหน้าห้องส่วนตัว พื่อพักผ่อนหรือหาอะไรทำก็ได้ หรือมายืนเกาะลูกกรงที่กั้นรอบแนวริมตึกมองไปข้างหน้าดูวิวที่ไม่ค่อยจะน่าดูนักแก้เซ็งก็ไม่มีใครเขาว่าอะไร หรือจะลงจากตึกมาอยู่ในบริเวณตึกขังก็ยังได้ ขออย่างเดียวอย่าแหกกำแพงออกไปข้างนอกก็แล้วกัน

            ที่ผมมายืนเกาะลูกกรงมองวิวหรือทำอะไรตรงระเบียงหน้าห้องได้ในตอนกลางวันนั้นเพราะเหตุว่าตอนกลางคืน คือ ๑๘.๐๐ น. หรือ ๖ โมงเย็นทุกคนจะต้องเข้ากุฏิหรือห้องขังเฉพาะตัวห้องใครห้องมัน แล้วผู้คุมจะโยกคันบังคับหรือที่เรียกว่า หางปลาเสียงดังโครมใหญ่ ประตูลูกกรงห้องขังซอยจะปิดสนิทพร้อมกัน หมดอิสรภาพไปอีกส่วนหนึ่งในช่วงเวลานี้จะออกได้อีกทีก็เวลา ๐๖.๐๐ น. หรือหกโมงเช้าของวันใหม่ ในเมื่อผู้คุมมายกหางปลาขึ้นโครมเดียว ก็เปิดประตูขังซอยได้ทุกห้อง เป็นการปลุกโดยไม่จำเป็นต้องใช้นาฬิกาปลุก แต่ใช้เสียงโครมครามสนั่นหวั่นไหวจากการยกหางปลาของผู้คุมแทน

            อีตอนที่ต้องเข้าอยูในห้องทึบๆแคบๆ ตั้งแต่หัวค่ำ (๑๘.๐๐ น.) จนถึงเวลาหกโมงเช้า รวม ๑๒ ชั่วโมงนี่ซิ เป็นเรื่องทรมานจิตใจและทรมานสังขารอย่างสาหัสสากรรจ์ เพราะห้องฝาทึบ ๓ ด้านมีประตูลูกกรงหน้าห้องเท่านั้นที่ไม่ทึบ ขนาดห้องพอจะตั้งเตียง ไม่กระดานแผ่นนอนได้คนเดียวแล้วเหลือช่องว่างตามแนวยาวของเตียงหันปลายเท้ามาทางประตูลูกกรงแทบจะพอดิบพอดี ขนาดห้องก็คงประมาณ ๒ คูณ ๑ เมตรครึ่ง คิดดูก็แล้วกัน มันจะอบอ้าวขนาดไหน เครื่องใช้ไฟฟ้าทางเรือนจำห้ามใช้และห้ามนำเข้า ฉะนั้นพัดลมก็ดี หรือแอร์คอนดิชั่นก็ดี ที่จะใช้ดับร้อน หาไม่ได้แน่ในห้องขัง

            พูดถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็คิดไปถึงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์วันส่งพวกผมเข้าคุก จะเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับใดอย่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บหรือหาอะไรเลย นักข่าวผู้ทำข่าวป่านนี้คงไปอยู่ไหนๆแล้ว อาจตายไปแล้วก็เป็นได้ ลงข่าวเปนตุเป็นตะว่า มีการขอตู้เย็น พัดลม เข้าไปบำรุงความสุขตามประสาผู้ต้องขังชั้นพิเศษ คือ มีสิทธิพิเศษกว่าผู้ต้องขังธรรมดาว่างั้นเถอะ คุยๆสอบถามที่มาของข่าวนี้กันแล้วได้ความว่า ขณะที่เจ้าพนักงานนำพวกผมเข้าประตูคุกนั้น พอดีกันกับมีการขนตู้เย็น พัดลม และเครื่องใช้ไฟฟ้าขึ้นรถยนต์จากห้าง กมลสุโกศล ผู้จำหน่ายสินค้าไฟฟ้าไปส่งลูกค้าอยู่ที่หน้าห้างซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับคุกพอดี นักข่าวเข้าใจผิดคิดว่า ตู้เย็น พัดลม เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นของพวกผมนำเข้าไปใช้ในคุก เลยซวยไปเพราะการกระทำซวยๆของคนหาข่าวชุ่ยๆ เพื่อป้อนข่าวให้กับคนหิวข่าวคือผู้อ่านซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่

            ว่าถึงวิธีการดับความร้อนในห้องขังที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือ ตักน้ำใส่ถังเข้าไปไว้ในห้องก่อนหกโมงเย็น เมื่อร้อนมากก็ตักน้ำในถังรดอาบดับร้อนกันตรงพื้นซีเมนต์ข้างๆที่นอน ความเทลาดของพื้นทำให้น้ำไกลออกจากห้องผ่านชานทางเดินหน้าห้องออกชายคาตึกลงไปข้างล่าง ไม่เป็นการรบกวนใคร และไม่ผิดระเบียบอันใดของเรือนจำ ให้น้ำเปียกตัวอยู่อย่างนั้นไม่ต้องเช็ดตัว ใช้พัดใบลานพัดๆจนเนื้อตัวแห้งแทน ทำให้ผ่อนคลายความร้อนได้บ้างดีกว่าอยู่เปล่าๆ

            ส่วนวิธีการเปลื้องทุกข์ ไม่ว่าทุกข์เบา ทุกข์หนัก ไม่มีอะไรดีไปกว่านั่งกระโถนที่นำเข้าไปเตรียมไว้ในห้องก่อนเวลาหางปลาโยกปิด ถ่ายแล้วปิดฝาให้มิดชิด มิฉะนั้นจะต้องนอนสูดกลิ่นของตัวเองตลอดคืน คุกต้องขออภัยในความไม่สะดวกที่ไม่มีห้องน้ำห้องส้วมอยู่ในห้องขังเหมือนเช่นห้องขังของกองปราบปรามที่เคยเล่าไว้คราวก่อน

            ที่มามาแล้วนั้นเป็นวิธีการเปลื้องทุกข์ในร่างกาย แต่ถ้าเป็นทุกข์ทางใจก็ไม่มีทางแก้นอกจากมือก่ายหน้าผากเอาทางธรรมะเข้าข่ม จะได้ฝืนใจหลับนอนได้บ้าง หากบางครั้งบางคราวเกิดไปเอากามะเข้าข่มแทนธรรมะ ก็ต้องมีอันทุกข์ใจหนักเข้าไปอีก แถมจะออกอาการกระวนกระวายตะกายฝาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณตรีคูณ

            ใครจะนอนหลับเข้าไปได้ตั้งแต่หกโมงเย็น ความจริงเขาไม่ได้ปิดห้องขังให้เข้านอนตั้งแต่ตอนนั้น  เขาไม่ได้ห้ามไม่ให้เอาอะไรเข้าไปเล่นเข้าไปทำ เพียงแต่อย่าให้เป็นการรบกวนห้องข้างเคียงหรือคนอื่นอยากจะคุยกันก็ออกเสียงตะโกนกันหน่อย ถ้าจะคุยให้เห็นหน้ากันก็ต้องเอากระจกเงาลอดช่องประตูลูกกรงออกไป ปรับภาพในกระจกให้ทแยงเข้าหาคนที่จะพูดด้วยจะฟังด้วย นับว่าเป็นการยากลำบากสักหน่อยในการที่จะเอาทั้งภาพทั้งเสียง

            มีบ่อยครั้งที่ได้ฟังเพลง "โป้ยกังเหล็ง" จากเสียงร้องของนักร้องแก้เซ็งอาวุโสของพวกเรา ท่านผู้นั้นคือ พล.ต.จ.รัตน์ วัฒนมหาตม? อดีตผู้บังคับการตำรวจสันติบาล  ท่านเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ต้องหาคดีสมคบฆ่า นายเตียง ศิริขันธ์กับพวก และท่านก็เป็นจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้ด้วย นับได้ว่าท่านเป็นพี่เอื้อยของพวกเราทั้งในทางคดีและส่วนตัว วันดีคืนดีคือ คืนที่ท่านสามารถปรับอารมณ์ให้ชื่นมื่นได้  มักจะได้ยินท่านขึ้นต้นเสียงร้องว่า "สูนซึงยูฮ่ายยยย..." ต่อไปเนื้อร้องว่าอย่างไรอีกไม่ทราบ ผมจำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ถ้าอยากรู้ไปค้นหาเนื้อร้องเพลงจีนเก่าแก่ชื่อ "โป้ยกังเหล็ง" เอาเอง สรุปแล้ว จะทำอะไร จะพูดอะไร เปล่งเสียงอะไรออกมาเป็นการระบายอารมณ์ตนเองและให้คนอื่นสบายใจขึ้นมาบ้าง ก็พยายามกระทำก่อนที่จะหลับตาลงได้ในคืนหนึ่งๆดีกว่านั่งคิดนอนคิดให้เกิดความทุกข์ใจกระวนกระวายใจไม่ใช่หรือ?

            ขอกระซิบดังๆว่า ห้องที่ "พี่รัตน์"  หรือที่เรียกว่า "ผู้การรัตน์" ยึดครองกินอยู่หลับนอนในวังเปรมประชากรนี้ไม่ใช่ธรรมดา คือ เป็นห้องขนาดใหญ่กว่าที่ผมอยู่ ที่สำคัญเป็นพิเศษคือ  เป็นห้องขังที่คนใหญ่คนโตขนาด จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยโน้น เคยอยู่หรือเคยเป็นที่ขังมาแล้ว ตอนต้องหาคดีอาชญากรสงคราม (สงครามมหาเอเซียบูรพา) นั่นไง

            เป็นกิจวัตรประจำวัน หลังเสียงโครมจากการยกหางปลาขึ้น ถอนสลักเปิดประตูห้องแต่ละห้องพร้อมกัน แต่ละคนก็กรูกันออกมาจากประตูของใครของมันพร้อมๆกัน เหมือนปล่อยสัตว์เลี้ยงออกไปหากินตอนเช้า ส่วนมากจะนุ่งผ้าขาวม้าหรือกางเกงบางๆ มีถังเปล่าไปตักน้ำ มีกระโถนของเสียถือไว้อีกมือ จุดหมายปลายทางที่เดียวกัน คือ ส้วม ที่อยู่ด้านหลังตึกหรือด้านกำแพงติดซอยร้านนายเหมือน ส้วมที่ว่านี้เป็นส้วมแบบราดน้ำ  เขาสร้างเป็นช่องถ่ายได้ช่องละคน กั้นข้างมิดชิด แต่ด้านหน้ากั้นแค่ครึ่งตัว เมื่อนั่งถ่ายหันหน้าออกก็เห็นหน้ากันป๋อหลอ คุยกันได้คุยกันดีขณะถ่าย เสร็จแล้วใช้น้ำประปาที่ตักมาจากบ่อซีเมนต์ใหญ่กักเก็บน้ำประปาไว้ให้ใช้และ อาบกันกลางแจ้งอยู่เยื้องด้านหน้าของตึกขังเป็นน้ำชำระของสกปรกจากร่างกายแล ะช่องส้วม

            เข้าส้วมกันเรียบร้อยแล้ว ช่วงตอนกลางวันนี้ถือว่า เราได้รับอิสระภาพดีกว่าตอนกลางคืน คือมีอิสรภาพกว้างขวางขึ้น แต่ต้องอยู่ในขอบเขตบริเวณตึกขัง อันนับได้ว่ากว้างขวางพอสมควร มีลานพอที่จะเล่นแบตมินตันหรือตะกร้อได้ มีที่วิ่งได้รอบๆ สระน้ำอันเรียกว่าบ่อน้ำจะเหมาะกว่า ขนาดบ่อประมาณ ๓๐ คูณ ๔๐ เมตร น้ำในบ่อสะอาดพอสมควรแก่การเป็นบ่อน้ำในคุก รอบๆบ่อมีต้นไม้ใหญ่พอที่จะเป็นร่มเงาบังแดดได้ ในบ่อมีปลาเหมือนกันส่วนใหญ่เป็นปลาหมอเทศ เป็นประเภทปลาเทวดาเลี้ยง

            ใครจะออกกำลังกายประเภทใดไม่มีข้อห้าม แต่เครืองมือเครื่องใช้ต้องหากันมาเอง ผมเลือกการออกกำลังกายโดยการเล่นแบตมินตัน ตั้วโผใหญ่ที่จัดให้มีการเล่น คือนายเก่าผมชื่อ พ.ต.อ.วิชิต รัตนภาณุ ต้องคดีเดียวกันกับผม (ฆ่านายเตียงกับพวก) แต่ท่านเข้ามอบตัวทีหลังผม เพราะมัวไปคุมแบตมินตันทีมชาติไปแข่งขันต่างประเทศ  จะเป็นประเทศใดก็จำไม่ได้เสียแล้ว ขนาดคุมทีมชาติแสดงว่าท่านเชี่ยวชาญเอตทัคคะในเชิงแบตมินตันขนาดไหนอย่าให้ผมเซดเลย ลูกทีมของท่านตอนนั้นจำได้แม่นยำคนหนึ่งคือ คุณเจริญ วรรธนะสิน ตอนนี้ใครๆเรียกอาจารย์เจริญกันทั้งนั้น และตอนนี้ท่านดังกว่าตอนที่เล่นแบตมินตันเสียอีก คือ ดังเพราะลูกชายเป็นนักร้องดังระเบิด ที่ใช้ชื่อ เจ.เจเจตริน นี่แหละ

            ผมไม่ค่อยได้เล่นแบตมินตันมาก่อน เจ้านายผมจัดหาแร็กเก็ตและลูกขนไก่มาให้เล่นเสร็จเรียบร้อย เป็นการออกเหงื่อ ออกกำลังแก้กลุ้มไปวันหนึ่งๆเล่นไปๆ ความที่ผมไม่ประสีประสาในเชิงเล่น เจ้านายเขาเลยให้สมญานามผมเลียนนักแบตมินตันชื่อดังของเนเธอแลนด์ขณะนั้น คือ "เออร์แบนด์คอร์ป" ชื่อที่เขาตั้งให้ผมที่เลียนแบบ "เออร์แบนด์คอร์ป" คือ "เออร์แลนด์คุก" ก็เข้าทีดี

            หลังจากการออกเหงื่อในตอนเช้าแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเช้า ต่างคนต่างหากินกันและแบ่งปันกันบ้างตามควรแก่การอยู่ร่วมกัน ส่วนมากเป็นอาหารส่งมาจากข้างนอกทุกมื้อ  ไม่ใช่ในคุกไม่มีข้าวกิน มีน่ะมี แต่ภาษาจีนเขาว่า "เจี๊ยะบ่อโละ" ผมเคยไปดูที่หุงข้าวต้มแกงในคุกหรือที่เรียกว่า "โรงครัว" วันหนึ่งเห็นพวกทำครัวนั่งขัดสมาธิหั่นผักบุ้งที่จะแกงอยู่ปากกระที่จะใช้ต้มแกง หั่นแล้วใช้ตีน (เท้า) ข้างหนึ่งดีดกวาดผักบุ้งลงกระทะหน้าตาเฉยเลย ผมเห็นแล้วกินไม่ลงเพราะเหตุนี้ นอกเหนือไปจากแกงต้มผักที่บางทีหาเนื้อสัตว์สักชิ้นในถ้วยหนึ่งยังไม่ค่อยจะได้ ทั้งๆที่บอกทนโท่ว่าแกงเนื้อสัตว์ ไม่ใช่ผักเฉยๆ โดยปกติอันเป็นเหตุที่ไม่น่ากินอยู่แล้ว แต่ยังไงๆผู้ต้องขังอื่นๆ ก็กล้ำกลืนกินกันได้ อาจจะเพราะความจำเป็นบังคับให้กินมากกว่า

            ผู้ต้องขังว่ากันว่า เนื้อสัตว์ที่มีอยู่ในรายการเลี้ยงผู้ต้องขังนั้น ความจริงมีปริมาณก่อนที่จะเข้ามาในคุกเพียงพออยู่ แต่บังเอิญหายไประหว่างทางบ้าง ถูกตัดตอนเอาไปกินกันบ้าง จึงเหลือถึงผู้ต้องขังจริงๆแค่เศษๆ เรื่องกินๆนี่ ไม่ว่าหน่วยงานไหนก็มีกันทั้งนั้นแหละ แล้วในคุกจะไม่ให้มีการกินกันได้อย่างไรผมก็ฟังๆ เขาว่าไปอย่างนั้น ไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเองจึงไม่บังอาจยืนยัน

            ในจำนวนพวกเรา (ขัง๗) แทบจะไม่มีใครกินกับข้าวฟรีของคุก แต่ก็สนใจเฉพาะเรื่องข้าวอยู่ คือ เอาแต่ข้าว กับข้าวไม่เกี่ยว ที่สนใจก็เพราะเป็นข้าวแดงหรือข้าวซ้อมมือ ที่เขาว่ามีโปรตีนเยอะ ป้องกันเลือดออกตามไรฟันหรืออะไรๆที่มีประโยชน์แก่ร่างกายมากมายก่ายกอง หากินที่อื่นยาก ก็มากินเอาในคุกนี่แหละ

            สำหรับผมทั้งข้าวและกับข้าว ผูกปิ่นโตจากผู้คุมนี่เอง สะดวกและประหยัดกว่าที่จะให้ทางบ้านจัดส่งเข้ามาในคุก พรรคพวกคนอื่นๆในขังเดียวกันส่วนมากก็ผูกปิ่นโตเช่นว่านั้นโอกาสที่จะได้ร่วมวงกัน มีอะไรก็แบ่งกันกินก็ในมื้อเย็นก่อนหกโมง สนุกสนานกันตามอัตภาพ ทั้งมีน้ำพรรค์อย่างว่ากินกันเกือบจะเป็นประจำ (กินแบบออนเดอะร็อค โซดงโซดาไม่ต้องใช้เพราะหายาก) โดยเฉพาะเหล้าแม่โขง ส่วนเหล้าฝรั่งก็มีบ้างเป็นบางโอกาส ที่กินเหล้ากันนี้ เป็นการแอบกิน เพราะผิดระเบียบคุกทั้งการดื่มและการนำเข้ามา

            ทำไม ทั้งๆที่เป็นของต้องห้ามแต่พวกผมมีกินกัน ก็เพราะพวกผมมีวิธีการนำเข้า อย่างเหล้าแม่โขงเข้ามาครั้งหนึ่งเป็นลังๆ ยี่ห้อฝรั่งปนมาบ้างครั้งละขวดสองขวด เส้นทางขนส่งคือทางอากาศไม่ใช่ทางเครื่องบินหรือ ฮ.หรอกครับ แต่เป็นการทิ้ง(ร่ม) ทางป้อมยามตามที่กล่าวมาตอนต้นแล้วว่า มีป้อมยามตำรวจอยู่มุมกำแพงด้านร้านนายเหมือน อาศัยที่เป็นตำรวจเก่า ตำรวจป้อมยามก็ยินดีเสี่ยงช่วยเหลือรับของจากภายนอกมาแล้วก็จัดทิ้งร่มให้ในตอนเช้าเมื่อเปิดห้องขัง ตกลงซิกแนลกันแล้ว ฝ่ายภาคพื้นดินก็เตรียมผ้าห่มนอนหรือผ้าผวยจับผ้ากันไว้คนละมุมรอรับใกล้ๆป้อม ตำรวจที่ป้อมก็ทิ้งหีบเหล้าลงมาบนผ้าผวย ก็เท่านั้น แต่บางครั้งการรับทางภาคพื้นดินผิดพลาด เหล้าฝรั่งที่ทิ้งลงมาเป็นพิเศษหลุดจากผ้าผวยและกระทบพื้นซีเมนต์แตกกระจาย เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง อย่างนี้ก็เคยมี

            เหล้าที่ได้มาแต่ละครั้ง จะซุกซ่อนเป็นสต็อคได้ที่ไหน ไม่ยากเลย ทิ้งไว้ในบ่อน้ำบริเวณขังนั่นแหละปลอดภัยดี เมื่อต้องการก็งมขึ้นมา การกินเหล้าในคุกมันลำบากลำบนอย่างนี้ แต่ก็ไม่พ้นความพยายามซึ่งมีอยู่ที่ไหนก็สำเร็จที่นั่น เมื่อเราหามากินเองได้แล้วเรื่องอะไรที่จะกินเหล้าแม่โขงของผู้คุมที่ผ่านเข้าทางประตูหน้า แล้วมาขายเอากำไรขูดเลือดซิบๆ (แล้วเอาทิงเจอร์ทาด้วย) ถึงขวดละ ๕๐ บาท ในเมื่อตอนนั้นข้างนอกขายแค่ขวดละ ๑๘ บาทเท่านั้น เป็นธรรมดาสมดังคำพังเพยที่ว่า ของแพงต้องของหน้าคุก แต่นี่ในคุกมันต้องแพงกว่าหน้าคุกวันยังค่ำ

            ของห้ามอีกอย่างหนึ่งสำหรับคุก คือ หนังสือพิมพ์ถูกห้ามนำเข้าในคุกเด็ดขาด ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอันใดที่จำเป็นต้องปิดหูปิดตาผู้ต้องขัง ส่วนหนังสืออื่นๆหรือจะเป็นจดหมายก็เช่นกันห้ามนำเข้าและนำออกด้วย แต่ยังดีที่มีข้อแม้ว่าจะต้องผ่านการตรวจเซ็นเซอร์ของเจ้าพนักงานก่อนจึงจะนำผ่านเข้าออกได้ ซึ่งส่วนมากเจ้าพนักงานตรวจแล้วอนุญาตให้ผ่านไม่มีปัญหา

            ก็อย่างว่า สิ่งใดที่เขาห้ามความต้องการสิ่งนั้นก็มีเพิ่มขึ้น ยิ่งห้ามก็เหมือนยุให้ยิ่งอยาก ผมมีหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ อ่านและแบ่งปันกับอ่านตลอดรายการ วิธีการนำหนังสือพิมพ์เข้า เป็นเรื่องปกติต้องจ่ายค่านำเข้าตามระเบียบ ผู้นำเข้ามาให้ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ผู้คุมธรรมดานี่แหละ แต่เป็นผู้หญิง กลวิธีนำเข้าก็ต้องซุกซ่อนผ่านด่านประตูเข้ามา ขืนถือโด่เด่เข้าแม้จะเป็นผู้คุมก็ต้องมีความผิด ผู้คุมก็กลัวความผิดเหมือนกัน หรือไม่แน่นา อาจจะกลัวถูกผู้คุมด้วยกันขอแบ่งเปอร์เซ็นต์นำเข้าก้ไม่ทราบได้ ผู้คุมหญิงที่ว่านี้แกมีกลวิธีซุกซ่อนหนังสือพิมพ์แบบพิสดาร เชื่อว่าไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน โดยอาศัยที่คุณเธอรูปร่างใหญ่โตอ้วนตุ๊ต๊ะ ซึ่งแน่ละนมต้มย่อมใหญ่ยานเท้งเต้ง ก็ได้ใช้ประโยชน์ความใหญ่ยานซุกหนังสือทั้งปึกไว้ใต้ฐานนมแล้วเอานมยานๆ ทับไว้ สบายบื๋อทั้งรายวันรายสัปดาห์ นับสิบฉบับยังไหวด้วยประการฉะนี้

            พูดถึงการนำเอกสารผ่านเข้าออกประตูใหญ่ ทำให้นึกถึงเพื่อนรักผมคนหนึ่งซึ่งเข้าไปอยู่คอยผมที่ขัง ๗ เพื่อนคนนี้เป็นนักเขียนชั้นดี แม้ว่าจะเข้าไปอยู่ในวัง (คุก) ด้วยข้อหาที่ถูกกลั่นแกล้งโดยไม่เป็นธรรม ก็ยังประกอบธุรกิจเขียนหนังสืออยู่ โดยส่งข้อเขียนซุกออกไปในแฟ้มเอกสารของนายตำรวจรุ่นพี่ผมซึ่งต้องคดีฆ่า นายอารีย์ลีวีระ และต้องออกไปทำธุรกิจ (สู้คดี) ที่ศาลอาญาเป็นประจำทุกอาทิตย์หรืออาทิตย์ละสองครั้งเป็นปกติธุระ แล้วนัดหมายกับผู้มารับข้อเขียนซึ่งฝากไปศาลอาญา  บอกเสียเลยในที่นี้ก็ได้ว่า นักเขียนผู้นั้น คือ "สุวัฒน์ วรดิลก" เจ้าของนามปากกา "รพีพร"

            ส่วนใหญ่ "สุวัฒน์ วรดิลก" เขียนและฝากส่งออกไปในขณะนั้น เป็นบทละคร ทีวี ตอนนั้น (พ.ศ.๒๕๐๑) มีทีวีเพียงช่องเดียว คือ ช่องสี่ (บริษัทไทยโทรทัศน์ฯ) ออกอากาศที่บางขุนพรหม สถานที่ที่เป็นธนาคารชาติปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ช่องสี่ก็คือช่องเก้า ผมมีส่วนช่วยคุณสุวัฒน์ฯ โดยผมเคยออกแบบฉากละครทีวีที่คุณสุวัฒน์ฯ เขียนลายเรื่องอยู่ เพราะคุณสุวัฒน์เชื่อมือผมว่ามีหัวศิลปวาดภาพอยู่บ้าง คงจะออกแบบฉากได้ แต่ที่ออกแบบฉากนี้อย่าคิดว่าได้เงิน เขาให้ออกแบบก็ดีใจในผลงานถมเถไปแล้ว จำได้ว่ามีละครเรื่องจีนๆ ชื่อ "จอมภพมฤตยู" ผมก็เป็นผู้ออกแบบฉาก แต่ไม่ได้ดูทีวีเรื่องนั้น จึงไม่อาจรู้ว่า ฉากเขาทำตามแบบที่ผมออกให้หรือเปล่าหรือถ้าทำตามที่ออกแบบไปฉากออกมาจะใช้ได้หรือเปล่า

            โอกาสที่พวกผมจะได้ดูทีวีมีสัปดาห์ละครั้ง หมุนเวียนกันไปตามขังต่างๆ เมื่อถึงรอบขัง ๗ จะได้ดู พนักงานเรือนจำจะยกทีวีมาตั้งให้ดูที่ระเบียงเชิงบันไดด้านหน้าที่จะเข้าห้องขังซอยอันเป็นที่พักผ่อนรวม หรืออาจเรียกได้ว่าที่ตรงนั้นคือห้องรับแขกของขัง ๗ ก็ควรจะได้ คืนไหนได้ดูทีวีก็สบายหน่อย ไม่ต้องเข้ากุฏินอนแต่หัวค่ำ  ทีวีปิดรายการจึงจะปิดหางปลาปิดอิสรภาพบางส่วน รายการทีวีในคืนที่ได้ดูจะดีไม่ดีเป็นโปรแกรมที่ต้องการดูหรือไม่ เป็นการเสี่ยงดวงก็ต้องจำใจดู คนคุกเลือกไม่ได้นี่ครับ



           


ตีพิมพ์ใน ต่วย' ตูน ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ปักษ์หลัง

Pantamire from Los Angeles

ถ้าสามารถป้องกันบุคคลเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากการเมือง ในการฉ้อโกงได้เต็มที่

ขอสนับสนุน 1000% และพยายามสร้างอำนาจถ่วงดุลย์ ทั้งตำรวจ อัยการ ให้มีการตรวจสอบได้และสามารถเอาผิดได้ เมื่อได้กระทำในสิ่งที่ผิด ประเทศไทยจะได้ยั่งยืนยาวนานไว้ให้ลูกหลาน และเยาวชนรุ่นหลังๆ เรียนในสิ่งที่ดีๆ ในระบบที่ดีๆ ตอนนี้เด็กๆเห็นผู้ใหญ่ทำชั่วได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ไร้สามานสำนึก ไร้มนุษยธรรม ซึ่งอาจเป็นผลพวงและค่านิยมในสิ่งที่ผิดๆ เด็กๆอาจจะคิดและสำคัญผิด ทีผู้ใหญ่ยังทำชั่วได้ ทำไมพวกเขาจะทำไม่ได้ ไอ้พวกที่โกงแล้วก็รวย ทำไมมันยังรวยไม่พออีกเหรอ ปล้นชาติปล้นแผ่นดินเกิดของตัวเองหวังเพียงเพื่อความเป็นอยู่ของตัวเอง มันชั่วไม่พอใช่ไหม จริงๆผมอยากให้คุณสมัครกลับเข้ามาเป็นนายกฯเหมือนเดิม ก็เพราะว่า ผมอยากเห็นอำนาจศาลอาญา ตัดสินคดีความและใช้อำนาจศาลลงโทษจับนายกฯสมัครเข้าคุก เป็นคดีตัวอย่างและคงเป็นคดีดังสะท้านไปทั่วโลก ถึงแม้นายกฯสมัครไม่ว่าจะมีอำนาจใหญ่คับฟ้าแค่ไหน ในเมื่อคุณกระทำผิดคุณต้องสมควรได้รับโทษในสิ่งที่คุณกระทำไว้
Pantamire from Los Angeles

อยากให้ยกเลิก ระบบพรรคการเมือง

อยากให้ยกเลิก ระบบพรรคการเมือง
เลือกตั้ง สส. ควรไม่มีสังกัด ให้เป็นอิสระไปเลย
การเลือกตั้ง ผู้สมัคร ไม่ควร ใช้เงิน มากมายในการเลือกตั้ง
สส. เลือกทั้ง ภาคไปเลย (ไม่สามารถใช้เงินซื้อได้ เพราะต้องจ่าย ทั้งภาค ) อยากส่งความเห็น ผ่าน e-mail ได้หรือไม่ ไม่สะดวกส่ง fax
ควรเปิด ให้ส่งความเห็น ผ่าน web ได้ด้วย
ควรมีสภา ประชาชน เพิ่มด้วย
ลดจำนวน สส ลง
ผู้ทำงาน การเมือง จะต้องเปิด หลักฐาน การเสียภาษีด้วย

แนวทางใหม่ในการเลือกตั้งที่สมดุลย์อำนาจของคนเมืองกับคนรากหญ้า

ผมมีแนวทางใหม่ในการเลือกตั้งที่สมดุลย์อำนาจของคนเมืองกับคนรากหญ้าได้ครับ

จากปัญหาที่ว่าคนในแต่ละส่วนในสังคมมีแนวคิดต่างกันระหว่าง

1. คนที่เสียภาษี
2. คนที่ใช้ภาษี
3. กับคนได้รับผลประโยชน์จากภาษี

คนที่เสียภาษีบอกว่าคนใช้ภาษีโกง ก็เงินของกูอ่ะ เอาไปแล้วก็ใช้ดีๆหน่อยดิ อย่ากแดรกกันจนไม่ลืมหูลืมตา

แ ต่คนได้รับผลประโยชน์บอกว่าไม่เป็นไร คนใช้ภาษีบริหารงานดี เป็นเลิศ กูได้ผลประโยชน์ ถือว่าดีแล้ว กูเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ประเทศเป็นของพวกมรึงหรือไง โวยวายอยู่ได้
(แล้วคนกลุ่มนี้ก็เป็นข้ออ้างให้กับคนใช้ภาษีเป็นอย่างดี )

***** เพื่อเป็นกลางระหว่างคนเสียภาษีที่เป็นเจ้าของเงิน และคนได้รับผลประโยชน์ผู้บอกว่าเป็นคนส่วนใหญ่เป็นรากหญ้า เป็นเจ้าของประเทศตัวจริง
ก็ต้องหาคนใช้ภาษีที่เป็นคนของทั้งสองฝ่ายอย่างสมดุลย์

การคัดสรรคนใช้ภาษีก็ให้ weight ตามมูลค่าภาษีเงินได้บุคคลฯที่เสียแต่ละปีดีมั้ย
โ ดยทุกคนจะมีคะแนนน้ำหนักที่ 1 แล้ว + ด้วยสัดส่วนของ ภาษีเงินได้ขอแต่ละคน ต่อเงินได้ทั้งหมด(เฉพาะภาษีเงินได้) ของเขตเลือกตั้งนั้นๆ สูตรน้ำหนักคะแนนก็จะง่ายๆดังนี้

นำหนักคะแนน = 1 + (จำนวนคนที่มีสิทธิเลือกตั้งในเขต X (ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา / รวมภาษีรายได้บุคคลธรรมดาของทั้งเขตเลือกตั้ง))

ดังนั้น หากเขตการเลือกตั้ง มี 100 คน จะมี 200 คะแนนเต็ม
โดย 100 คะแนนแรกมาจากสิทธิ์พื้นฐานของทุกคนที่ได้
และ 100 คะแนนหลังจะได้จากสิทธิตามภาษีของแต่ละคน

ดังนั้น คะแนนของคนที่เสียภาษี แม้จะมีน้อยคนแต่น้ำหนักคะแนนไปคูณกับผลที่เค้าเลือก ก็มีน้ำหนักเท่าๆกันคนส่วนใหญ่ที่ไม่เสียภาษี เหมือนกัน
ดังนั้น ประชาธิปไตย์ไม่ได้แปรว่าเสียงส่วนใหญ่อย่างเดียว แต่เป็นเสียงส่วนใหญ่ตามสิทธิ์ที่เค้ามีส่วนรับผิดชอบกับสังคมด้วย

และในการ implement แนวคิดนี้ดังต่อไปนี้

*** คะแนนนี้จะระบุไว้ในทะเบียนผู้มีสิทธิลงคะแนนแต่ละหน่วยเลือกตั้ง
*** และจะถูกเขียนลงในบัตรลงคะแนนของแต่ละคนตอนรับบัตรเลือกตั้ง
*** คะแนนนี้ไม่ละเอียดมากเพื่อใม่ให้เกิดความแตกต่างกันที่ทศนิยมแล้วทำให้การตรวจสอบย้อนหลังถึงคะแนนได้ภายหลัง
*** คะแนนนี้จะถูกนำไปคูณกับผลการเลือกตั้งที่เค้าเลือกตอนนับคะแนน

# ด้วยวิธีนี้ จะทำให้คนที่เสียภาษีรู้สึกว่าคะแนนเค้ามีค่ามากขึ้น ถ้ายังแพ้คนที่มีคะแนนน่อยกว่าอยู่ก็ต้องยอมรับ ถือว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่จริงๆ
ไม่ใช่เหมือนปัจจุบัน ที่เสียภาษีไปมากมาย แต่คะแนมีค่าแค่ 1 เท่ากับคนที่ไมเคยเสียภาษีที่เลือกคนที่ให้เงินให้ทองเข้ามาทำลายประเทศ

# ด้วยวิธีนี้ คนรากหญ้าที่ไม่ได้เสียภาษีมากมาย คะแนนที่ของเค้าโดยกล้าวหาว่าซื้อขายกันมาก็ไม่ได้มีน้ำหนักต่อบ้านเมืองมาก นัก ไม่มีผลมากมาย

!!!! แต่ แนวคิดนี้ออกจะผ่าโลก ผ่าแนวคิดที่ว่าประชาธิปไตย์คือความเสมอภาค แต่กลายเป็นมองว่าประเทศเหมือนห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งจริงๆมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ

อาจจะฝืนความรู้สึกของนักประชาธิปไตยทั้งหลายแหล่ แต่มันก็หุบปากของทุกส่วนในสังคมได้ไม่ใช่เหรอครับ

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

รูปแบบการเมืองใหม่ เสนอโดย นายทวิช จิตรสมบูรณ์

สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในการเมืองใหม่

1. ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกลไกจากเดิมเพื่อประกันได้ว่าจะได้คนเก่งคนดีเข้าไปบริ หารบ้านเมือง หรือ อย่างน้อยที่สุดได้คนเลวน้อยลงกว่าเดิม
2. ต้องมีกลไกถอดถอนรัฐบาลโดยรัฐสภาที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสียงข้างมากของพวกเดียวกัน
3. ต้องมีส่วนร่วมจากภาคอาชีพของมวลชน
4. ต้องมีการตัดสินความถูกผิดทางการเมืองที่ใช้ความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ใช่ใช้เสียงข้างมาก

ที่มาและแนวคิดพื้นฐาน

สังคมไทยแตกต่างจากสังคมตะวันตก (ตต) อย่างมาก โดยเฉพาะคนไทยไม่ได้มีนิสัยอิงตน (individualism) แบบ ตต. แต่มีนิสัยอิงผู้นำ (Leaderism) ดังจะเห็นได้ว่านักการเมืองไทยไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องตั้งกันเป็นก๊วนในพรรคการเมืองโดยแต่ละก๊วนมีผู้นำที่แข็งแกร่งที่สามาร ถต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองแทนตนได้ ลักษณะเช่นนี้ยังเป็นมูลเหตุของการซื้อขายเสียงในการเลือกตั้งผ่านระบบหัวหั วคะแนนท้องถิ่นเช่นกำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็น”ผู้นำ” ท้องถิ่น ระบบอิงผู้นำนี้นำสู่ระบบ ”อุปถัมป์” ซึ่งนำสู่การเสียสมดุลของการคานอำนาจในระบบประชาธิปไตย (ปชต) แบบตต. เพราะระบบนี้ตั้งอยูบนฐานที่ว่าจะเกิดการคานอำนาจกันจากการที่ผู้แทนแต่ละคน ทำหน้าที่อย่างอิสระโดยจิตสำนึกของตนเอง

ดังนั้นถ้าจะให้ระบบปชต. งอกงามในแผ่นดินไทย จำเป็นต้องปรับระบบเสียใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับนิสัยอิงผู้นำของคนไทย ก่อนที่เราจะสร้างระบบนี้พึงทำความเข้าใจบางสิ่งบางอย่างที่เราอาจไขว้เขวตา มที่ลอกเลียนแบบมาจากระบบปชต. ตต. เช่น พึงเข้าใจว่าประชาธิปไตยไม่ได้หมายความต้อง “เลือกตั้ง” เสมอไป เช่น พระพุทธเจ้าทรงปกครองสงฆ์ด้วยจิตวิญญาณปชต. แต่ก็ไม่ได้มีการเลือกตั้ง อนึ่ง การสรรหาผู้เข้ามาดำรงตำแหน่งนั้น (ถ้าเป็นการสรรหาที่บริสุทธิ์ยุติธรรม) หากพิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่าก็เป็นปชต. รูปแบบหนึ่ง เพราะผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อนั้นย่อมแสดงว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ และคุณงามความดีเป็นที่ยอมรับ จึงได้รับการเสนอชื่อเข้ามาให้สรรหา เท่ากับว่าเขาเหล่านั้นได้ “รับเลือก” ให้เป็น “ผู้แทน” จึงเป็นปชต. โดยปริยาย

จึงขอเสนอรูปแบบปชต.ไทยใหม่ดังนี้

รูปแบบ ก.

1. สส. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด โดยอาจมีจำนวนประมาณ 250 คน และ สว. มาจากการกำหนดโดยกฎหมายและการสรรหาทั้งหมด จำนวนประมาณ 100 คน เพื่อคานอำนาจกันอย่างสร้างสรรค์ระหว่างผู้แทนจากการเลือกตั้ง กับผู้แทนตามสาขาอาชีพของภาคประชาชน

2. สภาผู้แทนฯ เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี และรมต. เพื่อให้วุฒิสภาลงมติเห็นชอบ ทั้งนี้ สส. จำนวน 1 ใน 5 สามารถเสนอได้หนึ่งชื่อ ต่อหนึ่งตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นสส. หรือคนนอกก็ได้ (ดังนั้นจะได้ชื่อนายกฯสัก 3-4 คน และ รมต. สัก 3-4 คนต่อหนึ่งตำแหน่ง) จากนั้นสว. คัดเลือกนายกฯและ รมต.ทุกตำแหน่งโดยการให้แต่ละคนแถลงวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ/กระทรวง ตามด้วยการอภิปรายทั่วไป จากนั้นก็โหวตลงมติเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งต่างๆ
· การซื้อเสียงจะไม่มีผลต่อการเมืองมากเหมือนก่อน เพราะแม้ได้เสียงข้างมากในสภาก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เป็นนายกฯ หรือ รมต. เสมอไป แต่ละพรรค(หรือกลุ่มพรรค) จะแข่งขันกันส่งแต่คนเก่ง คนดี เข้าไปชิงตำแหน่งรมต. (มิฉะนั้นคงไม่ได้รับเสียงโหวตจากสว.) นายกฯ และครม. ขี้เหร่จะหมดไปโดยปริยาย
· มีความเป็นไปได้ว่านายกฯจะไม่ได้มาจากพรรคเสียงข้างมาก และ ครม. จะมาจากหลายพรรคการเมือง รัฐบาลผสมแบบนี้อาจดูเหมือนว่าจะทำงานยากสักหน่อย แต่กลับกลายเป็นข้อดีของการคานอำนาจกันโดยปริยาย และอย่าลืมว่าทำให้มีตัวเลือกมากขึ้นในการเลือกคนที่เก่งที่สุด ดีที่สุด จากทุกพรรค นโยบายที่ขัดแย้งกันจะเป็นประเด็นให้อภิปรายโต้แย้งกันเพื่อเค้นนโยบายที่ดี ทีสุดออกมาตามหลักการประชาธิปไตย เช่น ถ้านายกฯมีนโยบายประชานิยม สั่งให้รมว. กระทรวงมหาดไทยซึ่งมาจากต่างพรรคนำไปปฏิบัติ รมว. อาจไม่เห็นด้วย ก็ส่งไปให้สภากระทรวงทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการ

3. จัดให้มี “สภากระทรวง” เพื่อทำหน้าที่พิจารณาออกกฎระเบียบกระทรวง แผน นโยบาย และงบประมาณ ตลอดจนกำกับดูแลการทำงานของรมต. สภานี้มีสมาชิกที่มีความเป็นกลางโดยให้มาจากคณะกรรมาธิการของ สว. ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงนั้น ผนวกกับข้าราชการประจำกระทรวงระดับ c10 ขึ้นไป
· การโกงกินจะลดน้อยลงไปมากเพราะการโกงกินส่วนใหญ่ที่ผ่านมาเกิดในระดับกระทรว ง เนื่องจากรมต.ใช้อำนาจได้โดยไม่มีกลไกตรวจสอบระดับกระทรวง แผน นโยบายกระทรวงจะรัดกุม รอบคอบ โปร่งใสมากขึ้น

4. การลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะหรือเป็นรายบุคคล ให้สส. เป็นฝ่ายเสนอ และอภิปราย แต่ให้ สว. มีอำนาจลงมติแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะถ้าให้สส. โหวต พรรคที่มีเสียงข้างมาก แต่ไม่ได้รับเลือกเป็นนายกฯอาจโหวตให้นายกฯออกได้โดยง่าย ในทางตรงข้ามถ้านายกฯมาจากพรรคเสียงข้างมาก ก็จะโหวตให้อยู่ต่อเสมอแม้ว่าจะผิดหรือเลวสักเพียงใดก็ตาม

5. การพิจารณากฎหมาย และการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เช่นกัน ให้ สส. อภิปราย ข้อดีข้อเสีย แล้วให้ สว. เป็นผู้ลงมติ ไม่เช่นนั้นเสียงข้างมากของ สส. ที่มีผลประโยชน์ซ้อนทับกับกฎหมายฉบับนั้นก็จะลากกฎหมายประเทศไปเพื่อให้ได้ป ระโยชน์ของพวกเขาเสมอ
· ระบบนี้ สว. จึงเปรียบเสมือนคณะลูกขุนที่เป็นกลาง ที่คอยตัดสินกิจการบ้านเมือง แต่ต้องฟังข้อดีข้อเสียที่อภิปรายกันของสส. ทั้งหลายเสียก่อน ส่วนสส. เปรียบดังทนายโจทก์จำเลยที่เอาเหตุผลข้อมูลมาตีแผ่เพื่อจูงใจลูกขุน และระบบลูกขุนเป็นระบบที่ยอมรับแพร่หลายในระบบศาลสถิตยุติธรรมของอารยประเทศ ทั้งหลาย การเอามาปรับใช้ในระบบรัฐสภาแบบนี้จึงน่าจะเป็นที่ยอมรับได้และนับว่าเหมาะส มกับสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง

6. สว. (ซึ่งสำคัญมากในการเมืองรูปแบบนี้) ให้มาจากการแต่งตั้งตามที่กฎหมายกำหนดและการสรรหา ที่ผ่านมาปรากฎว่าเราสรรหาได้สว.ที่มีคุณภาพดีทีเดียว ไม่ขี้เหร่เหมือนสส.ที่มาจากการเลือกตั้งบางกลุ่ม ดังนั้นจะต้องกำหนดและสรรหา สว. อย่างมั่นใจได้ว่า เป็นคนดี เป็นกลางทางการเมือง มีความรู้และสนใจในกิจการบ้านเมือง และต้องมีเวลาด้วย คือต้องทำงานเต็มเวลา สมาชิกสว. อาจมีประมาณ 100 คน ดังนี้:
· ปลัดกระทรวงเกษียณกระทรวงละ 1 คน
· ผู้พิพากษาศาลฎีกาเกษียณจำนวนเท่ากับปลัดกระทรวง
· ผู้แทนกลุ่มอาชีพที่สำคัญ ตามที่กฎหมายกำหนด (ประมาณ 20 คน)
· นักวิชาการสาขารัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การพาณิชย์บัญชี สังคมศาสตร์ สาขาละ 5 คน
· ประชาชนทั่วไปจากหลากหลายอาชีพ 50 คนที่เสนอโดยสมาคมสื่อสารมวลชน และรับรองโดย 4 กลุ่มข้างต้น

ระบบการเมืองใหม่ที่เสนอนี้ยังมีข้อดีแฝงโดยอ้อมอีกหลายประการ เช่น
· พรรคการเมืองที่ได้ปริมาณสส.น้อยแต่มีคุณภาพสูงอาจจะได้เข้าไปเป็น รมต. มาก เป็นแบบอย่างที่ดีให้พรรคอื่น แข่งขันกันพัฒนา สส. ให้มีคุณภาพมากขึ้น สส. คุณภาพสูงยังจะสามารถอภิปรายในสภาได้อย่างน่าเชื่อถือ ทำให้สว. ลงมติเห็นคล้อยด้วย แต่หากมีแต่ปริมาณแล้วคุณภาพต่ำ ก็คงไม่สามารถโน้มน้าว สว. ให้ลงมติสนับสนุนญัตติของพรรคตนได้
· กลุ่มพรรคที่มีจำนวน สส.รวมกันได้ 1 ใน 5 อาจได้ตำแหน่งรมต. หลายตำแหน่ง (เกินสัดส่วน สส.) ถ้าส่งคนดีเข้าประกวดและมีนโยบายที่ดี ที่โน้มใจสว. ได้ ทำให้พรรคเล็กพรรคน้อยไม่ต้อง “ขายตัว” เพื่อเข้าไปร่วมรัฐบาลเหมือนก่อน เพียงเพื่อแลกกับโควตารมต. 1-2 คน ซึ่งจะช่วยให้มีการถอนทุนน้อยลงไปด้วย
· ไม่มีพรรคการเมืองใดที่จะมีนโยบายดีไปเสียหมดในทุกเรื่อง รัฐบาลคละผสมแบบนี้จะได้นำนโยบายดีๆ ของแต่ละพรรคมาบูรณาการกัน และประนีประนอมกัน
· ภาคประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรงผ่านการเป็น สว. และเป็นสมาชิกสภากระทรวงอีกโสดหนึ่ง
· การเป็นศัตรูกันของแต่และพรรคการเมืองจะลดน้อยลง เพราะแต่ละพรรคต่างก็”ร่วมรัฐบาล” ด้วยกันทั้งสิ้น ความสามัคคีกันทำงานเพื่อประเทศชาติจะมีมากขึ้น

รูปแบบ ข.

เหมือน ก. ทุกอย่าง แต่ให้ สส. “โดยเสียงข้างมาก” (ไม่ใช่เพียง 1 ใน 5 เหมือน ก. ) เสนอชื่อ นายกฯ และ รมต. ตำแหน่งละ 3 ชื่อขึ้นไปให้ สว. คัดเลือก

รูปแบบ ค.
เหมือน ก. ทุกอย่างเพียงแต่คราวนี้ ให้ สว. สรรหานายกฯ และ รมต. ซึ่งเป็นคนนอก เข้ามาให้ สส. รับรอง โดยเสียงข้างมาก ถ้าสรรหามา 3 ครั้งยังไม่ยอมรับก็ให้ถือเอาคนที่ได้รับคะแนนโหวตยอมรับมากที่สุดเข้าดำรงต ำแหน่ง วิธีนี้มีข้อดีคือจะได้คนที่เก่งสุด ดีสุดในประเทศไทยเป็นนายก และ รมต. ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

รูปแบบ ง จ ฉ ช
สามารถเกิดได้โดยการผสมผสานกันไปมา แต่อย่างไรขอให้คงระบบ สว. กำหนดและสรรหา และใช้ระบบลูกขุนสว. ในการแก้ รธน. และ ถอดถอนรัฐบาล

.................................................................เสนอโดย นายทวิช จิตรสมบูรณ์

ข้อเสนอ การเมืองภาคประชาชน

เราต้องเอาหลักที่ว่า เป็นของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชน ซึ่งจะมีการส่งผ่านได้2ทางคือ
1.พรรคการเมือง กฎหมายพรรคการเมือง50 สนับสนุนให้มีการซื้อเสียง คือเอาจำนวนสส.เป็นเกณฑ์สำคัญในการจัดสรรเงินสนับสนุนพรรคการเมือง ทำให้เกิดนายทุนสามานย์ใช้เงินซื้อพรรค ซื้อสส. ซื้อผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง(ไม่ใช่ซื้อเสียงแค่วันเลือกตั้งแต่ซื้อแบบถาวร เพื่อเป็นกลุ่มจัดตั้ง) จากสถิติตั้งแต่2544 พรรคที่ทุจริตมากที่สุด จะได้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองมากที่สุดถึงปีละประมาณปีละ50-60ล้านบาทต่อปี กกต. เลขาธิการกกต. รองเลขาธิการกกต. ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก แล้วแก้กฏหมาย ให้กกต.มาจากการเลือกตั้งตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตัวแทนหมู่บ้านเลือกตั้งตัวแทนตำบล/แขวง แล้วเลือกตั้งตัวแทนอำเภอ/เขต ไปจนถึงได้ตัวแทนจังหวัด76คน เลือกกันเองเป็นประธานกกต.(จะเป็นกกต.จังหวัดด้วย) ประธานจะสรรหาเลขาธิการและจะหมดวาระพร้อมประธาน ยกเว้นประธานคนใหม่ยังเลือกอยู่ การลงมติต่างๆถือเสียงข้างมาก ประธานไม่มีสิทธิ์ออกเสียงยกเว้น การชี้ขาดเมื่อเสียงเท่ากัน ออกกฎหมายสนับสนุนพรรคการเมืองโดยให้งบประมาณเท่ากันทุกพรรค เช่นค่าเช่าที่ทำการพรรคเดือนละ30,000-บาท เงินเดือนผู้อำนวยการพรรค20,000- เจ้าหน้าที่ธุรการ10,000- เจ้าหน้าที่บัญชี10,000- นักการภารโรง8,000- งบประมาณโครงการเข้าที่ประชุมแต่ละโครงการตามเหตุผลและความจำเป็น เป็นต้น พรรคไหนต้องการใช้งบมากกว่านั้นหาเงินเอง หากได้มาจากก็ทุจริตก็ต้องถูกยุบพรรค เมื่อประกาศผลคะแนนสส.เสร็จต้องตรวจสอบการทุจริตให้เสร็จภายใน1เดือน สส.คนใดมีหลักฐานเชื่อได้ว่าทุจริต ไม่มีสิทธิ์ลงเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นการรับรองสส.คือผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว
ในส่วนของการคัดเลือกตัวแทนพรรคเพื่อลงสมัครสส. ให้เป็นมติที่ประชุมใหญ่เท่านั้น
การเมืองภาคประชาชน ให้สภาระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด เพื่อตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล
การกำหนดวาระสส. จะเป็นติดต่อกันทุกสมัยไม่ได้เพื่อป้องกันการยึดติดเป็นอาชีพตั้งแต่หนุ่มจน แก่ แต่ให้ปลูกฝังว่าเป็นการเสียสละเพื่อมาทำประโยชน์ให้ประชาชน
การกำหนดวาระนายกและครม.จะเป็นติดต่อกัน2วาระไม่ได้เพื่อไม่ให้เกิดช่องทางก ารทุจริตแต่ขณะเดียวกันก็ควรมีเวลาได้ทำงานต่อเนื่อง

พวกเราจึงสมควรจัดการ ทำลายการปล้นงบแสนล้าน

เรียน 5 แกนนำพันธมิตร และฝ่ายวางแผนทุกท่าน
ขณะนี้ รัฐบาลโจรปล้นชาติทักษิณที่กำลังจะปล้นชาติให้ล่มจม
ได้เผยจุดตายจุดอ่อนออกมาอีกแล้ว
ด้วยความโลภมากคิดจะ กินงบประมาณอย่างชั่วร้าย
ทำให้ก้างติดคอตาย
เพราะไปเพิ่มงบประมาณเกินกำหนดจนขัดรัฐธรรมนูญมีผลให้งบประมาณที่กำลังจะเข้าปาก ต้องแท้งตกทั้งฉบับ
เพราจากวาระ เดิมหักลดงบประมาณไว้ 45,009 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าในเวลาต่อมา ครม.ของไอ้หอกหักสมัคร สุนทรเวช
ได้ประชุมเมื่อวันที่ 5 ส.ค.2551 ขอเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ให้ปรับเพิ่มอีก 91,939.28 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่
เกินกว่าวงเงินที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ปรับลดไว้จำนวน 45,009 ล้านบาท โดยเป็นวงเงินที่เกินกว่าเดิมอีก
ถึง 46,930 ล้านบาท ซึ่งถือว่ากระทำมิได้ เป็นโมฆะ ขัดรัฐธรรมนูญอดรับประทานกันทั้งก๊ก
ขอให้พี่น้องพันธมิตรอย่าปล่อยให้มันปล้นเงินชาติ ไปง่าย ๆ จนประเทศชาติ เข้าสู่ความล่มจมสมใจ ตามแผนของทักษิณ
หัวหน้าโจรที่ต้องการนำชาติไทย ให้ล่มจมโดยเร็ว
โดยตั้งงบก่อหนี้มหาศาล เพื่อให้
IMF และไอ้ท้กษิณมันกลับมาจัดการ ได้ง่าย ๆ อีกรอบ
พวกเราจึงสมควรจัดการ ทำลายการปล้นงบแสนล้านในครั้งนี้ ให้พวกมันหมดทุนรอนหมดสภาพในที่สุด
เคน

“สุริยะใส” เผยกรอบการเมืองใหม่ เลือกตั้งทั้งหมด โดยตรง-ตัวแทนสาขาอาชีพ

“สุริยะใส” เผยกรอบการเมืองใหม่จะมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการเลือกตั้งโดยตรง และการเลือกตั้งจากตัวแทนสาขาอาชีพ เพิ่มอำนาจภาค ปชช. การมีส่วนร่วม รวมถึงการเรียกคืนอำนาจจากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ไม่เป็นธรรม ส่วนนักการเมือง ต้องลงนามในสัตยาบันจริยธรรม ก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง ระบุ 27 ก.ย.เปิดให้ตัวแทนภาคต่างๆ ร่วมประชุมหารือ “เจิมศักดิ์” ย้ำถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง
      
       
วันนี้ (21 ก.ย.) เมื่อเวลา 17.30 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงผลการประชุมวางกรอบการเมืองใหม่ว่า ที่ประชุมได้นิยามการเมืองใหม่ ว่าเป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท ้จริง มุ่งเทิดทูนสถาบัน และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม และสร้างความเป็นธรรมอย่างแท้จริง การเข้าสู่การเมืองใหม่ ต้องมีการปฏิรูปการเข้าสู่อำนาจ โดยที่ประชุมเห็นว่า ส.ส.จะต้องมาจากการเลือกตั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่แบ่งเป็นการเลือกตั้งโดยตรง และการเลือกตั้งจากตัวแทนสาขาอาชีพ
      
       ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวว่า นักการเมืองจะต้องไม่ใช่อาชีพที่เข้ามาแสวงประโยชน์หรืออำนาจ นักการเมืองต้องมีจริยธรรม ต้องลงนามในสัตยาบันจริยธรรม ก่อนเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง นอกจากนี้การเมืองใหม่จะต้องเพิ่มอำนาจภาคประชาชน ทั้งการมีส่วนร่วม และการเรียกคืนอำนาจจากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ไม่เป็นธรรม
      
       นายสุริยะใส กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้การเมืองเก่าล้มเหลว มาจากการได้มาซึ่งอำนาจ ที่ขัดต่อจริยธรรมและกฎหมาย การเลือกตั้งที่มีระบบอุปถัมภ์ของนักการเมืองและนายทุน ที่ไม่ยึดหลักนิติธรรม ประกอบกับนักการเมืองที่ยอมให้นายทุนสามารถซื้อได้ และประชาชนขาดการมีส่วนร่วม โดยถึงสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ได้อย่างจำกัด
      
       เมื่อถามว่าได้คุยกันถึงสัดส่วนการเลือกตั้งจากสาขาอาชีพหรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า ที่ประชุมยังไม่ได้คุยถึงขั้นนั้น เป็นเพียงการกำหนดกรอบกว้างๆ และจะประชุมครั้งต่อไป วันที่ 27 กันยายน เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวแทนภาคส่วนต่างๆ เช่น ผู้พิการ ชนกลุ่มน้อย คนจนเมือง และตัวแทนเอ็นจีโอเข้าร่วม
      
       ด้าน นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า การเลือกตั้งแบบเดิม มุ่งไปที่บทบาทของพื้นที่ ซึ่งมีความหลากหลาย และในท้องถิ่นขาดข้อมูลข่าวสาร จึงสามารถถูกครอบงำโดยระบบอุปถัมภ์ได้โดยง่าย ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ต้องเปลี่ยนแปลง
      
       รายงานข่าวแจ้งว่า แกนนำพันธมิตรฯ จะนำผลสรุปมาขอฉันทามติจากที่ชุมนุม และจะเชิญองค์การภาคประชาสังคมต่างๆ มาหารืออีกครั้งในประเด็นเศรษฐกิจและสังคมในวันที่ 27 ก.ย.นี้

“พิภพ” ย้ำการเมืองใหม่ชาวบ้านต้องมีส่วนร่วมปกป้องทรัพยากร

ผู้จัดการออนไลน์ - “พิภพ” ย้ำการเมืองใหม่ต้องแก้แก้ไขปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ ชาวบ้านในพื้นที่ต้องมีส่วนร่วมกับการเมือง เพื่อสร้างรัฐบาลที่เข็มแข็งในการปกป้องทรัพยากรของประเทศจากกลุ่มทุนต่างชา ติและนักการเมืองชั่ว
      
       เมื่อเวลา 22.35 น. วันที่ 21 ก.ย. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยบนเวทีหน้าทำเนียบรัฐบาลว่า ตอนแรกจะพูดถึงการเมืองใหม่ แต่เมื่อฟังนายสนธิ ลิ้มทองกุล พูดถึงทรัพยากรธรรมชาติ ก็อยากจะพูดเรื่องดังกล่าว เพราะการเมืองใหม่จะต้องเข้าแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในพื้นที่ประเทศไทยในนั้น มีการแย่งทรัพยากรธรรมชาติ ในเรื่องแร่ ป่า ดีบุก ซึ่งมีการทำลายแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอื่นด้วย
      
       ตลอด 30 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีข่าวชาวบ้านเล็กๆ ถูกยิงถูกจับ ซึ่งผมทำงานองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) และเมื่อเป็นเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในสมัยนั้น ทำให้ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชาวบ้าน ซึ่งเรื่องนี้มีการต่อสู้ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติในระดับพื้นที่ ระดับชุมชน ซึ่งเป็นที่น่าสลดใจว้าคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจพวกเขา และมักกล่าวหาว่าเป็นพวกขัดความเจริญ การเปลี่ยนแปลง
      
       ดังเช่น เวลาชาวบ้านคัดค้านท่อก๊าซฯจากพม่า ซึ่งเราได้ต่อสู้ว่าไม่ควรวางผ่านลุ่มน้ำหนึ่งเอ ที่เมืองกาญจน์ เพราะเป็นต้นน้ำแควใหญ่ และแควน้อย อีกทางปลายน้ำคนกรุงเทพต้องใช้น้ำดิบมาทำน้ำประปาใช้ด้วย ใครก็หาว่าขัดขวางความเจริญ จริงๆ แล้วต้องการขัดขวางการวางท่อในลุ่มน้ำดังกล่าวเท่านั้น เพราะไม่ต้องการให้เกิดความเสียหายต่อธรรมชาติที่มีความสำคัญของประเทศ เพียงแต่บางคนไม่เข้าใจ และก็โดนโจมตีในเรื่องนี้ ว่ารับเงินจากสิงคโปร์
      
       “เวลาเราต่อสู้ในเรื่องนี้ถ้าระดับโลก ต้องมีรัฐบาลรักชาติไม่ขายชาติจึงจะสามารถต่อสู้ได้ ดังนั้นถ้าเราเปลี่ยนการเมืองใหม่ให้ดูแลทรัพยากรธรรมชาติต้องเป็นการเมืองใ หม่ที่ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วม แต่รัฐบาลที่ผ่านมาเป็นรัฐบาลของกลุ่มทุนต่างชาติ จึงเปิดไฟเขียวไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังลุกลามไปถึงระบบราชการ ที่มักเข้าข้างผู้รับสัมปทานจากรัฐ จนต่างชาติเอาประโยชน์จากชาติของเราไป อาทิ เหมืองโปรแตสที่ จ.อุดรธานี ที่ให้สัมปทานต่างชาติไป แล้วเขาก็เอามาขายเรา อีกทั้งยังไม่ดูแลในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย”
      
       นายพิภพ กล่าวว่า ส่วนตัวเป็นคนอ่างทอง ซึ่งมีทรายมหาศาลใต้ดิน แต่ด้วยการเมืองที่เป็นการเมืองเก่าซึ่งเป็นกลุ่มทุน ที่หวังปรนะโยชน์ไม่คำนึงสิ่งแวดล้อม ตำรวจก็ไม่สนใจเดี๋ยวนี้ตลิ่งพังหมด ชาวบ้านต้องย้ายหนี โดยในอนาคตป่าโมก จ.อ่างทอง พื้นที่จะยุบลงไปกลายเป็นทะเลสาบ หากชาวบ้านออกมาพูด บางรายก็ถูกฆ่า ทั้งนี้ การเมืองใหม่ต้องมีเรื่องทรัพยากรธรรมชาติด้วย ต้องใช้เพื่อประเทศชาติ และต้องดูว่ากระทบกับชาวบ้านในพื้นที่ด้วยหรือไม่
      
       นอกจากนี้ ยังมีที่บางสะพานน้อย ซึ่ง บมจ.สหวิริยา จะทำโรงถลุงเหล็กที่หาดแม่รำพึง ชาวบ้านจะต่อสู้ก็โดนข่มขู่ ปรากฏว่าหาดดังกล่าวแต่เดิมเป็นที่วางไข่ของปลาทูจำนวนมากทำให้หาดดังกล่าวไ ม่น่าอยู่ และปลาใช้วางไข่ไม่ได้ ซึ่งเดิมการเมืองเก่าจะร่วมกับรัฐบาลที่เข้าข้างกลุ่มทุน และปล่อยหตำรวจดูแลสหวิริยา ซึ่งเหมือนกับพวกเราขณะนี้ที่ตำรวจวางเฉย ปล่อยให้ นปก.เข้ามาไล่ตีเรา
      
       “ผมอยากชี้ให้เห็นว่า การเมืองใหม่นี้เป็นคำตอบจริงๆ ถ้าเราได้รัฐบาลที่รักชาติไม่ขายชาติและได้การเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วม เราก็สามารถสู้กับต่างชาติได้ เพราะถ้าไม่มีรัฐบาลที่เป็นรัฐบาลรักชาติ และประชาชนไม่มีส่วนร่วม รัฐบาลก็จะไม่สามารถรักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้ได้ ดังนั้นในการประชุมสัมมนาวันนี้ จึงเน้นว่าการเมืองใหม่ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับการเมือง เพื่อร่วมต่อสู้ปกป้องทรัพยากรในพื้นที่” นายพิภพ กล่าว
      
       นายพิภพยังกล่าวถึงโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียที่คลองด่าน จ.สุมทรปราการ ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ เช่น พันธุ์ปลา พื้นที่ปลาชายเลนด้วย ซึ่งยังรวมถึงการให้ชาวบ้านในพื้นที่ป่าสงวนมีส่วนร่วมกับการปกป้องป่าหมายจ ากกลุ่มทุน ให้มีความรับผิดชอบร่วมกันเปิดสิทธิให้เขา เพราะถ้าชาวบ้านอยู่กับป่าได้ชาวบ้านก็จะไม่เข้าเมืองมาทำมาหากิน ขณะเดียวกันได้ย้ำว่า การเมืองใหม่นี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของนักการเมืองฝ่ายเดียวแล้ว แต่จะเป็นเรื่องของประชาชนด้วย ซึ่งเรื่องนี้รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน อาทิ พันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นต้น
      
       แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวย้ำว่า ประเทศไทยต้องมีรัฐบาลที่แข็งแรง รักชาติ ถึงจะสามารถต่อสู้กับทุนต่างแดน ในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของเราไว้ได้ ซึ่งในที่นี้ต้องรวมถึงความร่วมมือร่วมใจของประชาชน ความตื่นตัวของภาคประชาชน หรือความตื่นตัวของภาคพลเมืองด้วย ซึ่งการเมืองใหม่นี้ จะทำให้ส่วนราชการทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการที่ดี สามารถรับใช้การเมืองที่ดีได้ แต่การเมืองเก่าพวกเหล่านี้ไม่สามารถทำได้ จึงมีแต่ข้าราชการที่ไม่ดีที่คอยรับใช้นักการเมือง ดังเช่นข่าวในที่ผ่านๆ มา
      
       ขณะเดียวกัน ในการดูแลทรัพยกรธรรมชาตินี้ การที่จะเปลี่ยนวิธีการทำงานให้ประชาชน ข้าราชการที่ดีทำงานร่วมกันนั้น ต้องเปลี่ยนวิธีคิดของชาวบ้านด้วยว่าเขาต้องการอะไร มิเช่นนั้นพอไม่เข้าใจกัน ก็อาจทำให้ชาวบ้านต้องอพยพเข้าเมืองมาทำมาหากิน แต่การเมืองใหม่ต้องการกระจายประชาชนกลับสู่ท้องถิ่น ดังนั้นเราต้องให้คำตอบในเรื่องนี้ให้ได้ อาทิ ชาวนา ต้องทำแล้วไม่เป็นหนี้ ชาวนาต้องอยู่ได้ สามารถให้ลูกหลานเรียนได้โดยไม่เสียเงินเป็นต้น
      
       “นี่คือสิ่งที่ผมอยากพูดในเรื่องของการเมืองใหม่ ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมปกป้องทรัพยากร ซึ่งตราบใดที่มีพรรคพลังประชาชนอยู่การเมืองใหม่เกิดขึ้นไม่ได้แน่นอน ซึ่งผมคือว่า 100 กว่าวันมานี้เราทำความเข้าใจเรื่องชัดแจ้ง แต่วันนี้เป็นเรื่องที่ลึกลงมาอีกชั้น ซึ่งวันต่อไปจะขอพูดเรื่องการเมืองใหม่กับการศึกษา การเมืองใหม่กับการปฏิรูปสื่อให้มีความเป็นกลาง เป็นสาธารณชนมากขึ้น” นายพิภพ กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

การพัฒนาสุขภาพอย่างมีส่วนร่วมของสตรีวัยเจริญพันธุ์ในชุมชนต่อการป้องกันมะเร็งเต้านม


Participatory Health Development of Woman in Community to Preventive Breast Cancer



สมใจ วินิจกุล
Somjai Vinijkul
อรวรรณ แก้วบุญชู
Orawan Kaewboonchoo



การพัฒนาสุขภาพอย่างมีส่วนร่วม เป็นกลวิธีในการสร้างเสริมสุขภาพอนามัยของสตรีในชุมชน โดยการส่งเสริมสนับสนุนให้กลุ่มสตรีได้เกิดการเรียนรู้ถึงสภาพปัญหาและค้นหา แนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้สามารถดูแลตนเองและพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพได้ โดยเฉพาะปัญหามะเร็งเต้านมซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยในสตรีวัยเจริญพันธุ์และพบมา กเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งปากมดลูกและเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญในสตรีไทย แต่ก็เป็นโรคที่รักษาได้และมีอัตราการรอดชีวิตค่อนข้างสูงถ้าตรวจพบในระยะเร ิ่มแรก ดังนั้น การส่งเสริมความรู้ ทัศนคติ สู่การปฏิบัติการตรวจเต้านมด้วยตนเอง เป็นวิธีหนึ่งในการตรวจหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรกได้ การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สตรีวัยเจริญพันธุ์ใน ชุมชน มีความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติเพื่อป้องกันมะเร็งเต้านมที่ถูกต้อง สามารถดูแลตนเองได้อย่างสม่ำเสมอ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาสุขภาพสตรีในชุมชนอย่างต่อเนื่อง กลุ่มตัวอย่าง คือ สตรีวัยเจริญพันธุ์ในชุมนหลังวิทยาลัยสารพัดช่างธนบุรี แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร จำนวน 71 คน รวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถาม การสนทนากลุ่ม การสังเกต และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า



1. สตรีกลุ่มตัวอย่างมีความรู้ และการปฏิบัติเพื่อป้องกันมะเร็งเต้านมอยู่ในระดับปานกลาง ( X = 6.35, SD = 1.65) และ (X = 2.21, SD = 0.26) แต่มีทัศนคติอยู่ในระดับดีมาก (X= 2.53, SD = 0.24)


2. ความรู้มีความสัมพันธ์ทางบวกกับทัศนคติ เพื่อป้องกันมะเร็งเต้านมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และความรู้มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการปฏิบัติเพื่อป้องกันมะเร็งเต้านมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


3. โครงการพัฒนาสร้างเสริมสุขภาพสตรีในชุมชน ประกอบด้วยกิจกรรมการจัดนิทรรศการสุขภาพอนามัยของสตรี และการอบรมความรู้เรื่องมะเร็งเต้านมและการตรวจเต้านมด้วยตนเองให้กับตัวแทนสตรี เป็นผลสืบเนื่องมาจากตัวแทนสตรีที่เข้าร่วมสนทนากลุ่มร่วมแสดงความคิดเห็น ค้นหาสาเหตุและเสนอแนวทางการแก้ปัญหาการป้องกันมะเร็งเต้านมของสตรีในชุมชน


4. ผลการดำเนินงานโครงการสร้างเสริมสุขภาพสตรีในชุมชน มีสตรีเข้าร่วมในกิจกรรมนิทรรศการสุขภาพ 68 คน จากจำนวนสตรีวัยเจริญพันธุ์ทั้งหมด 109 คน คิดเป็นร้อยละ 62.39 มีความพึงพอใจในกิจกรรมที่จัดร้อยละ 89.71 ได้รับความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 93.44 และสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้ร้อยละ 91.80 ตัวแทนสตรีที่ได้รับการอบรม 2 ใน 4 คน สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้การดูแลด้านสุขภาพกับสตรีในชุมชนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง


ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า กลยุทธ์การมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นแนวทางที่ควรได้รับการส่งเสริม เนื่องจากเป็นการกระตุ้นให้ชุมชนเกิดความตระหนักในปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดการยอมรับและค้นหาแนวทางแก้ไขปัญหาของตนเอง ดังนั้น บุคลากรสาธารณสุขควรสนับสนุนการมีส่วนร่วมของสตรีวัยเจริญพันธุ์ในชุมชนเพื่อป้องกันมะเร็งเต้านมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาสุขภาพอนามัยของสตรีที่ยั่งยืนต่อไป


ประสบการณ์การถูกทารุณกรรมของผู้สูงอายุ


Abused Experience of the Elderly



สิริลักษณ์ โสมานุสรณ์
Sirilak Somanusorn
ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานการพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา



การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบพรรณนา (descriptive qualitative research) ที่มุ่งศึกษาประสบการณ์การถูกทารุณกรรมตามการรับรู้ของผู้สูงอายุในด้านความหมาย ลักษณะ สาเหตุและผลของการถูกทารุณกรรม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกในผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์การถูกทารุณกรรมจำนวน 12 ราย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (content analysis) ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ผู้ให้ข้อมูลให้ความหมายของการทารุณกรรมผู้สูงอายุว่า หมายถึง การที่ตนเองไม่ได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือการถูกบังคับและการขัดใจจากผู้อื่น และลักษณะของการทารุณกรรม เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ได้แก่ การไม่ดูแล การไม่ร่วมสนทนา การเบียดเบียนทรัพย์สิน การให้ดูแลหลาน การให้ทำงานบ้าน การให้อยู่ดูแลบ้าน และการไม่ให้ร่วมกิจกรรมของครอบครัว ส่วนสาเหตุของการทารุณกรรมนั้น ผู้ให้ข้อมูลรับรู้ว่าเป็นผลมาจากทั้งตัวผู้ให้ข้อมูลและผู้กระทำซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกในครอบครัว สาเหตุจากผู้ให้ข้อมูลเอง ได้แก่ ความเจ็บป่วย ความยากจน และผลกรรม จากผู้กระทำการทารุณกรรม ได้แก่ การมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้สูงอายุ และการใช้สิ่งเสพติด การถูกทารุณกรรมนี้ส่งผลให้ผู้ให้ข้อมูลเกิดความทุกข์ใจ ต้องหลบหนี และไม่อยากมีชีวิตอยู่ ซึ่งการทราบถึงปัญหาการทารุณกรรมผู้สูงอายุนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับพยาบาลในการดูแลผู้สูงอายุต่อไป



Abstract



The purpose of this descriptive qualitative research was to describe abused experiences of the elderly as perceived in 4 aspects : meaning, characteristic, occurrence, and consequence of elder...


การเมืองใหม่ต้องประหยัดด้วยนะค่ะ

การเมืองใหม่ต้องประหยัดด้วยนะค่ะ

พวกเราช่วยกันเสนอแนะแกนนำหน่อยค่ะว่า สิ่งอำนวยความสะดวกที่แกนนำให้เราในทำเนียบมากเกินแล้วค่ะ เช่นแสงสว่างไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ประหยัดไว้ให้เอเอสทีวีไว้ใช้จ่ายดีกว่า เราจะได้อยู่กันนานนาน จนชนะ จอโปรแจ๊คถ้าแพงกว่าทีวี ใช้ทีวีแทนก็ได้คะ ที่ตรงไม่ได้ใช้ คืนเขาไม่ดีกว่าหรือคะ จะได้ประหยัด
ด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง

“พิภพ”หนุนการเมืองใหม่สร้าง ศก.พอเพียง-พึ่งตนเอง

“พิภพ”หนุนการเมืองใหม่สร้างระบบเศรษฐกิจพึ่งตัวเอง ลดการผูกขาดของทุนขนาดยักษ์ ทำเกษตรผสมผสาน พออยู่พอกิน เป็นมิตรกับธรรมชาติ กลับคือสู่รากเหง้าดั้งเดิมที่ถูกทำลายจากนโยบายรัฐยุค “ทักษิณ” แฉบอนไซสหกรณ์ออมทรัพย์ จนความหวังจะเป็นธนาคารท้องถิ่นต้องพังทลาย
      
       เวลาประมาณ 22.10 น. วันที่ 16 ก.ย. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีปราศรัย บริเวณทำเนียบรัฐบาลว่า วันนี้ตนรู้สึกแปลกใจที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ซึ่งเคยทำธุรกิจอยู่ในระบบทุนนิยมมาโดยตลอด กลับมีแนวคิดใหม่ อยากจะนำเมืองไทยกลับไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตะวันออก นั่นคือ การพึ่งพิงธรรมชาติ ทำลายธรรมชาติน้อยที่สุด และทำเศรษฐกิจแบบเล็ก ๆ เพื่อให้ประชาชนในทุกภาคส่วนสามารถทำธุรกิจได้เอง และสามารถพึ่งพาตัวเองได้
      
       ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าวของนายสนธิ ตรงกับความคิดของตนเป็นอย่างยิ่ง เพราะตนหวังมานานว่าต้องการเปลี่ยนแปลงให้ระบบของประเทศเรา กลับไปเป็นการลงทุนแบบตะวันออก แทนที่จะคิดแต่เลียนแบบระบบทุนนิยมของประเทศตะวันตก อย่างที่อดีตรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลชุดนี้กำลังดำเนินอยู่ เพราะทุกวันนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที่คิดแต่จะลงทุนแบบใหญ่ ๆ ใช้งบประมาณมหาศาลนั้น เมื่อเกิดการล้มแล้ว ก็จะล้มระเนระนาดไปจนหมด เช่นเดียวกับ วิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง
      
       ตัวอย่างเช่น ห้างค้าปลีกอย่างเทสโก โลตัส ที่เป็นห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ของต่างชาติ เมื่อเข้ามาในประเทศไทยแล้ว ก็ทำให้ร้านโชห่วยเล็กๆ ล้มหายไปจนหมด ทำให้ห้างเทสโก สามารถเป็นผู้สั่งซื้อรายใหญ่จนควบคุมราคาสินค้าเกษตรเอาไว้ได้ ส่งผลให้เกษตรกรไทย ถูกกดราคา ไม่มีอำนาจต่อรอง เนื่องจากไม่มีร้านค้าเล็ก ๆ ที่จะสามารถนำสินค้าไปขายได้แล้ว ก็ต้องขายให้แต่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามหากวันหนึ่ง หากเทสโก ขาดทุนแล้วล้มละลายไป เศรษฐกิจไทยก็จะพังไปเป็นแถบ ๆ เพราะเมื่อไม่มีห้างเทสโก เกษตรกรก็ไม่รู้จะเอาสินค้าไปส่งขายใคร อีกทั้งเงินทุนที่ห้างเทสโกกู้ยืมมาจำนวนมหาศาล ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจให้ปั่นป่วนไปทั่วโลกอีกด้วย
      
       ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ไม่สามารถทำให้คนไทยพึ่งพาตัวเองได้เลย ต่างจากในอดีตที่คนไทยยึดถือหลักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ ที่ฝรั่งชาวเยอรมันชื่อ อี.เอฟ.ชูมักเกอร์ นำไปเขียนเป็นหนังสือที่ชื่อ Small is Beautiful หรือ จิ๋วแต่แจ๋ว นั่นคือ การพึ่งพาธรรมชาติ และทำลายธรรมชาติน้อยที่สุด เวลาทำธุรกิจก็ทำเพียงเล็ก ๆ แบบพออยู่พอกิน เมื่อทำเกษตรกรรม ก็ทำแบบพึ่งพิงธรรมชาติโดยปลูกพืชผสมผสาน ทำให้ไม่ใช่ปุ๋ยเคมี ไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี อันจะส่งผลเสียต่อธรรมชาติ ดังนั้นความคิดของการเมืองใหม่ จึงไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่ในอดีตเคยมีการทำเอาไว้แล้ว แต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ต่างหากที่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของประเทศ ให้เป็นแบบทุนนิยมที่มีหลักคิดแบบต้องการชนะธรรมชาติ โดยไม่พึ่งพิงธรรมชาติ แต่กลับต้องพึ่งอำนาจทุน และสารเคมีจากประเทศตะวันออกแต่เพียงอย่างเดียว
      
       นายพิภพ ได้ยกตัวอย่างของนายมาซาโนบุ ฟูโอกะ เกษตรกรชาวญี่ปุ่นผู้ซึ่งได้รับรางวัลแมกไซไซ ด้วยว่า นายฟูโอกะ ได้เคยกล่าวกับตนเอาไว้เมื่อมาประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน ว่าเมืองไทยเปรียบเสมือนสวรรค์ที่ไม่ว่าพื้นที่ใด ก็สามารถปลูกพืชได้ ซึ่งการปลูกพืชแบบของไทยก็เป็นแบบพึ่งพาตัวเอง นั่นคือการปลูกพืชให้เหมือนในป่า นั่นคือมีพืชหลายชนิดอยู่ในพื้นที่เดียวกันแล้วพืชแต่ละชนิดนั้น ก็จะพึ่งพากันและกันเอง เหมือนอย่างในป่า ซึ่งนายฟูโอกะ ก็ได้นำแนวคิดดังกล่าวไปประยุกต์ใช้เพาะปลูกในประเทศญี่ปุ่น จนสามารถปลูกข้าวโดยไม่ใช้ปุ๋ย ไม่ใช่สารเคมี และไม่ไถได้ แต่ใช้ไส้เดือนไถพรวนดินตามธรรมชาติได้
      
       แต่อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ระบบการปลูกพืชของเมืองไทย ได้เปลี่ยนไปพร้อมกับระบบทุนนิยม นั่นคือ เกษตรกรไทยได้เปลี่ยนจากการปลูกพืชผสมผสาน เพื่อใช้กินเองแบบพอเพียง ไปเป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยว คือปลูกพืชชนิดเดียวเพื่อให้ได้จำนวนมากๆ เพื่อส่งออกขาย และเมื่อทำเช่นนั้นพืชก็ไม่สามารถพึ่งพากันได้ ในที่สุดก็ต้องซื้อปุ๋ยเคมีมาใช้ และเมื่อใช้นานเข้าก็ส่งผลให้ดินเสื่อมคุณภาพอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
      
       นายพิภพ กล่าวต่อไปว่า แท้จริงแล้วแนวความคิดที่จะทำเศรษฐกิจแบบพึ่งตัวเองให้เกิดขึ้นนั้น ได้มีคนไทยกลุ่มต่าง ๆ ที่เป็นองค์กรพัฒนาชุมชนได้คิดและทำกันมานานแล้ว แนวคิดนี้จึงถือเป็นความหวังขององค์กรพัฒนาชุมชนเหล่านั้น ที่จะกลับมาร่วมกันสร้างความยั่งยืน และการพึ่งพิงตัวเองของประชาชนได้อีกครั้ง ตัวอย่างเช่น ก่อนรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ องค์กรพัฒนาชุมชนต่าง ๆ ได้เคยคิดรูปแบบของสหกรณ์ออมทรัพย์เอาไว้ เพื่อเก็บไว้เป็นกองทุนของเกษตรกรในท้องถิ่น เพื่อให้คนในท้องถิ่นพึ่งพิงตนเองได้ ซึ่งถ้าไม่มีรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ป่านนี้สหกรณ์เหล่านั้นคงพัฒนาไปเป็นธนาคารขนาดเล็กในท้องถิ่น เพื่อไว้บริการกู้ยืมให้คนในท้องถิ่นไปแล้ว แทนที่จะมีแต่ธนาคารขนาดใหญ่ในเมืองหลวงซึ่งคอยแต่จะให้บริษัทใหญ่ กู้ยืมเท่านั้น แต่เกษตรกร หรือชาวชนบทกลับหมดสิทธิ์ที่จะได้ใช้สิทธิเหล่านั้น
      
       ดังนั้นแนวคิดการเมืองใหม่ในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการเปลี่ยนแปลง ทางการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองเท่านั้น แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในทุกระบบ นำบ้านเมืองเรากลับไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ หรือ ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั่นเอง ดังนั้นเราจึงยังไม่ต้องเถียงกันหรอกว่าจะให้สัดส่วนของ ส.ส.ที่เลือกตั้งกี่เปอร์เซ็นต์ หรือ แบบสัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ แต่เราควรมาช่วยกันคิด ช่วยกันวิเคราะห์ว่า จะเลือกตัวแทนมาจากองค์กรใดบ้าง และเลือกอย่างไร เพื่อให้ได้ตัวแทนจากทุกภาคส่วนจริง ๆ อันจะนำมาซึ่งการร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองที่ยั่งยืน โดยแท้จริง

“จำลอง” ย้ำการเมืองใหม่ปกป้องเทิดทูนกษัตริย์อย่างแท้จริง

       เมื่อเวลา 21.20 น.วันที่ 21 ก.ย. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาลว่า วันนี้ผู้สื่อข่าวยังสนใจถามเรื่องหมายจับ 9 แกนนำในข้อหากบฏ ซึ่งเราสึกเฉยๆ มานานแล้ว เพราะก่อนออกที่พวกเราจะออกจากบ้านมากู้ชาตินั้นได้คิดแล้วว่าเป็นยังไงก็เป ็นกัน อย่างโชคร้ายที่สุดก็แค่ถูกจับ เราจึงขอตอบผู้สื่อข่าวซ้ำอีกว่า เรา 9 คนถูกข้อหาอันเป็นเท็จที่ว่าเราเป็นกบฏภายในราชอาณาจักร ซึ่งถ้าเป็นจริงโทษขั้นต่ำที่สุดคือจำคุกตลอดชีวิต สูงสุดคือประหารชีวิต
      
       “พี่น้องลองคิดดู เราออกมากู้ชาติเป็นไปได้หรือที่จะถูกจำคุกตลอดชีวิต มันก็แปลกที่สุดในโลก แล้วยังพยายามเอาไปโยงกับคดีที่มีการพิจารณาแล้วแต่ไม่ยอมมาศาล จนศาลออกหมายจับ ขณะที่คดีของเราศาลยังไม่พิจารณาเลย เพียงแค่ถูกกล่าว แล้วข้อกล่าวหานี้ยิ่งกว่าเกินจริงเสียอีก คือข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จ เราไมได้ไม่เคารพกฎหมาย เราอยู่ในขั้นตอนของกฎหมายซึ่งเราได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ท่านก็รับไว้พิจารณาแล้ว
      
       ตอนนี้ตำรวจอย่ามาขู่ว่าจะมาจับเสียให้ยากเลย มันล้าสมัยแล้ว เอาคำขู่อื่นมาขู่ดีกว่า ขอยืนยันว่าเราพันธมิตรเคารพกฎหมายทุกประการ และเราไม่บิดพลิ้ว ถ้าบิดพลิ้ว เราหนีไปต่างประเทศแล้ว” พล.ต.จำลองกล่าว
      
       พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า ไม่กี่วันมานี้ พันธมิตรอาวุโสท่านหนึ่งได้นำเงินมาบริจาคหลักหมื่นบาท ท่านผู้นี้คือ นพ.เฉก ธนะศิริ ประธานชมรม “อยู่ร้อยปี ชีวีเป็นสุข” ซึ่งเคยแนะนำให้ตนเปิดหกลักสูตรพัฒนาคุณภาพชีวิตเมื่อ 22 ปีมาแล้ว ก่อนที่จะกลายมาเป็นโรงเรียนผู้นำในปัจจุบัน โดยท่านได้แนะนำให้จัดฝึกอบรมข้าราชการ กทม.สมัยที่ตนเป็นผู้ว่าฯ กทม.จนสามารถเปลี่ยน กทม.จากเมืองที่ติดอันกับ 1 ใน 6 เมืองสกปรกที่สุดในโลก กลายมาเป็นเมืองที่น่าเที่ยว 1 ใน 10 ของโลก เคียงบ่าเคียงใหญ่กับ ปารีส ลอนดอน
      
       พล.ต.จำลอง กล่าวว่า นพ.เฉกได้นำบทความมาให้ ซึ่งเนื้อหาของบทความสรุปได้ว่า ที่ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่ตกเป็นเมืองขึ้น ของฝรั่งนักล่าอาณานิคมก็เพราะมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียว คือ มีพระมหากษัตริย์ ที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคสุโขทัยจนรัตนโกสินทร์ต่อเนื่องกันมา 800 กว่าปี เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ กษัตริย์ของเราแม้จะเป็นพุทธมามกะ แต่ทรงมีจิตใจกว้าวงขวาง รับเอาทุกศาสนามาอยู่ในพระบรมราชุถัมภ์อย่างถ้วนหน้า ไม่มีประเทศใดในโลกที่เป็นเช่นนี้ ดังนั้น ใครก็ถามที่คิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อเสวยสุขหรือเป็นใหญ่ในดินไท ย คนไทยจะยอมไม่ได้เป็นอันขาด
      
       พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเมืองใหม่ ซึ่งเราบอกซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า เป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หลายคนก็อาจจะถามว่าก็เป็นเหมือนเดิม ก็ขอตอบว่าระบอบเดิมแต่ไม่เหมือนของเก่าที่ได้แต่พูดโดยไม่ได้ทำตาม เราจึงเรียกใหม่ว่า การเมืองใหม่เป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประม ุขซึ่งต้องเทิดทูนและปกป้องสถาบันกษัตริย์
      
       “ที่ผ่านมารัฐบาลปกป้องจริงจังหรือเปล่า นั่นคือการเมืองเก่า เราออกมาชี้แล้วชี้อีกจึงจับคนบางคนขังคุกแล้ว แต่บางคนก็ยังลอยนวล เพราะรัฐบาลไม่เอาไหน กำหนดไว้แต่ปากว่ามีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเติมคำว่า ต้องปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง” พล.ต.จำลองกล่าว

คุณสมศักดิ์ แกนนำและพี่น้องพันธมิตรกล้าหาญและเสียสละมาก

คุณสมศักดิ์ แกนนำและพี่น้องพันธมิตรกล้าหาญและเสียสละมาก

คนไทยที่อยู่นิ่งเฉย นักวิชาการขายตัวและข้าราชการที่ยอมสยบอยู่ใต้อำนาจนักการเมืองถ้าไม่มีความ ละอายใจก็อย่ามาโจมตีพันธมิตรเลย

ขอให้สงสารคนสูงอายุที่ต้องทนลำบากตรากตรำมาร่วมกู้ชาติจากทรราชการเมืองบ้า ง
ทำไมคนที่ได้รับผลประโยชน์จากภาษีของประชาชนทั้งชาติจึงต้องเป็นทักษิณและบริวาร
ทำไมทรัพยากรธรรมชาติของเราจึงต้องตกเป็นของคนหยิบมือเดียวอย่างทักษิณและบริวาร
ทำไมเราถึงต้องยอมให้นายทักษิณและบริวารทำร้ายและทำลายคนไทยและประเทศชาติไทยเราด้วย
คนไทยที่อยู่ตรงกลาง นักวิชาการที่ขายตัวตอบคำถามนี้ได้ไหม
รักพันธมิตร

เดือนห้าหน้าแล้ง : ชีวิตเด็กบ้านสวนบางลำเจียก

แก้ว แกมทอง
            "เดือนห้าหน้าแล้ง ลมแรงพักช่อมะม่วง แว่วเสียงหุยกู่ร้องหารวง เหมือนข้าห่วงจำปาฝันใฝ่ . .  . "
            วันนี้ขออนุญาตนำเพลงลูกทุ่งยอดฮิตจองท่านผู้ใดก็ไม่ทราบ มาประหัวเรื่องไว้สักวรรคสองวรรคพอเป็นน้ำกระสายยาแก้ร้อนเพราะขณะเขียนเรื่องนี้ อากาศมันแสนจะร้อนจริงร้อนจัง แม้ลมหนาวจะพึ่งผละสะบัดก้นพรืดไปหยกๆ เมื่อวันสองวันนี้ โดยทิ้งท้ายไว้ให้หนาวเหยือกกันเฮือกหนึ่ง แล้วก็โยนเตาอบมาให้แทน คนกำลังคลุมโปงกันอยู่ดีๆ เลยต้องลุกขึ้นกุลีกุจอเก็บผ้าห่ม ถอดเสื้อถอดผ้า ไอ้ที่หนาๆน่ะ ออกไปซุกไว้มุมห้อง แล้วที่นี้อะไรล่ะ ก็อาบน้ำกันน่ะซี  เสียงบ้านนั้นซู่บ้านนี้ซ่า ซู่ๆซ่าๆกันทุกบ้านหนักเข้า น้ำท่าในก๊อกมันก็เลยตกใจพากันขี้หดตดหาย ไม่พากันไหนจั๊กๆออกมาเสียแล้ว ใช้วิธีโผล่ๆผลุบๆ คือเดี๋ยวก็โผล่ออกมาโจ๊กหนึ่ง เดี๋ยวก็ทำเป็นผลุบเงียบ แล้วเดี๋ยวก็โผล่ออกมาใหม่เพียงแหมะๆ บางทีก็ตึ๋งๆ พอเราชักจะปลงตก ว่าชั่งมันเถอะวะ น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน นี่ให้มันหยดลงถังพลาสติกไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เต็มถังเอง แต่ที่ไหนได้พอเราเผลอๆ มันดันไหลซ่าออกมาเบ้อเร่อยังกะก๊อกแตก เล่นเอาตกอกตกใจกันไป
            มีท่านผู้รู้ท่านหนึ่งท่านบอกว่า เวลาท่านเปิดก๊อก (ก็ก๊อกประปานี่แหละ) ท่านต้องจุดธูปจุดเทียนนั่งพนมมือด้วย ไม่รู้จริงเปล่า ถ้าจริงก็เห็นจะเป็นเพราะว่าท่านผู้นี้เป็นผู้นิยมเล่นหวยเบอร์ก็เป็นได้ ท่านคงจะเอาเคล็ดอีตรงว่า เวลาน้ำหยดลงมาแหมะหนึ่ง ท่านก็คงจะว่าเป็นเลขหนึ่ง หยดติดกันลงมาสองแหมะ ท่านก็ว่าเป็นเลขสอง พอมันหยุดหยดไปนานหน่อย ท่านก็คงว่าเป็นเลขศูนย์ แล้วพอไหลซ่าลงมาจั๊กๆยังงี้ล่ะก็เย็นใจได้เลยต้องเล่นทั้งข้างล่างข้างบน  คือตั้งแต่เลขหนึ่งถึงเลขศูนย์ ต้องออกแน่ๆ ไม่มีล็อกไม่มีแล็กแล้ว มันต้องออกจากได้ไม่เลขใดก็เลขหนึ่งไล่โต๊ดกันไปเถอะ ไม่รวยชาตินี้ ก็ต้องไปรวยเอาชาติหน้า

            พูดถึงประปาใหม่ดีกว่า เพราะส่วนไม่มากมันมีปัญหา ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรหรอกอย่าเพิ่งโวยวาย เป็นปัญหาพาประสาทนิดๆหน่อยๆน่ะ คือ น้ำประปานี่เวลาเราร้อนจัดๆ อย่าเพิ่งผลีผลามวิ่งเข้าไปเปิดซู่หรือเปิดซ่าให้มันมารดตัวเราเป็นดี เพราะเวลาเราร้อนประปามันก็รู้จักร้อนเป็นเหมือนกัน ไอ้เราคิดว่าจะหนีร้อนไปพึ่งเย็น ที่ไหนได้พอเปิดซู่ลงมาโอ๊ยโย่ยังกะจะลวกตัวแล้วถลกหนังถอนขนได้เลย หรือไม่ก็แทบจะทำให้หยิกไปทุกเส้นขน ธ่อ...มันกลับตาลปัตรไปเสียยังงั้น ยังกะเวลาหน้าร้อนท่านก็ต้มน้ำร้อนใส่ท่อมา แต่พอเวลาหน้าหนาว เราก็อยากจะหาได้ที่อุ่นๆ ท่านกลับเอาน้ำแข็งยัดใส่ท่อมาให้อาบกันเล่นเสียนี่ เย็นเจี๊ยบเลย ต้องอาบกันแต่อีตรงส่วนสำคัญของร่างกายสองสามส่วน แล้วรีบขึ้น สั่นกันงั่กๆ เรื่องมันเป็นเสียหยั่งงี้ ประปานะประปา

            แต่หน้าร้อนของชาวสวนเมื่อก่อนนี้ไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรหรอก ประปงประปาอะไรก็ยังไม่มีใช้ ใช้กันแต่น้ำคลอง แต่เวลาหน้าแล้งนี่น้ำมันลงงวดหมดนะ เหลือขังอยู่แต่ตรงปากท่อหรือตามลำประโดงลึกๆ น้ำเป็นสีเหลืองใสแจ๋ว มองเห็นเลนเห็นโคลนขึ้นมาอืดเลย แต่เป็นที่สนุกสนานโปรดปรานของพวกเราเด็กๆเป็นอันมาก  เพราะจะได้แก้ผ้าลงไปงมโคลนกันให้ฟ่อด จับปูจับปลากันทั้งวันไม่เรียกไม่ขึ้น บางทีเรียกแล้วยังทำหูทวนลมกันเสียก็บ่อย ก็มันร้อนนี่นา อยู่ในโคลนเย็นด้วยสนุกด้วย ถึงขึ้นมาแล้วก็เดินโทงๆกันไปตามถนนตัวมีแต่ขี้โคลนขี้เลนวิ่งเล่นกันมั่งอะไรกันมั่ง พอตัวชักจะแห้งๆก็โดดโครมลงไปใหม่ เป็นทั้งเด็กผู้หญิงเด็กผู้ชาย อย่างพรรคพวกของผู้เขียนกับพวกละครคณะยายเหม็น พวกเราสองก๊กนี่จะยึดทำเลแถวหัวถนนไว้หมด เล่นน้ำโคลนกันก็เล่นกันตรงสะพานข้ามคลองนั่นแหละ พวกละครคณะยายเหม็นพอหน้าร้อนนี่ค่อยหายบ้ารำกันไปหน่อย พากันแก้ผ้ากองไว้ริมตลิ่งแล้วลงไปงมโคลนฟ่อดกับพวกเรา ถ้อยทีถ้อยช่วยกันกั้นทำนบวิดน้ำจับปลา แต่ไม่ได้ปลาตัวโตๆอะไรกะเขาเพราะมันเป็นในคลอง ปลาตัวโตๆมันม่ได้มาขังอยู่ ไม่เหมือนตามปากท่อสวน เวลาน้ำงวดแบบนี้ปลามันชอบมาตกคลั่กกันอยู่ พวกไอ้หนุ่มรุ่นพี่เขาก็ลงมาวิดกัน พวกเราก็คอยช่วยกันเป็นหางเครื่องกับเขาไปด้วย เล่นกันเองนี่ก็ได้แต่ปลาเล็กปลาน้อย อย่างปลาซิว ปลากระดี่ กุ้งฝอย แต่อย่าประมาทกุ้งฝอยนา เห็นตัวเท่านิ้วก้อยขาวซีดหนวดยุ่มย่ามอย่างนั้นเหอะ ถ้าได้มาแยะๆเอามาทำงบกุ้ง ห่อใบตองปิ้งกันข้างถนน อื้อหือ อร่อยพอๆกับงบปลาซิวนั่นเทียว

            เล่นๆกันอยู่นี้บางทีก็เกิดแตกคอกัน เพราะเด็กผู้หญิงมันเรื่องเยอะ ชอบเจ้ากี้เจ้าการ จู้จี้ ชอบใช้ให้เราทำโน่นทำนี่อย่างโน้นซี อย่างนี้ซี (มันเป็นตั้งแต่เด็กๆเลยแฮะ) พอเราเกิดหือกันขึ้นมาก็เอาละซี ขี้โคลนในมือนั่นแหละถล่มกันเข้าไปคนละเผละสองเผละ  โดนหน้าตาหัวหูไม่มีร้อง ก็รักจะเล่นกันเสียอย่างร้องทำไม แต่ทีนี้มันมีหนหนึ่ง ไอ้แกละมันเหวี่ยงพลาดไปหน่อย ไปโดนเอาน้องของพวกเด็กผู้หญิงที่มันทิ้งวางให้คลานเล่นอยู่ริมตลิ่ง เพละเดียวโดนเข้าเต็มเปา เต็มหัวเต็มหูเข้าลูกกะตาร้องจ้า เลยเป็นเรื่องใหญ่ ก็อย่างที่เคยเล่าแล้ว พวกเด็กผู้หญิงนี่เวลาเกิดเรื่องอะไรมันไม่ด่าเองลำพังหรอก แม่พวกมันมาช่วยด่าด้วยเลยเกิดสงครามปาก เพราะแม่พวกเราก็มีเหมือนกันนี่หว่า ธรรมดาพวกเราไม่ชอบฟ้องหรอก เพราะกลัวอดเล่น  ทีนี้บังเอิญจับพลัดจับผลู แม่ไอ้แกละเดินออกมาพอดี เลยได้ล่อกันยับ เสียงแจ๊ดๆแจ๊ดๆ พอต่างคนต่างคอแห้งก็ฉุดกระชากลากถู ลูกใครลูกมันเข้าบ้าง พอวันรุ่งขึ้นพวกเราทั้งสองก๊กต่างก็มาแก้ผ้าลงไปงมโคลนกันใหม่ เรื่องอะไรจะเข็ด

            เด็กผู้หญิงเมื่อโบราณนี่ ไม่รู้เป็นไงทุกคนถ้ามีน้องแล้วต้องเลี้ยงนะ จะไปไหนต้องเอาน้องกระเตงใส่กระเอวไปด้วย สมัยนี้ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ หรือปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอาช่วยเลี้ยง ก็ต้องจ้างคนมาเลี้ยงสักพักหนึ่ง เพราะเด็กคนพี่แค่สามสี่ขวบก็ต้องไปโรงเรียนแล้ว สบายไปไม่ต้องกระเตงน้องจนเอวเป็นหนาม

            พวกเราถึงชอบแตกคอกันเล่นไงล่ะ แต่ตอนหน้าร้อนหรือหน้าแล้งนี่ มันแตกกันไม่ได้ เพราะมันต้องลงน้ำกันตรงนั้นทีเดียวเป็นทำเลเหมาะ แล้วไม่ใช่แต่พวกเราเด็กๆนะ บางทีพวกไอ้หนุ่มรุ่นพี่ก็มาร่วมสัมมนาด้วย พากันสนุกไปใหญ่
   
            ธรรมดาพวกเราเด็กๆก็ไม่ได้แต่งตัวกันวิเศษวิโสอยู่แล้ว ดีหน่อยก็กางเกงมีเอี๊ยม หรือเล็กหน่อยก็ผูกเอี๊ยมอยู่ตัวเดียว เด็กผู้หญิงก็นุ่มผ้าถุงเก่าๆตัวเดียว ส่วนมากก็ไม่ได้นุ่งอยู่กะร่องกะรอยปกติธรรมดาเขา คือ ไม่ได้นุ่งคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย  ได้แต่พันๆไว้ บางทีสวมเข้าไปแล้วยกเอาอีส่วนที่ควรจะพันทบเข้าไปน่ะ ขึ้นมาคล้องไว้บนไหล่ มันจะได้หลุดยากหน่อยไง ส่วนน้องๆที่เล็กลงมาก็ร้อยทั้งร้อยไม่แก้อยู่ตลอดกาลก็มีตะปิ้งปิดไว้อันเดียว นี่พูดถึงเด็กหญิง ถ้าเป็นเด็กชายก็ไม่ต้องปิดอะไรทั้งนั้น บางคนมีด้ายดำๆผูกรอบเอวห้อยตะกรุดมั่งไอ้ขิกมั่ง ไม่รู้เป็นเครื่องลางหรือของขลังอะไร เห็นเขานิยมให้เด็กผูกกัน ลืมสอบถามไว้

            แล้วพอหน้าร้อน  พวกเราก็พร้อมใจกันแต่งชุดอาบน้ำกันแทบทั้งวัน เดินกันโทงๆมีขี้ดินขี้โคลนพอกตามตัวหัวหู บางวันพ่อแม่ว่างก็ถูกจับอาบน้ำขัดขี้ไคลกันเสียที เอาดินสอพองประตามตัวให้พากันเดินลายพร้อมยังกะตุ๊กแก

            ส่วนหน้าร้อนของพวกผู้ใหญ่นั้นดูจะประดิษฐ์ประดอยมากกว่า เพราะธรรมดานี่ผู้ใหญ่เขานุ่งโจงประเบน ห่มผ้าแถบคาดอก  พอร้อนเข้าเขาดึงโจงกระเบนขึ้นไปหยักรั้งปิดไว้แค่กัน เปิดขาอ่อนขาแก่กันเป็นแถว แล้วเอาผ้าแถบทิ้งไปปล่อยถุงกาแฟล่อนจ้องโดยตรง เอาดินสอพองใส่น้ำอบไทยละลายประทั้งตัวหอมฉุย นั่งเอาพัดใบลานพัดกระพือเยิบๆ

            ถ้าถามถึงผู้ใหญ่ฝ่ายชายล่ะ ส่วนมากผู้ชายแก่นี่ธรรมดา เขาก็นุ่งโสร่งตาหมากรุกนะ บางคนก็นุ่งกางเกงแพรอยู่บ้าน แต่พอหน้าร้อนส่วนมากจะหันไปหาผ้าขะม้า เอามานุ่งเป็นโจงกระเบนหยักรั้งปิดแค่ก้นเหมือนคนแก่ผู้หญิงน่ะ แต่ไม่ชอบใช้ดินสอพองประตามตัวเท่าไหร่ นานๆจะเห็นคนแก่ผู้ชายประแป้งตามตัวสักที

            แล้วพวกผู้ใหญ่วัยสาวหรือวัยรุ่นนั่นล่ะ พวกนี้ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นหรอก อย่าเพิ่งไปนึกวาดภาพแล้วยิ้มกริ่ม ผู้หญิงสาวชาวสวนนี่เมื่อตอนนั้นมีกรรมมาก ออกไปเล่นนอกบ้านไม่ได้แล้วยังจะต้องแต่งตัวมิดชิดไม่ว่าหน้าร้อนหน้าหนาวหน้าฝน พวกเธอต้องปิดหมดสามฤดู คือ ต้องนุ่มผ้าถุงปิดหน้าแข้งใส่เสื้อมีตัวนอกอีกตัว  ไม่ใช่ใส่แต่เสื้อยกทรงเดินโทงๆ เหมือนเดี๋ยวนี้ได้ แต่ถ้าหน้าร้อนนี่เขาก็พอจะอนุโลมให้ใส่แต่เสื้อคอกระเช้าตัวเดียวได้  ก็นั่งฟักคอเสื้อกันซะทะลุปรุโปร่งเป็นลวดเป็นลายมองเห็นเนื้อได้ใสๆกันแหละ แล้วก็เดินตากลมกันอยู่ในบ้าน ประดินสอพองขาววอกเหมือนกัน แค่นี้ไอ้หนุ่มเหลือบเข้าไปเห็นยังตาโตบอกอื้อหือ โป๊ดีจังแฮะ

            นอกจากจะสนุกกับการจับกุ้งจับปลาและลุยโคลนกันในคลองแทบทั้งวันแล้ว พวกเราก็ยังมีเรื่องสนุกกันอีกอย่างคือการตกปูเล่น เวลาหน้าแล้งน้ำในคลองงวดนี้ ตามชายเลนสองฟากตลิ่งจะมีปลาตีนกระโดดโหยงๆกันเป็นแถว อ้อ ปลาตีนนี่รูปร่างมันแปลกๆดีนะ แต่มันไม่ได้เหมือนตีนอย่างชื่อหรอก ตัวมันเล็กๆหางเหมือนหางปลาช่อน แต่หัวไม่รู้เหมือนอะไร  ทื่อๆมีตาสองตาโปนออกมา เวลากระโดดโหยงๆไปตาก็มองล่อกแล่ก ล่อกแล่ก โบราณเขาถึงมาสำนวน ตาปลาตีนไงล่ะ เขาว่าใครมีตาเหมือนตาปลาตีนละก็คบไม่ได้ พวกเดียวกับตาปลาดุก  คนตาปลาดุกเขาก็ไม่ให้คบเหมือนกันเพราะมันดูเล็กๆลึกๆ บอกความนัยพิลึกพิลั่น คบไม่ได้ว่างั้นเถอะ

            นอกจากปลาตีนแล้ว สองข้างชายเลนจะมีรูปเต็มพรืดไปหมด ปูเปี้ยวน่ะ รูเล็ก รูใหญ่ รูขนาดกลาง บางรูก็มโหฬาร ปากรูมันแผลบ แต่พวกเราไม่ค่อยมีใครกล้าล้วงไอ้รูใหญ่ๆนี่หรอก อย่างเก่งก็เอาไม้แหย่เข้าไป  เพราะบางทีมันกลายเป็นรูงู ไอ้จุกมันเคยโดนแล้ว ลองเอาไม้เป็นตะขอล้วงเข้าไป พอเกี่ยวออกมา โอ้โห งูงวงช้างตัวเท่าแขน วิ่งแหกปากกันน้ำกระจาย
            ปูเปี้ยวนี่สวยดี ตัวมันสีดำแต่ก้ามสีแดงแจ๋เลย  ยิ่งตัวเล็กๆเท่าหัวแม่มือหรือเท่าปลายนิ้วก้อยจะยิ่งน่ารักมาก พวกเราชอบจับเอามันมาใส่กะลาจะให้มันกัดกัน แต่มันไม่กัดกันหรอก พอใส่ลงไปมันก็ต่างตัวต่างคลานไปคนละทิศ พวกเราก็ช่วยกันต้อนไปต้อนมาจนเบื่อ ต้องเหวี่ยงกะลาลงคลอง

            แต่ที่สนุกที่สุดคือ ใช้วิธีตกเอา ใช้กิ่งภู่ระหงมาทำเป็นคันเบ็ด เอาเชือกกล้วยผูกเข้าเป็นสายเบ็ด แล้วเอาดอกมะพร้าวผูกตรงปลายเชือกทำเป็นเหยื่อล่อ ไม่ต้องใช้ตัวเบ็ดจริงๆ แล้วเราก็แยกย้ายกันไปหาทำเลเหมาะของตัว เอาเหยื่อดอกมะพร้าวหล่นลงไปที่ปากรูปู หรือบางทีก็หย่อนลงไปตรงตัวปูเองเลย ที่มันออกมาคลานอยู่นอกรู  แล้วค่อยกระตูกเหยื่อให้มันกระดุกกระดิก โดยมากลูกปูตัวเล็กๆมันจะซื่อ ไม่ค่อยมีเล่ห์เหลี่ยมอะไร พอเห็นดอกมะพร้าวอยู่ตรงหน้า มันก็เอาก้ามหนีบพอเราเห็นมันหนีบแล้ว เราก็ดึงเบ็ดมา ตัวมันก็เลยลอยตามติดเบ็ดมาด้วย เราก็เอามาวางแหมะลงบนดินแล้วจับใส่กะลาหรือไม่ก็ครอบไว้เพราะมันคลานหนีเก่ง แต่ไอ้ปูตัวโตๆ อย่างแม่ปูพ่อปูนี่มันมีเหลี่ยมมีคูชะมัด กินเบ็ดก็ยากด้วย  บางทีเรานั่งกระตุกเหยื่อจนเมื่อยมันยังไม่ค่อยจะหนีบเลย บางทีพอมันหนีบปุ๊บ เราจะดึงปั๊บงี้ไม่ทันแล้ว มันพาวิ่งเข้ารูพลุบ พอเราดึงพลับมันปล่อยแน่ะ เกิดโมโหมั้ย แล้วยิ่งเกิดโมโหหนักก็อีตรงนี้ซี อีตรงที่มันยอมติดเบ็ดมาแล้วน่ะ คือ มันยอมหนีบดอกมะพร้าวตามเชือกที่เราดึงมา แต่พอเราเหวี่ยงเชือกจะให้ตัวมันถึงฝั่งที่เรายืน พอตัวมันลอยมาถึงกลางคลอง มันดันปล่อยเหยื่อ โดดลงน้ำตุ๋มไปเสียนี่ เกิดโมโหพิลึก

            เพราะงั้นถ้าเราอยากได้ตัวมันจริงๆ เราจะลงลุยถึงตัวมันเลย ไล่ตามเอาเลนโปะตัวมันแล้วจับ ล่อกันเขละขละไป หัวหูมีแต่โคลนแต่เลยเต็มไปหมดทั้งคนทั้งปู

            แต่ถึงไง พวกเราก็ชอบตกปูกันจริงๆ เพราะมันสนุก ตื่นเต้นดี อีตรงที่มันได้ยาก ใครได้เข้าตัวหนึ่งก็อวดสีมือกันโขมงทั้งๆที่ได้มาก็ไม่ได้เอามาทำอะไร เพราะผู้ใหญ่เขาบอกกินไม่ได้ปูเปี้ยวนี่

            มีทีหนึ่งผู้เขียนก็ได้โชว์สีมือตกปูกะเขาด้วย ความจริงก็ตกกะเขาทุกทีแหละ แต่ยังไม่เคยโชว์ความสามารถเหมือนหนนี้ หนนี้พอต่างแยกกันหาทำเลเหมาะของตัวแล้ว ต่างคนก็ต่างลงนั่งเงียบใช้สมาธิให้ปูกินเหยื่อ ผู้เขียนก็ลองเลือกเอาปากรูที่ใหญ่ๆหน่อย  เผื่อจะได้ปูตัวใหญ่ๆกะเขามั่ง เรื่องปากรูปูนี่มันไม่ค่อยแน่นะ บางทีรูใหญ่แต่ปูตัวนิดเดียว บางทีรูเล็กแต่ปูตัวเบ้อเฮิ้มกีมี คราวนี้ผู้เขียนเอารูใหญ่ไว้ก่อน จะได้ตัวเล็กตัวใหญ่ก็ช่างมัน พอค่อยๆหย่อนเบ็ดลงไปแล้วนั่งคอย คอยจนเบื่อก็ไม่เห็นมีปูออกมา จนเสียงไอ้จุกไอ้แกละเข้าได้กันแล้ว ผู้เขียนก็ยังไม่เห็นเงาปูออกมาจากรูเลย เลยลุกขึ้นเอาใหม่พยายามเหวี่ยงเบ็ดก็ดอกมะพร้าวนั่นแหละให้เข้าไปในปากรูมันเลย เอาไม้คันเบ็ดช่วยทิ่มดอกมะพร้าวให้เข้าไปลึกๆด้วยแล้วลงนั่งคอย  เอ๊ะ คราวนี้ได้ความแฮะ พักเดียวแหละรู้สึกว่ามันมาคาบเหยื่อแล้ว ผู้เขียนลองดึงดูมันก็ไม่ปล่อย แถมเราดึงมามันยังดึงไปเสียอีก ผู้เขียนก็ตื่นเต้นซีลุกขึ้นดึงใหญ่ลากเบ็ดออกมา มันก็ตามเบ็ดออกมาด้วย  พอแลเห็นไรๆแค่นั้นแหละว่ามีปูตามเบ็ดออกมาหาผู้เขียนก็ดึงพรวดเลยเหวี่ยงเบ็ดเข้าหาตัว พอตัวปูตามเบ็ดมาหล่นเผละตรงหน้าแค่นั้นผู้เขียนก็จ๊ากลั่น ก็โอ้โหโคตรปูตัวเท่าฝ่ามือแน่ะ ดำปี๋ก้ามเบ้อเร่อแดงแจ๊ด พอหล่นตรงหน้าได้มันก็อ้าก้ามวิ่งจี๋ ไม่ใช่มันจะไล่หนีบหรอกมันก็ตกใจจะวิ่งส่งเดช แต่มันวิ่งมาหาเรา ผู้เขียนเลยทิ้งเบ็ดถอยกรูดกรี๊ดๆ เพื่อนฝูงต้องมารุมล้อมช่วยกันต้อนหน้าต้อนหลังปู จะจับให้ได้แต่ไม่ทันมันหรอก เอะอะเฮฮากันแทบตายแต่ก็คว้าน้ำเหลว

            ตั้งแต่วันนั้นพอพูดถึงเรื่องตกปู พรรคพวกต้องพูดถึงผู้เขียนในฐานะที่ตัวเล็กกว่าเพื่อน แต่ตกได้ปูใหญ่กว่าใคร

            นอกจากจะสนุกกันในตอนหน้าแล้งด้วยการเล่นโคลนตมจับปูจับปลากันแล้ว งานทศกาลประจำปีตามวัดต่างๆเขาก็มีให้ดูกันอีก อย่างงานสงกรานต์ งานแห่หลวงพ่อเกษรวัดท่าพระ
            งานแห่หลวงพ่อเกษรเป็นงานใหญ่มาก เพราะเป็นงานประจำปีที่ต้องมีทุกปีไม่มีขาด ตั้งแต่ผู้เขียนยังเด็กจนมาถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่ พอถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนห้า เขาต้องมีงานแห่หลวงพ่อเกษรกัน ริ้วขบวนที่เดินกันไปนั้นยาวเหยียด สวยงาม เพราะบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อนั้นมากมาย ไม่ว่าไทยว่าจีน เพราะหลวงพ่อเกษรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่นับถือสักการะของชาวสวนถิ่นนี้ทุกคน
            ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า จำเดิมเริ่มแรกนั้น หลวงพ่อเกษรกับหลวงพ่อโสธรที่แปดริ้วท่านล่องแพลงมาจากอยุธยาด้วยกัน เมื่อลัดเลาะกันตามแม่น้ำลำคลองจนมาถึงคลองท้ายวัด ซึ่งแต่ก่อนยังไม่เป็นวัด แพของหลวงพ่อเกษรเกิดล่ม องค์หลวงพ่อท่านก็จมลงไป เหลือแต่หลวงพ่อโสธรองค์เดียวที่ล่องไปจนถึงแปดริ้วได้ แล้วท่านก็อยู่ที่นั่นมาจนเดี๋ยวนี้ ส่วนหลวงพ่อเกษรต่อมาชาวบ้านแถวนั้นช่วยกันนิมนต์ท่านขึ้นมาได้ ก็เลยประดิษฐานอยู่ตรงปัจจุบันนี้ แต่ก่อนนั้นยังมีมีโบสถ์ให้ท่าน เพิ่งจะช่วยกันสร้างขึ้นใหม่ เกือบจะเสร็จแล้วเดี๋ยวนี้
            งานแห่หลวงพ่อเกษรนี่สนุกมาก นอกจากขบวนแห่จะยาวเหยียด เพราะมีริ้วขบวนประเภทต่างๆมากมาย ยังมีประเภทความคิดที่เป็นชุดต่างๆอีกด้วย อย่างชุดพันท้ายนรสิงห์ที่จำลองเรือด้วยกระดาษ เอาฝีพายลงเดินอยู่ในเรือ มีเชือกล่ามเรือขึ้นมาพันคอฝีพายเดินไปเรือมันก็ตามไปด้วยอยู่ดี ก็เหมือนเรือเคลื่อนไปด้วยฝีพายนั้น แล้วก็ชุดแรกนาขวัญ อีชุดนี้มโหฬารมากเพราะมาเอาเทพีที่บ้านแถวบางลำเจียกนี่เอง เป็นเทพีหาบเงินหาบทองสองคู่ พวกเราเด็กๆแอบล้อสาวเทพีพวกนี้ว่าเทผี เผอิญไปล้อให้ได้ยินเลยโดนด่าเปิง
            มีอยู่ชุดหนึ่งซึ่งพวกเราเด็กไม่ชอบเลย มีให้ดูหลายหนด้วย คือ ชุดชูชกกับสองกุมาร เขาก็มีผู้ชายแก่ๆแต่งตัวเป็นชูชก แล้วเอาเด็กจริงๆ เด็กขนาดเราตอนนั้นแหละ แต่งเป็นกัณหา ชาลี นุ่งโจงกระเบน ไว้ผมจุก มีเชือกผูกข้อมือทั้งสองคนแล้วล่ามมาให้ตาชูชกถือ ตาเฒ่าชูชกแกก็ถือเชือกนั่นแหละลากไป อีกมือก็ถือไม้เรียว เด็กสองคนนั่นก็ทำท่าร้องไห้กันกระจองงอแง  มันเป็นการแสดงน่ะ แต่พวกเราไม่ชอบ พอชุดนี้เดินผ่านหน้าทีไร เด็กๆก็ช่วยกันด่าพึมพำ บางคนโมโหจัดอย่างไอ้จุกยังงี้ เพราะมันถือว่าเด็กหัวจุกเป็นพวกเดียวกะมัน มันเลยแค้นแอบเอาก้อนอิฐปาตาชูชก ปาแล้วก็ชวนพวกพ้องวิ่งหนีกันเกรียว  เพราะตาชูชกแกออกจากขบวนแห่มาวิ่งไล่ตีพวกเราแทนกัณหาชาลี เอะอะกันไปทั้งคนดูคนเล่น ต่อมาเลยหายไปอีชุดนี้ ไม่เห็นใครแสดงอีก คงจะนึกได้ว่ามันกระเทือนใจเด็ก
            อีชุดที่พวกเราเด็กๆชอบที่สุด คือ ชุดกระตั้วแทงเสือ ดูได้ดูดีไม่ว่ามีงานแห่อะไรที่ไหน ชุดกระตั้วแทงเสือนี่ต้องมีเป็นประจำ แล้วพวกเราก็ดูกันเป็นประจำ ดูเสร็จก็เป็นโรคระบาดติดมาถึงบ้านทุกที คือ จำเอามาเล่นกันเองที่หัวถนน ไอ้จุกเป็นตัวกระตั้ว ไอ้แกละเป็นนางกระแอ เพราะชุดกระตั้วแทงเสือนี่ผู้ใหญ่เขาเล่นเอาผู้ชายเป็นนางกระแอทุกที กระเดียดกระทายเดินสะอิ้งเอวไปตามจังหวะกลองจังหวะกรับ แสดงว่าพวกกะเทยนี่มีมานานแต่บุร่ำบุราณแล้ว
            พูดถึงเรื่องนี้เลยนึกขึ้นมาได้ถึงสำนวนโบราณอีกสำนวนหนึ่ง คือคำว่า กระแทะกระทาย ซึ่งเขาจะหมายถึงหญิงผู้มีความชำนาญในการครองเหย้าครองเรือนอะไรทำนองนั้นแหละ เพราะมักจะมีคำแตกต่างกันว่า อ๋อ มันจะไม่เก่งยังไง ก็มันช่างกระแทะกระทายดีนัก ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน
            เมื่อไอ้แกละเป็นนางกระแอ ไอ้เบิ้มก็ต้องเป็นเสือเพราะเนื้อตัวมันค่อยบึ้บบั้บหน่อย แล้วหกคะเมนตีลังกาเก่ง เสือนี่ในขบวนแห่จริงๆ เขาก็ต้องหกคะเมนตีลังกาไปแทบตลอดทางนะ ทำไมยังงั้นก็ไม่รู้ซี เคยเห็นเสือที่มันอยู่ในกรง เห็นมันก็เอาแต่เดินไปเดินมา หรือไม่ก็นั่งอยู่เฉยๆ ไม่เคยเห็นมันตีลังกาสักทีก็เป็นเรื่องแปลก ที่เสือของพวกกระตั้วนี่ตีลังกาเก่ง บางตัวก่อนใส่หัวเสือก๊งเข้าไปเสียเยอะ เวลาไปเข้าขบวนแห่เลยออกฤทธิ์ นอกจากจะหกคะเมนตีลังกาอย่างผาดโผนแล้ว ปะเหมาะพ่อยังปีนขึ้นไปบนเสาไฟฟ้าข้างทาง เรียกกันแทบตายยังไม่ค่อยจะยอมลง  เล่นเอาขบวนแห่ต้องหยุดรอนานสองนาน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นในงานแห่หลวงพ่อเกษรหรอก เกิดขึ้นในงานเทียนของวัดพลับ วัดสังกะจาย แล้วก็วัดหงษ์ แต่ก่อนนี้สามวัดนี่เขาร่วมใจกันจับมือแห่ร่วมกัน ขบวนแห่ถึงมโหฬารจริงๆ แห่ออกถนนเจริญพาสน์โน่น ถึงเกิดเหตุเสือไต่เดี๊ยะขึ้นไปบนเสาไฟฟ้าไงล่ะ
            เมื่อไอ้แกละเป็นนางกระแอ ไอ้เบิ้มเป็นเสือ ไอ้เปี๊ยกก็เป็นลูกนางกระแอ เหลือผู้เขียนไม่มีตัวเป็น เลยได้เป็นคนตีเกราะเคาะไม้ ทำจังหวะให้เขาเต้นกัน พลอยได้ออกรำลอยหน้าลอยตาไปกะเขาด้วย สนุกพิลึก แล้วรายการนี้เลิกยากด้วย ต้องเล่นซ้ำๆ กันอยู่หลายวันกว่าจะเบื่อ เลยบางวันต้องเกิดเหตุแย่งวิกแสดงกับพวกละครคณะยายเหม็น เพราะพวกนี้ก็เพิ่งดูละครชาตรีงานหลวงพ่อมาใหม่ๆเหมือนกัน  โรงละครชาตรียังขึ้นสมองอยู่ ต้องมาตั้งวิกเล่นกันอีก อีหัวถนนนั่นก็มีอยู่หัวถนนเดียว เลยต้องแย่งกันทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา พอไม่มีใครแพ้ใครชนะ  เพราะพวกเท่าๆกันเลยต่างคนต่างเล่น ละครก็เล่นไป ปักหลักขึ้นเตียงร้านใส่บาตร พวกขบวนกระตั้วแทงเสือ ก็แห่กันไปเสียงขรม มีพวกไอ้หนุ่มรุ่นพี่มานั่งช่วยลุ้น ตบมือตีตีนไปด้วย ก็พากันครื้นเครงดีไปพักหนึ่ง
            งานประจำปีแห่หลวงพ่อเกษรวัดท่าพระนี่ นอกจากจะมีขบวนแห่ยาวเหยียดให้ดูแล้ว ยังมีมหรสพให้ดูฟรีอีกตั้งหลายอย่าง ที่ประจำก็คือ งิ้ว ละครชาตรี ลิเก ตะกร้อลอดบ่วง มีปีหนึ่งมีการเล่นจูงนางเข้าห้อง  โดยเอาคนจริงๆมาเดินแทนเบี้ย ตัวนางก็เอาผู้หญิงจริงๆ แต่งตัวนุ่งจีบห่มสไบสวยเช้ง คนดูงี้แน่นเอี้ยดลุ้นกันเสียงขรมยังกะดูตะกร้อลอดบ่วง เพราะดูตะกร้อนี่คนดูก็ลุ้นกันตัวโก่งนะ เสียงเฮเฮบางคนฮึดฮัดยังกะจะเข้าไปเตะเองยังมี
            ในงานวันแห่หลวงพ่อเกษร นอกจากพวกเราชาวถิ่นนี้จะไปกับแทบทุกคนแล้ว คนถิ่นอื่นที่เขาพอจะเดินมาได้เขาก็มากัน อย่างคนแถวเจริญพาสน์ วัดสังกระจาย วัดแจ้ง ตั้งแต่เช้าถึงเย็นตามถนนที่ผ่านกลางป่าช้าวัดพลับ เข้าเขตคลองบางลำเจียกไปทะลุวัดท่าพระจะมีคนเดินไปเดินมากันไม่ขาด มีทั้งผู้ใหญ่เด็ก แก่เฒ่าทั้งหญิงชายต่างก็มุ่งหน้าไปงานหลวงพ่อ ตามถนนที่กล่าวนี้ถ้าบ้านใดอยู่ติดถนนหน่อย หรือบางบ้านก็มีประตูรั้วอยู่ติดถนนพอดี บ้านเหล่านี้เขาก็จะเอาโอ่งมังกรขนาดเล็กมาตั้งหน้าบ้าน ตั้งบนร้านหรือบนโต๊ะอย่างดีไม่ใช่ตั้งบนดิน แล้วก็เอาน้ำฝนใส่ยาอุทัยละลายให้หอม บางแห่งก็มีน้ำแข็งใส่ด้วย มีกระบวยหรือจอกเล็กๆ วางไว้ให้เพื่อคนเดินไปเดินมาจะได้กิน ในวันนั้นจะต้องมีคนคอยเติมน้ำให้เต็มอยู่เสมอหลายครั้ง แสดงว่ามีคนหยุดกินน้ำเยอะเพราะทางเดินมันไกลทั้งร้อนทั้งเหนื่อย บางบ้านยังใจถึงเอาเม็ดแมงลักมาละลายใส่น้ำตาลพอหวานอ่อนๆ วางเคียงข้างโอ่งน้ำกินอีกโอ่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีผู้นิยมซดแมงลักยิ่งกว่าน้ำเปล่าๆเสียอีก เดี๋ยวต้องละลายเดี๋ยวต้องละลาย เล่นกันหลายโอ่งเลย
            เรื่องโอ่งน้ำกินตั้งหน้าบ้านเพื่อเป็นทานแก่คนเดินทางนี้ มีบ้านหนึ่งมีบ้านอยู่ติดถนนตอนเกือบถึงวัดท่าพระเลย บ้านนี้ตั้งโอ่งกินไว้หน้าบ้านให้ทานทุกวันทุกปี เป็นโอ่งดินที่มีฝาปิดมิดชิด มีกระบวยวางไว้ให้ คือ บ้านเขาไม่เคยขาดโอ่งน้ำนี้ ใครเดินผ่านไปผ่านมาเมื่อไหร่หิวน้ำเป็นแวะเข้าไปกินได้ทันที จับกระบวยตักน้ำกันจนก้านกระบวยนั่นเป็นมัน
            นั่นคือไมตรีจิตที่เป็นประเพณีของคนไทยแท้แต่โบราณ ที่ว่าใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ ถึงไม่เข้าไปจนถึงบนเรือนบนชาน แต่ผ่านหน้าบ้านก็มีน้ำให้กิน ให้ลูบหน้าพอชื่นใจแล้ว มาถึงปัจจุบันนี้อย่าไปหาเลยเรื่องโอ่งน้ำกินหน้าบ้าน ขืนลองเอามาวางเข้าเถอะพ่อจะได้เทน้ำยกเอาโอ่งไปเสีย ยิ่งเป็นโอ่งมังกรหรือโอ่งดินรูปร่างโบราณอย่างนั้นยิ่งขายได้ราคา รับรองวางไว้ไม่ทันข้ามคืนเรียบร้อย
            เมื่องานแห่หลวงพ่อเกษรกับงานสงกรานต์ตามวัดต่างๆผ่านไปแล้ว คราวนี้ฝนก็ควรจะตกลงมาบ้าง ความจริงในบางครั้งในวันสงกรานต์นั่นแหละ ก็จะมีฝนตกลงมาบ้างแต่เบาบางพอให้อากาศเย็นชื่นไม่แห้งแล้งเกินไป บางทียังไม่ทันจะสิ้นเดือนหน้าด้วยซ้ำ ก็เล่นลงกันจั๊กๆแล้ว มีทั้งลม ทั้งพายุ พัดลูกมะม่วงที่กำลังครึ่งอ่อนครึ่งแก่ ที่เขาเรียกว่ากำลังเข้าคายนั่นน่ะ หล่นกันผลุผละ เด็กเล็กไล่แย่งเก็บกันโกลาหล
            ถัดจากหัวถนนแหล่งมั่วสุมของเราเด็กๆนั้น เป็นสวนของปู่ย่าตายาย มีมะม่วงต้นหนึ่งสูงชะลูดยังกะต้นตาล กิ่งก้านล่างๆขึ้นไปไม่มีเลย ไปมีกิ่งก้านแผ่สาขาอยู่บนยอดโน่น บานแฉ่งยังกะร่ม มะม่วงต้นนี้ออกลูกดกทุกปี เขาเรียกมะม่วงหัวกิ้งก่า เพราะเวลาเข้าคายนี่อีตรงท้ายลูกของมันติดกับขั้วน่ะ จะขึ้นลายปรุเหมือนฝ้าบนแก้มสาว เป็นสีอมแดงอมม่วงเหมือนสีอีตรงคอกิ้งก่าไม่มีผิด มะม่วงต้นนี้พอพายุมาหรือลมแรงหน่อยมันจะหล่นผลุผละ ผลุผละ ลงในรกในพง ในลำประโดง ถ้าเก็บกันทีจะเป็นกระจาด แต่เจ้าของไม่มีปัญญาเก็บ  เพราะต้นมันสูงชะลูดอย่างว่า พวกเราถือโอกาสเป็นเจ้าของ พอพายุมาละก็จะพากันวิ่งจี๋ไปที่โคนต้น ผลุลงมาทีก็เฮกันเข้าไปแย่งกันที ยิ่งลมแรงยิ่งหล่นลงมาทีละหลายลูก ยิ่งสนุกกันใหญ่ ไอ้เรื่องลงในน้ำในโคลนน่ะเหรอ เรื่องเล็ก ต่างคนต่างแก้ผ้า กางแผ่ไว้ริมตลิ่ง โดดโครมกันลงไปงมกันให้ฟ่อด  พอได้ก็เอามากองไว้บนผ้านุ่งหรือกางเกงของตัว สำหรับพอเลิกเก็บแล้วจะได้ห่อหิ้วกลับบ้านเลย แต่ผู้เขียนนั้นก็อย่างว่าน่ะแหละ มันเล็กกว่าเพื่อน ส่วนมากผู้ใหญ่ไม่ค่อยปล่อยให้มา แต่ถ้าวันไหนได้หนีมาได้ ก็ลงเฮกับเขาเหมือนกัน พลอยกี๊กก๊ากไปกะเขาเลาเขาแย่งกันนัว  แล้วตัวเองอย่างดีก็ลูกเดียว ที่เพื่อนๆมันยอมให้แย่งได้เป็นของตัว พากลับบ้าน ไม่คุ้มกับโดนด่า โดนจับอาบน้ำล้างเลนล้างโคลนที่เขละทั้งตัวหัวหู คราวหลังๆเลยเกิดความฉลาด แบบเรียนลัดดีกว่า หรือไม่รวยก็สวยได้ทำนองนั้นเพราะตอนที่เราไม่ยอมลงไปงมอยู่ในโคลนกะเขา ผู้เขียนจะสังเกตเห็นไอ้พวกที่แย่งกันนัวน่ะ พอมันแย่งได้ มันก็ตะกายขึ้นมาวางบนกองของมัน บนผ้านุ่งมั่ง กางเกงมั่ง แล้วก็ผลุบลงไปในลำประโดงอีก แต่ไอ้บางคนมันหัวดี พอวางของมันแล้ว มันก็หันมาวางบนกองของมัน  แล้วผลุบลงไปแย่งกะเขาใหม่ ผู้เขียนก็ได้แต่นั่งหัวเราะงอๆขันเป็นบ้า  เพราะมันไม่ได้ทำคนเดียวหรอก ต่างคนต่างก็ทำใครเผลอเป็นโดนหยิบทั้งนั้น  บางทีมะม่วงลูกเดียวกันน่ะแหละ แต่มันถูกวนไปอยู่บนกองโน้นมั่งกองนี้มั่ง เป็นวัฏจักร ผู้เขียนเลยเก็งได้ พอพายุชักซา มะม่วงชักไม่ค่อยหล่น ไอ้พวกนั้นมันจะเลิกแย่งกันแล้ว ผู้เขียนก็เลยรีบหยิบบนกองของพวกมันแหละกองละลูกสองลูก แล้วรีบหอบวิ่งกลับบ้านก่อน สบายบื๋อ
            จะเห็นว่าให้หน้าแล้งหน้าร้อนยังไงพวกเราเด็กชาวสวนไม่เคยทุกข์ สนุกกันทั้งปีทั้งชาติ แต่พวกผู้ใหญ่น่ะซีถ้าฝนไม่ตกลงมาจริงๆ แล้งไปตลอดจนถึงเดือนหกเขาจะเป็นทุกข์กันแล้ว ไอ้เรื่องน้ำกินน้ำใช้จ่ะไม่ต้องห่วงโอ่งน้ำฝนเขามีตั้งกันไว้รอบบ้าน กินได้ทั้งปีชนอีกปีไม่มีหมด น้ำใช้ก็พอวิดกันก้นคลองก้นคูเอามาแกว่งสารส้มใช้ได้ไม่มีอะไรเดือดร้อน แต่พวกต้นผลไม้นี่ซีมันแย่ อย่างต้นลำไยยังงี้ตอนเดือนสี่จะเข้าเดือนห้านี่ลำใยมันเพิ่งจะมีตุ่มเล็กๆแค่นั้นนะ คือ ลำไยนี่มันจะเริ่มผลิดอกออกช่อกันเมื่อตอนเดือนสาม เดือนสี่นี้ดอกที่บานเต็มต้นยังร่วงไม่หมดเลย ขณะที่เขียนเรื่องนี้ลำไยหน้าบ้านผู้เขียนเพิ่งจะโรยเอง เดือนห้าเดือนหกแหละถึงจะรู้แน่ว่ามันจะติดเป็นลูกได้สักแค่ไหน ระหว่างนี้ถึงต้องอาศัยน้ำบ้างให้มันได้ชุ่มชื่น ไม่งั้นเดี๋ยวมันร่วงหมดอดกัน เพราะฉะนั้นเดือนห้านี่ถึงต้องจำเป็นจริงๆ ที่ต้องมีฝนบ้างที่เขาเรียกฝนชะลานไง แต่บางปีมันก็ไม่ยอมตกลงมาซะเลย เกิดความแห้งแล้งกันไปทั่วทำให้ชาวสวนต้องคิดหาวิธีเรียกฝนกัน.

           
      
ตีพิมพ์ในหนังสือ ต่วย' ตูน
พฤษภาคม ๒๕๓๐ ปีที่ ๑๖ เล่มที่ ๙
โดย แก้ว แกมทอง
บันทึกเรื่องเก่าที่น่าศึกษาเรียนรู้ นำมาเผยแพร่อีกครั้ง เพื่อสัมผัสวิถิชีวิตของไทยยุคก่อน