++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เสียสาววันวาเลนไทน์ : เหยื่อแห่งความหลงผิด

โดย สามารถ มังสัง    
สิบสี่กุมภาเวียนมาถึง
       เป็นวันซึ่งหนุ่มรอขอรักสาว
       ถือโอกาสวาดฝันอันยืดยาว
       หวังให้สาวหลงเชื่อเป็นเหยื่อกาม
        หากสาวใดใจแตกแยกไม่ออก
        ระหว่างหลอกกับจริงยิ่งน่าขาม
        ตกเป็นเหยื่อแห่งมิจฉาศรัทธาทราม
        โลกประณามเป็นกากีมีแต่ตรม
       ด้วยเหตุที่วาเลนไทน์ใช่ไทยแท้
       เป็นเพียงแต่เหตุอ้างเพื่ออุ้มสม
       คนไทยควรเป็นไทใจนิยม
       ไม่หลงลมคำอ้างวาเลนไทน์
      
        ท่านผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์นี้มาตลอด คงจะแปลกใจไม่มากก็น้อยที่ได้เห็นข้อเขียนที่ขึ้นต้นด้วยบทกวีแบบนี้ เพราะไม่เคยคิดว่าผู้เขียนจะนำเรื่องนี้มาเขียน
      
        แต่ถ้าท่านผู้อ่านที่เคยได้ยินได้ฟังรายการกวี ซึ่งจัดโดยคุณนคร มังคลายน ทางวิทยุยานเกราะ 890 เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ก็คงจะเคยได้ยินบทกวีของผู้ใช้นามปากกา ส.วงศานุรักษ์ ก็คงไม่แปลกใจเพราะนั่นคือกวีที่ผู้เขียนแต่งเอง และได้ถูกนำเสนอทางรายการนี้มาเป็นระยะๆ
      
        ดังนั้นข้อเขียนวันนี้ก็คือ การปลุกจิตแห่งความเป็นกลอนให้เกิดอีกครั้ง เป็นการแก้ความเบื่อหน่ายทางการเมือง และเป็นการสะท้อนปัญหาสังคม ในทำนองเดียวกับที่เคยนำเสนอทางยานเกราะในอดีต
      
        ส่วนว่าเหตุที่ได้หยิบเรื่องของวันวาเลนไทน์มาเขียน ก็ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้
      
       1. สังคมไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มที่เกิดปัญหาศีลธรรมเสื่อม และนำไปสู่ปัญหาการกระทำผิดคดีอาญาทางเพศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มีการแก้ไขป้องกันให้ตรงกับต้นเหตุแห่งการเกิดปัญหา
      
       2. ผู้คนในสังคมไทยวันนี้มองไม่เห็นหรือมองข้ามเหตุให้เกิดปัญหาศีลธรรมเสื่อม จะเห็นได้จากการที่ปล่อยให้บุตรหลานเที่ยวเตร่สถานบริการในยามค่ำคืน และแต่งตัวยั่วโลกีย์อย่างโจ่งแจ้งมากขึ้น
      
       3. ค่านิยมในการส่งเสริมให้วัยรุ่นรักนวลสงวนตัว ไม่ชิงสุกก่อนห่ามมีน้อยลง และอาจพูดได้ว่าในบางครั้งไม่เหลือให้เห็นแล้วด้วยซ้ำ
      
       4. ในทุกวันนี้วัยรุ่นแสดงทัศนะเกี่ยวกับการเสียตัวในวันวาเลนไทน์ เหมือนยอมรับกันอย่างเปิดเผยว่า เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยไปแล้ว และวัยรุ่นประเภทนี้ไม่มองว่าเป็นความผิดปกติของการทำเช่นนี้
      
        ด้วยเหตุ 4 ประการที่ว่านี้เองที่ทำให้ต้องเขียนเรื่องนี้
      
        ส่วนว่าเขียนแล้วจะช่วยให้ผู้อ่านได้ประโยชน์จากการอ่านมากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับ 2 เหตุปัจจัย คือ
      
       1. อุปนิสัยใจคอของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
      
       2. ปัจจัยแวดล้อมอันเป็นตัวช่วยอุปนิสัยดั้งเดิมมีความเข้มมากขึ้น เมื่อแสดงออกทางพฤติกรรมโดยผ่านทางการพูดและการกระทำ
      
        ถ้าเผอิญท่านผู้อ่านที่ยังยึดมั่นในค่านิยมเก่าๆ ที่สอนให้เด็กสาวรักนวลสงวนตัวดังที่ปรากฏ ในคำสอนสุนทรภู่เรื่องสุภาษิตสอนหญิง ที่ว่า
      
        ถ้ารักจริงให้สู่ขอต่อพ่อแม่
        อย่าวิ่งแร่หลงงามไปตามง่าย
        เขาไม่เลี้ยงไล่ขับจะอับอาย
        ต้องเป็นหม้ายอยู่กับบ้านประจานตน
      
        จากกลอนบทนี้ชี้ให้เห็นว่า ค่านิยมของคนไทยในยุคต้นรัตนโกสินทร์ที่แสดงออกผ่านกวีเอกสุนทรภู่นั้น ยังเน้นให้หญิงสาวรักนวลสงวนตัว รอให้ถึงเวลาที่ฝ่ายชายจะมาสู่ขอไปเป็นแม่เหย้าแม่เรือน และอีกบทหนึ่งที่ไม่ปรากฏว่าใครเป็นคนแต่ง คือ
      
        อันผักหญ้าปลาเคล้าคาวระบาด
       ใส่กระจาดล้างน้ำกลิ่นจางหาย
       เมื่อสตรีหลงเสียสาวแก่เหล่าชาย
       อย่าพึงหมายว่ากลิ่นจะสิ้นคาว
       แม้นวันนี้มิรู้อยู่อีกหน่อย
       กลิ่นก็ค่อยกระพือให้อื้อฉาว
       ถึงใส่น้ำชะล้างไม่สร่างคาว
       ขอสาวสาวจงจำคำเตือนเอย
      
        จากคำกลอนนี้บ่งบอกชัดเจนว่า ในอดีตได้ยึดถือความบริสุทธิ์ของผู้หญิงว่าไม่ควรปล่อยให้เปรอะเปื้อนด้วย น้ำมือชาย และถ้าบังเอิญเปรอะเปื้อนแล้วก็ยากที่จะแก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิม เป็นการป้องปรามและตำหนิติเตียนสตรีเพศอย่างเป็นรูปธรรมยิ่ง
      
        อนึ่ง เกี่ยวกับพฤติกรรมสตรีเพศในอันที่จะต้องระวังตัวเอง และเป็นการเตือนบุรุษเพศที่ตั้งความหวังไว้กับการที่ผู้หญิงจะครองความ บริสุทธิ์ไว้ได้จนถึงวันและวัยอันควรนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก จะเห็นได้ในคำสอนที่ว่า “สตรีเพศเปรียบเหมือนบ่อน้ำ ทางเดิน และศาลาพักร้อนริมทาง” ที่ใครต่อใครจะเดินผ่านมาไม่ขาดระยะ จึงยากที่จะรักษาไว้เป็นสมบัติส่วนตัว
      
        นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังได้สอนแนวทางป้องกันตนเองให้พ้นไปจากการกระทำที่เสี่ยงต่อการ เสียสาวว่า สิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจ 3 ประการ คือ
      
       1. อสรพิษที่เลื้อยบนหน้าผาสูง เนื่องจากสามารถฉกกัดผู้คนที่เดินผ่านหน้าได้ทุกเมื่อ
      
       2. เรือเล็กที่โต้คลื่นในทะเลลึก เนื่องจากจมได้ตลอดเวลา
      
       3. หญิงสาวที่อยู่ต่อหน้ากับคนรักในที่ลับสองต่อสอง เนื่องจากมีโอกาสพลาดพลั้งเสียสาวได้ตลอดเวลา
      
        ด้วยเหตุนี้ ถ้าพ่อแม่หรือผู้ปกครองต้องการให้ลูกสาวอยู่รอดปลอดภัยจากการสูญเสีย พรหมจรรย์ก่อนถึงวันและวัยอันควรแล้ว ก็ควรอย่างยิ่งที่จะปลูกฝังค่านิยมให้รู้จักรักนวลสงวนตัว และรู้จักป้องกันตัวเองโดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียสาว โดยเฉพาะการอยู่สองต่อสองกับคนรักในที่ลับหูลับตา อันเป็นการเปิดโอกาสให้ตกเป็นเหยื่อแห่งความต้องการทางเพศตามแรงผลักดันของ ความต้องการ ซึ่งเกิดโดยสัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ตามลักษณะของสิ่งมีชีวิตทั่วไป
      
        ทำอย่างไรจึงจะป้องกันปัญหาศีลธรรมเสื่อมในกลุ่มวัยรุ่น?
      
        เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนเห็นว่าได้มีการพูด เขียน และเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ อย่างดาษดื่นอยู่แล้ว แต่ทว่ามิได้ทำให้ปัญหาลดลง จึงน่าจะลองทบทวนแบบเรียนดู โดยการให้ความรู้ให้ความคิด แต่เน้นในเรื่องศีลธรรมในทุกวัยของเด็กโดยผ่านทางการสอนของโรงเรียน และวัดอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยให้เพิ่มคะแนนวิชาศีลธรรมให้มากเท่ากับวิชาอื่นๆ และถ้าสอบตกก็ให้ถือว่าไม่ผ่านหรือให้ผ่านแต่ต้องซ่อม โดยการให้ฝึกปฏิบัติเป็นการเพิ่มเติมตอกย้ำให้เห็นคุณค่าของศีลธรรมมากขึ้น
      
        ยิ่งกว่านี้ ถ้าทำได้ในการประเมินการทำงานของข้าราชการ ควรให้การวัดในเรื่องศีลธรรมจริยธรรมให้มีผลในการเลือกรับ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งด้วย
      
        ถ้า ทำได้เช่นนี้ เชื่อได้ว่าศีลธรรมจะมีขึ้นโดยไม่ต้องไปแก้ไขปัญหาแบบผักชีโรยหน้า ด้วยการส่งเสริมแกมบังคับให้คนเข้าวัด ดังที่บางหน่วยราชการกระทำอยู่

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000017714

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น