++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สองขั้วการเมืองไทย-การเมืองอเมริกันความเหมือนที่แตกต่าง

โดย สุรพล จินดาอินทร์    
คนเห็นคน เป็นคน นั่นแหละคน
       คนเห็นคน ใช่คน ใช่คนไม่
       กำเนิดคน ต้องเป็นคน ทุกคนไป
       จนหรือมี ผู้ดีไพร่ ไม่พ้นคน
      
        “ประชาธิปไตย” ในประเทศไทย “วูบวาบ” เหมือนภูมิอากาศภายใต้ภาวะ “โลกร้อน” เดี๋ยวสว่าง เดี๋ยวมืดครึ้ม อึมครึมในบางเวลา เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว มีอาการครั่นเนื้อ ครั่นตัว “ระส่ำ” ไปหมด นับจากวันที่เรา “ทึกทัก” ว่า เรามี “ประชาธิปไตย” ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เราเข้าใจ “ตรงกัน” แล้วหรือ? ยิ่งวัน ยิ่ง “ตีความ” กันไปคนละง่าม โดยเฉพาะใน “ง่าม” ที่ตนได้ประโยชน์
      
       จึงขออนุญาตนำเอา “วรรคทอง” ของ “พรานบูรพ์” มาเตือน “สติ” นักประชาธิปไตยไว้สักหน่อย เพราะการ ”เห็นคน เป็นคน” นี่แหละ คือปฐมบทของ “ประชาธิปไตย” ตรงกับ “ทฤษฎีสัญญาประชาคม” (Social Contract) ที่เราไปเอาของฝรั่งมา แล้วก็ “พัฒนา” (รึเปล่า ?) ไปเป็นประชาธิปไตย “สองขั้ว”
      
        ขั้วที่หนึ่ง เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) มี “สีเหลือง” เป็นสัญลักษณ์ นำประชาชนเป็นแสนมาชุมนุมกันแบบมาราธอนนานถึง 193 วัน ในหลายสถานที่ ทั้งที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ทำเนียบรัฐบาล สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ มาเรียนรู้ “การเมือง” พร้อมกับ “นักรบหน้าจอ” ที่อยู่ทางบ้านอีกหลายล้านคน ว่ากันว่ามีนักศึกษา “มหาวิทยาลัยราชดำเนิน” จบปริญญาเอกเป็นจำนวนมาก เรียกว่าใช้ “เหตุการณ์” จริง เป็นหลักสูตร โดยมี “5 แกนนำ” เอาคณาจารย์มา “ประสาท” วิชาให้กับนักศึกษาถึงที่ แม้บางคนจะออกมาติงว่า มันน่าที่จะเป็นการเมืองเพียง “มิติเดียว” คือ มิติของการตรวจสอบการฉ้อฉลโกงกินของ “นักเล่น” การเมืองเท่านั้น แต่ก็เป็นการตรวจสอบที่ต้องยอมรับว่า “เข้มข้น” ในระดับที่เปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้เลย!
      
       ขั้วที่สอง เรียกตัวเองว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต ่อต้าน (ขับไล่) เผด็จการแห่งชาติ (นปก. หรือ นปช.) มี “สีแดง” เป็นสัญลักษณ์ ดูจาก “คณาจารย์” แล้ว เห็นได้ชัดว่านิยมระบอบ “ประชาธิปไตย” ที่มี “ทักษิณ” เป็น “ประมุข” พยายาม “ยกระดับ” ผู้ที่มาร่วมชุมนุมให้มีความเป็น “อารยะ” มากขึ้นกว่านี้ ถึงขนาดที่จะตั้งเป็น “สถาบัน” แต่ช่วงนี้ขอให้ “นักศึกษา” ฝึก “ปาไข่” เป็นระยะๆไปก่อน พร้อมเมื่อไหร่ คงมีอะไรเด็ดๆ ให้ “ฮือฮา” กันอีก อ่านจากที่คุณจักรภพหนึ่งใน “แกนนำ” ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์เมื่อ 18 ม.ค. 52 แล้ว เห็นภาพ “การปฏิวัติประชาชน” แบบฝรั่งเศสยังไงยังงั้น คือประชาชน “ลุกฮือ” ล้มล้างสถาบันต่างๆ ที่ไม่พึงปรารถนา ถ้าคนไทยมี “นกเอี้ยง” เกาะอยู่ที่ไหล่ทุกคน มันก็คงสำเร็จได้โดยง่าย แต่บังเอิญหลายสิบล้านคนเห็นภาพ “ศักดินา” หรือ “อำมาตยาฯ” ใหม่ ที่ “ซ้อน” ขึ้นมา “ทาบทับ” ของเก่าอย่างชัดเจน แบบที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพื่อใครคนหนึ่ง ที่ชอบ “โกหกคนอื่น จนตัวเองเชื่อ!”
      
       สังเกตให้ดี มีคำว่า “ประชาธิปไตย” อยู่ในทั้งสอง “ขั้ว!!”
      
       จะว่าไปแล้วนี่คือนิมิตหมายดี ที่ใครๆ ก็อยากจะให้มี “ประชาธิปไตย” แบบ “สองขั้ว” เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ถ้ายังจำกันได้ ในรัฐธรรมนูญ’40 ฝ่ายค้านจะต้องใช้เสียงถึง 185 เสียง จึงจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ ขณะนั้นพรรคไทยรักไทยของทักษิณมีเสียงร่วม 500 เสียง(ทั้งสองสภา 700 เสียง) ว่ากันว่าในวุฒิสภา 200 เสียง เป็นของทักษิณถึง 120 เสียง ทำอย่างไรฝ่ายค้านก็ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ เพราะฝ่ายค้านมีเพียงพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น พรรคอื่นๆ เช่น พรรคชาติไทย ก็ “ผสมพันธุ์” กับทักษิณเป็นที่เรียบร้อย กลายเป็น “ปลาไหลดอย” (แม้ว)ไป ทักษิณก็เลย “เบี้ยว” ไม่มาตอบกระทู้ของสภาตลอดระยะเวลาของการเป็นรัฐบาล หลายคนมีคำถามขึ้นในใจว่า ทักษิณไม่รู้เลยหรือว่า รัฐธรรมนูญ’40 “บกพร่อง” ใน “สาระสำคัญ” ที่ “อำนาจ” ทั้งสาม มันไม่ “สมดุล” คำตอบก็คือ ทักษิณและพวกรู้อยู่ตลอดเวลาว่า “บกพร่อง” แต่ทั้งหมด “หากิน” บนความบกพร่องนั้น ส่วนประชาชนก็ถูก “สั่ง” ให้จำว่ารัฐธรรมนูญ’40 ดีที่สุด! (จะได้ไม่ต้องแก้)
      
        การไม่มาตอบกระทู้ในสภา ถือได้ว่าไม่ให้ความสำคัญกับ “ระบบตรวจสอบและถ่วงดุล” ของอำนาจทั้งสาม หรือ Checks & Balances ที่รู้จักกันดี ไม่มี “สำนึก” ที่จะนำการแก้ไข “กติกา” ที่มันบกพร่องให้ถูกต้อง หลายคนอาจจะบอกว่าทักษิณ “ไม่รู้” ว่ารัฐธรรมนูญ’40 บกพร่อง ยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งไม่สมควรมาเป็น “ผู้นำ” ของคนกว่าหกสิบสามล้านคน ผู้รู้บอกว่านี่แหละเขาเรียกว่า “จริยธรรม ชำรุด” หนึ่งใน “คุณสมบัติ” ของ “เผด็จการ!”
      
       จากสัญญาณที่ดีกลายเป็น “ลางร้าย” ของประเทศ เป็น “อันตราย” ร้ายแรงกับระบอบประชาธิปไตย ในขณะเดียวกันก็เป็นประโยชน์กับ “เผด็จการ” ที่ทักษิณและ “บริวาร” ทั้งหลายกำลัง “สถาปนา” ขึ้นใหม่ แต่ก็ชอบอ้างว่ากำลังต่อต้านอยู่
      
       ต้องยอมรับกันว่า การออกมา “เดิน” บนท้องถนนของประชาชน ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตาม คือ “ความล้มเหลว” ของการเมือง “ในระบบ” ที่สะท้อนให้เห็นถึง “คุณภาพ” ของทั้ง “นักเล่น” การเมือง และ “กติกา” ทางการเมือง
      
       การเมือง “นอกระบบ” จึงเป็นเสมือน “สัญญาณ” ที่ผู้ปกครองจะต้องพึง “สดับ” รับฟังด้วยใจที่เที่ยงธรรม แล้ว “ตอบสนอง” ให้ถูกต้อง มิเช่นนั้นแล้ว มันจะถูกนำมาใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนนิยายที่จงใจแต่งไม่ให้มีจุดจบ ไม่มีที่ลง เป็น “Anti Climax” ที่จะทำให้คนอ่าน “ล้า” และเบื่อจนเลิกอ่านไปเอง
      
       แม้ว่านักวิชาการและนักร่างรัฐธรรมนูญ จะใช้ความพยายามตลอด 76 ปีที่ผ่านมา ออกแบบการเมืองของเราให้เป็น “สองขั้ว” แบบอเมริกัน แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ พลันที่ฟ้าส่ง “ทักษิณ” ให้มาเกิด (เป็นนายกรัฐมนตรี) ประเทศของเราก็ถูก “แบ่ง” ออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ เริ่มจากประเทศเดียวมี “สอง” มาตรฐาน ตามด้วยจังหวัดไหนเลือก “ทักษิณ” จะได้ “รางวัล” จังหวัดไหนไม่เลือก ก็ไม่ได้รางวัล และพัฒนาจนกลายมาเป็น “สีเหลือง” และ “สีแดง” ในที่สุด สะท้อนอีกหนึ่ง “อัปลักษณ์” คือ “ภาวะผู้นำบกพร่อง” ครบเครื่องจริงๆ
      
       แทนที่เราจะใช้ความหลากหลาย เพื่อช่วยกันคิดทำให้บ้านเมือง “เปลี่ยนแปลง” ไปในทางที่ดี แบบสหรัฐอเมริกา ที่ทุกคนเข้ามาร่วมมือกัน “ช่วย” ประธานาธิบดีบารัค โอบามาทำงานไปตามที่ตัวเองถนัด (แม้ว่าก่อนหน้านี้แข่งขันกันแทบตาย) ด้วยเห็นพ้องต้องกันว่า “ผลประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” เรากลับทำให้ “โอกาส” กลายเป็น “วิกฤต”
      
       สิ่งที่ “แกนนำ” ทุกฝ่ายควรทำก็คือ นำ”พลังบริสุทธิ์” (พวกผู้มาชุมนุมเชื่อในสิ่งที่แกนนำทำ ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์) มาใช้ “ขับเคลื่อน” ใน 2 มิติ กล่าวคือ ให้คนที่มีอาชีพเดียวกัน เช่น ผู้ผลิตและขายหนังสือ สื่อ หรือสิ่งพิมพ์เพื่อการศึกษา เรียกร้องกับรัฐบาลว่า พวกเขาจะต้องอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา “ศูนย์” เท่านั้น จึงจะทำให้หนังสือ และสื่อทั้งหลาย มีราคาที่ถูกลง เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการศึกษาของประเทศ ไม่ใช่ไม่ต้องเข้าอยู่ในระบบแบบทุกวันนี้ กลายเป็นว่าค่าหมึก ค่ากระดาษ ฯลฯ มีภาษีมูลค่าเพิ่มติดมาทุกตัว แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถ “เครดิต” ออกได้ หนังสือและสื่อการศึกษาจึงมีราคาแพงมาก อันนี้เป็นมิติของกลุ่มคนที่มีอาชีพเดียวกัน
      
       อีกมิติหนึ่งเป็นของประชาชนที่อยู่ในจังหวัดเดียวกัน เช่น จังหวัดสุพรรณบุรีมีการ “ดูด” งบประมาณของท้องถิ่น ไปเป็นประโยชน์เพื่อคนเพียงคนเดียว เอาไปดำเนินกิจกรรมที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วม ไม่มีการแสดงความคิดเห็น ทำให้องค์กรเล็กๆ เช่น โรงเรียนในท้องถิ่นไกลๆ “ขาด” งบประมาณที่จะใช้สนับสนุนความจำเป็นของเด็กตาดำๆ มวลชนจะต้องรวมตัวกัน เฝ้าระวังไม่ให้นักการเมืองท้องถิ่น “ร่วมมือ” กับโจรระดับชาติ “ปล้น” เอางบประมาณของลูกหลานไป อาจจะต้องไปชุมนุมกันในวันที่สภาท้องถิ่นทั้งหลายประชุมกันเพื่อผ่านงบประมา ณนั้น
      
       เป็นการเปลี่ยน Social Group ให้เป็น Interest Group เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ (ในทางที่ชอบ) ของพวกเขา “ผู้ชุมนุม” ต่างก็มีอาชีพ มีผลประโยชน์ของตนอยู่แล้ว ชี้ให้เห็นว่าพวกเขามีสอง “สถานะ” ทั้ง “ผู้ร่วมชุมนุม” และ “ผู้มีอาชีพ” จากนั้นพวกเขาก็จะ “ผลักดัน” การเมืองให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องโดยอัตโนมัติ เพราะผลประโยชน์ของพวกเขาเป็นผลประโยชน์ที่ถูกต้อง ที่พวกเขาจะต้องได้รับอยู่แล้ว เป็นการเปลี่ยนจาก “นักดู” มาเป็น “นักเล่น” การเมือง (ภาคประชาชน)
      
       เราจะต้อง “พัฒนา” คนเข้าสู่ระบบ ด้วยการ “สอน” ไม่ใช่ “เสี้ยม” ให้ต่อสู้กันจนถึงที่สุด ปัจจุบันก็คงพอที่จะมองออกว่า ใครกันที่ชอบ “เสี้ยม” มากกว่า “สอน”
      
       ถ้ายังคงหลงอยู่ใน “วังวน” เดิมๆ คือ ผลประโยชน์ของประชาชนบางกลุ่มเป็นใหญ่ ซ้ำซากอยู่กับการ “เสี้ยม” แทนการ “สอน” สงครามกลางเมืองแบบประเทศระวันดาคงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก สุดท้าย “สีเขียว” ก็จะทำหน้าที่ “ตาอยู่” มาคว้าพุงเอาไป ปล่อยให้สีเหลืองและสีแดง “อกหัก” ไปตามระเบียบ เพราะตลอดเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน “สีเขียว” มีบทเรียนเยอะมาก เขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน และ “พัฒนา” มาอย่างต่อเนื่อง จน “เนียน” แทบมองไม่เห็น บางครั้งเป็นสีเขียวแกมแดง บางครั้งก็เป็นสีเขียวแกมเหลือง นั่งบนภู ดู “สองขั้ว” ฟัดกัน ไม่ต้องเอารถถังออกมาให้เหนื่อยแรง แค่ “บริหารสถานการณ์” ให้เป็นเท่านั้นเอง ไม่ต้องสนใจว่า “อำนาจ” ที่ติดตัวมนุษย์จากธรรมชาติจะเป็นเช่นไร “ไม่เห็นคน เป็นคน” นั่นเอง
      
        ส องขั้วการเมืองไทยกับสองขั้วการเมืองอเมริกัน จึงเป็นความเหมือนที่ “แตกต่าง” กันด้วยประการฉะนี้ และเป็น “สองขั้ว” ที่คนไทยจะต้องเลือกระหว่าง “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ “ระบอบ..(อะไร? ก็ยังไม่รู้!) ที่มีทักษิณเป็นประมุข...!!”

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000014858

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น