++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เนวินจะเป็นนายกฯ … ดูทางนี้ก่อน!

โดย สิริอัญญา    
นับแต่การเปลี่ยนขั้วรัฐบาลก็ดูเหมือนว่าการนำเสนอข่าวคราวว่านายเนวิน ชิดชอบ มีแนวโน้มจะเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต สมดังคำทำนายทายทักของนายชัย ชิดชอบ ผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้ามากขึ้นโดยลำดับ ในขณะที่มีเสียงแย้งจากลูกน้องของนายเนวิน ชิดชอบ เองว่านายเนวิน ชิดชอบ ไม่ปรารถนาเช่นนั้นเลย
      
       นายเนวิน ชิดชอบ จะเป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ หรือ? หรือว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จะเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต? เป็นคำถามที่อยู่ในหัวใจของคนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
      
       ดัง นั้นในวาระเช่นนี้จึงสมควรที่จะได้แสดงความจริงเรื่องความทุกข์ของนายก รัฐมนตรี เหมือนดังที่เคยเขียนเตือนคุณทักษิณ ชินวัตร หรือคุณสมัคร สุนทรเวช หรือคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาแล้ว
      
       ก็ต้องเริ่มต้นการกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยการเชิญชวนให้ไปที่ศาลพระ พรหมที่หน้าโรงแรมเอราวัณ หรือไปที่ศาลเจ้าพ่อเสือ หรือไปที่วัดเล่งเน่ยยี่ก็ได้ เข้าไปข้างในแล้วไปยืนอยู่ใกล้ๆ กับองค์พระสักพักหนึ่ง จากนั้นก็สังเกตเหตุการณ์ต่างๆ ให้ดี ก็อาจมีดวงตาเห็นธรรม
      
       ก็จะเห็นความจริงเหมือนๆ กันว่ามีคนไปกราบไหว้บูชากันล้นหลาม กลิ่นธูป ควันเทียนคลุ้งไปหมดจนแสบหูแสบตา บางทีก็ต้องสำลักควัน บางทีก็น้ำตาไหล ยืนอยู่ไม่ทันไรก็ต้องรีบหนีออกมา
      
       และแค่ชั่วเวลาไม่นานเท่าใดที่ยืนดูอยู่นั้นก็คงจะได้เห็นความจริง ชัดๆ ว่าบรรดาผู้คนทั้งหลายที่ไปไหว้กราบนั้น ล้วนแต่วิงวอนร้องขอต่างๆ นานา สารพัดสาระเพที่จะกล่าวถึง
      
       คืออะไรนึกขึ้นได้ว่าเป็นความปรารถนาของคน ทั้งที่เป็นความปรารถนาพื้นๆ ธรรมดา หรือที่พิสดารวิปริตผิดมนุษย์มนาก็จะได้เห็น ก็จะได้ยิน
      
       เมื่อได้เห็นอย่างนั้นแล้วก็ลองนึกเอาเองว่าถ้าเป็นพระพรหมเสียเองแล้วจะรู้สึกอย่างไร
      
       จะเอือมระอากับกลิ่นธูป ควันเทียนที่คละคลุ้งอยู่ทุกวันเวลาสักปานไหน จะรู้สึกนึกรำคาญอยากจะหนีไปให้ไกลๆ หรือไม่ประการใด
      
       จะเหนื่อยหน่ายกับการที่ต้องดลบันดาลให้สมใจอยากในประการต่างๆ ของผู้คนที่มาวิงวอนร้องขอวันแล้ววันเล่า เรื่องแล้วเรื่องเล่า ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ ไปจนถึงเรื่องล้ำลึกพิสดารสักปานไหน
      
       นั่นล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากคนที่มากราบไหว้ มาอ้อนวอน มาร้องขอ ไม่ได้ข่มขู่หรือบังคับใดๆ ปานนั้นแล้ว ลองนึกดูให้ดีว่าถ้าตกอยู่ในสถานะเช่นนั้นจะทนอยู่ได้สักกี่วัน และจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สบายกายสบายใจหรือไม่เพียงใด
      
       ภาวะอย่างนั้นหากจะเทียบกับภาระของคนที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วยังห่างกันไกลลิบลับ
      
       เพราะคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากจะต้องเผชิญกับเรื่องแบบเดียวกันกับเรื่องราวที่ผู้คนไปกราบไหว้อ้อน วอนร้องขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นแล้ว ยังต้องเผชิญกับการข่มขู่บังคับกดดันนานัปการ
      
       เป็นการกดขี่ข่มเหงบังคับกดดันทั้งโดยตรง ทั้งโดยอ้อม ทั้งโดยทางเปิด ทางลับ และโดยทั้งวิธีการที่พิสดารสุดที่จะกล่าวถึงได้หมดสิ้น
      
       ไม่ต้องไปดูอะไรกันอื่นไกล ดูกันแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะเห็นเด่นชัดเช่นนั้น ดังที่จะลองสาธกยกมาให้ดูเพียงบางประการ ก็จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญ เป็นเรื่องน่าอิดหนาระอาใจ เป็นเรื่องน่าสมเพชเวทนา และเป็นเรื่องที่กดดันบังคับจิตใจสักเท่าใด
      
       เรื่องแรก เป็นเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ คือเรื่องที่กระทรวงคมนาคมจะเสนองบประมาณปี 2553 ต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวงเงินถึง 1.41 ล้านล้านบาท โดยไม่ได้ดูเหนือไม่ได้ดูใต้เลยว่ากรอบงบประมาณปี 2553 ของรัฐบาลนั้นได้กำหนดไว้เพียง 1,900,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนนี้ก็ต้องกู้เงินมาใช้ตั้ง 300,000-400,000 ล้านบาท
      
       หากจะจัดสรรงบประมาณตามที่กระทรวงคมนาคมต้องการ ในปี 2553 ทั้งประเทศก็จะมีเงินเหลือจับจ่ายใช้สอยแค่ 500,000 ล้านบาท เอากันแค่เงินเดือนข้าราชการก็แทบจะไม่พอแล้ว แล้วกระทรวงทบวงกรมอื่นๆ เล่าเขาจะเอาเงินที่ไหนไปจับจ่ายใช้สอย
      
       นี่ ถ้าหากไม่ใช่เรื่องคนไม่รู้เรื่องมาเป็นรัฐมนตรี ก็ต้องถือว่าเป็นการข่มขู่กดดันบังคับหรือกรรโชกเอาซึ่งหน้าทีเดียว และมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นด้วย เพราะมีการข่มขู่ว่าถ้าไม่ได้รับงบประมาณจำนวนนี้ก็อาจมีการทบทวนการร่วม รัฐบาล
      
       เรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ เหมือนกัน คือเรื่องของกระทรวงมหาดไทยที่เตรียมการจะเพิ่มเงินเดือนให้กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศ โดยรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงประกาศต่อสื่อมวลชนว่าถ้าไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ดังกล่าวก็จะต้องทบทวนการร่วมรัฐบาลเหมือนกัน
      
       คงมองว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นเด็กอมมือ เหมือนกับที่คุณทักษิณ ชินวัตร มองว่าเป็นเด็กเล็กๆ 2 คนที่แก้ปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้หรืออย่างไร
      
       เรื่องที่สาม เป็นเรื่องใหม่ๆ เหมือนกัน คือเรื่องที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้จัดหาวงเงิน 100,000 ล้านบาทเพื่อให้เกษตรกรชาวนา ชาวสวน และผู้ค้าขายรายย่อยต่างๆ ได้กู้เงินดอกเบี้ยต่ำเพื่อไปซื้อรถยนต์ โดยอ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
      
       ข้อเสนอแบบนี้ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าคนที่จะได้รับประโยชน์เต็มๆ ก็คือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของต่างชาติ 2-3 รายในประเทศไทย ที่กำลังตกที่นั่งลำบากเนื่องจากขายรถไม่ได้ตามภาวะเศรษฐกิจที่เป็นเหมือน กันทั้งโลก โดยที่เกษตรกร ชาวนา และผู้ใช้แรงงานเหล่านั้นจะต้องแบกภาระกู้หนี้ยืมสิน ต้องเสียดอกเบี้ย และไม่รู้ว่าจะหารายได้จากที่ไหน
      
       โครงการนี้จึงเป็นแค่โครงการสร้างหนี้ให้แก่คนยากคนจนเพิ่มขึ้นจาก ที่เป็นหนี้สินจนสิ้นไร้ไม้ตอกกันอยู่แล้ว โดยวงเงิน 100,000 ล้านบาทนั้นจะไปตกได้แก่ทุนต่างชาติที่เป็นเจ้าของโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ 2-3 รายเท่านั้น
      
       เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องข้อเรียกร้องจากรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่ต้องการให้รัฐบาลจัดสรรเงินไปจับจ่ายใช้สอยภายใต้วาทกรรมอันหรูว่าเพื่อ เสริมสภาพคล่อง บ้างก็ว่าเพื่อความแข็งแกร่งของฐานะการดำเนินงาน ไม่ว่าด้วยการขอเงินไปเพิ่มทุน หรือด้วยการเอาเงินไปซื้อหนี้เสียหรือทรัพย์สินที่ไม่มีราคาออกไปจากกิจการ เป็นวงเงินหลายแสนล้านบาท
      
       เรื่องที่ห้า เป็น ข้อเรียกร้องจากองค์กรที่มีเสียงดัง กล้ามโต ของประเทศไทย ซึ่งมีอยู่ 3 องค์กร และไม่เคยมีปากมีเสียงใดๆ ในสมัยรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร เลย พอมาถึงวันนี้ก็มาตั้งข้อเรียกร้องให้รัฐบาลจัดหาเงินไปจับจ่ายใช้สอย และในการดำเนินธุรกิจในรูปแบบต่างๆ หลากหลาย เป็นวงเงินหลายแสนล้านบาทเช่นเดียวกัน
      
       เหตุผลของการขอเงินภาษีของประชาชนไปใช้ของพวกเสียงดัง กล้ามโต คืออ้างว่าเพื่อจะได้ไม่ต้องเลิกจ้างงาน เป็นการช่วยเหลือไม่ให้คนงานตกงาน
      
       แต่ที่ไม่พูดก็คือได้เงินไป 100 บาท ไปจ่ายค่าแรงเพียง 5-10 บาท ส่วนอีก 90-95 บาทที่เหลือก็เก็บเข้ากระเป๋า เป็นประโยชน์ในการดำเนินงานของพวกตนต่อไป
      
       เรื่องที่หก เป็นข้อเรียกร้องของบรรดาเกษตรกรและผู้ใช้แรงงานจากทั่วสารทิศ ที่ขณะนี้ทำมาค้าขายอันใดไม่เป็นอีกแล้ว ผลิตผลออกมาเท่าใดก็ไม่รู้จะขายที่ไหน และไม่รู้จะขายอย่างไร ต้องออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลรับซื้อหรือรับจำนำร่ำไปทุกปี
      
       ทำกันอย่างนี้ปีแล้วปีเล่าจนถึงวันนี้ เกษตรกรและผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ของประเทศขายผลิตผลหรือสินค้าหรือบริการเอง ไม่เป็น และทำไม่ได้ ต้องให้รัฐอุ้มชูเรื่อยไป
      
       เป็นภาวะที่บอกให้เห็นชัดๆ ว่าพัฒนาการของประเทศทำให้สังคมไทยเข้มแข็งขึ้นหรืออ่อนแอลงกันแน่?
      
       เรื่องที่เจ็ด ภายในพรรคแกนนำเองก็แก่งแย่งแข่งดีตีกันจ้าละหวั่น กระทั่งงัดกลยุทธ์ล้ำลึกพิสดารแบบวัวชนมาใช้กัน ทั้งๆ ที่อยู่พรรคเดียวกัน มีหัวหน้าคนเดียวกัน ใส่เสื้อสีเดียวกัน ก็ยังมีอันเป็นได้ถึงปานนั้น
      
       เรื่องที่แปด สารพัดกลุ่มสารพัดสถาบันพากันมาเชิญไปพูดบ้าง ไปเปิดงานบ้าง ไปเป็นประธานในการเปิดป้ายบ้าง แต่งงานบ้าง จนวุ่นวายสับสนไปหมด ไม่ไปก็ไม่ได้ ขืนไปก็ไม่มีอันได้ทำการงานใดๆ อีก
      
       ลองนึกดูเอาเองก็ได้ว่าเอากันแค่แปดประการนี้ จะเป็นเรื่องที่น่าอิดหนาระอาใจ น่าเบื่อหน่าย สักเพียงไหน แล้วมีอะไรดีเกิดขึ้นบ้างเล่า? นอกจากเสียงก่นด่า ขุดเรื่องราวแต่ภพไหน ครั้งไหนมาว่ากล่าว ราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ยังมีให้เห็น เพียงเพื่อเป็นเหตุให้ทำลายล้างกันก็เป็นอันพอใจ
      
       สภาพ การเมืองเก่าที่เน่าเฟะเช่นนี้ ถึงใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะมีสภาพไม่ต่างกัน จึงน่าจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจของใครต่อใครที่ใคร่กระหายอยากเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ควรจะได้พิจารณาด้วยความแยบคายดูว่าจะเลือกชีวิตแบบนั้นหรือว่าจะเลือก วิถีชีวิตที่ศานติและมีความสุข โดยควรแก่ระยะเวลาของชีวิตซึ่งมีน้อยนิดนักหนานี้.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000020329

1 ความคิดเห็น: