++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เป็นพ่อแม่จะว่าลำบากก็ไม่เชิงหรอกครับ

ผมมีลูกชาย2คน เรียนในรร.สหศึกษาทีดีแห่งนึง มีทั้งหญิงทั้งชาย
ที่ว่าดีคือมีมาตราฐานการศึกษาหลายด้าน ข้อนี้ทำให้เบาใจไปนิดนึง เพราะคุณครูส่วนใหญ่มีคุณภาพสูง

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเมื่ออายุพ้น เกณท์ประถม
เริ่มเข้าสู่มัธยม ผมก็เริ่มดูรูปพวกอนุสรณ์ประจำปี ทำนองนั้น
แล้วก็วิจารณ์ไปงั้นๆว่าเด็กคนนี้ท่าทางจะสวยนะ
ดูการยืนสิดูเรียบร้อย เครื่องแบบที่ใส่ก็จัดดีก่อนถ่ายรูป

ลูกก็มีทั้งค้าน ทั้งอือออ ผมจับจุดตรงนั้นครับ
เพราะเค้าเรียก ยายนั่น นังนั่น หรือแม้แต่ eนั่น บางคน เค้าก็จะใช้คำว่าคนนี้เหรอ
ผมจะถามว่าทำไมเรียกต่างกัน พอลูกอธิบาย นั่นคือ ปฐมบท ที่พ่อแม่จะรู้แล้วครับว่าลูกคิดอะไร

อย่างแรกที่เราสอนก็คือ ลูกควรจะเรียกให้เหมือนๆกัน ไม่ว่าจะชอบหรือเกลียด
เป็นการให้เค้าได้รู้สึก (ไม่ใช่สอน) ว่า หน้าตา ฐานะ นิสัยของคนย่อมไม่เหมือนกัน
แต่ลูกไม่ควรเลือกปฎิบัติ ถ้าเค้าเถียงต่อว่าคนนี้ไม่สมควร
อ่านเค้าตรงนี้อีกครับ ว่าลึกๆเกลียดจริง หรือ ชักจะชอบ

คำถามต่อมาจึงยิงใส่เลยว่า คนไหนสนิท ชอบใจที่สุด
สำหรับผู้หญิงนะ (ผู้ชายก็ถาม แต่ขอยกประเด็นไว้)

ถ้าลูกเริ่มดูอายๆ ก็แน่ใจได้ว่าลูกไม่ไข้วเขวในเรื่องเพศ รร.น่าจะสอนได้ดีระดับนึงแล้ว

ต่อจากนั้นผมถึงจะเกริ่นเรื่องการให้เกียรติ การออกไปทานข้าว กับกลุ่มเพื่อนๆ
การปฎิบัตมรรยาททั่วๆไปของผู้ชาย มรรยาทบนโต๊ะอาหารเป็นต้น

หลังจากนั้นค่อยมาเรื่องการมีแฟน เค้าอยากเลือกอย่างไร
**ฟังเขาพูดให้จนจบ (ถามแต่ที่เรื่องจะไม่สะดุด)**
แล้วค่อยพูดเรื่องผมเองกับแม่เค้า ว่ากว่าจะรักกัน มีลูกออกมา ต้องปะคบปะหงมอย่างไร
จุดนี้คือสอนเรื่องความรัก ผลพวงของการอยู่ร่วมกัน

เด็กเองจะคิด และไปผนวกเองครับ ว่า อายุ ความสัมพันธ์ทางเพศ ควรดำเนินไปทางไหน
ลูกทั้งสองคนของผม เรียน และจบในคณะที่คนทั่วไปคิดว่าห้าวบ้าง และพวกสติแตกบ้าง
แต่ทั้งคู่ ก็ไม่ได้เกินขีดที่ยอมรับไม่ได้แต่อย่างใด

ปัจจุบัน ยังไม่ได้แต่งทั้งคู่นะครับ เพราะเพิ่งบรรลุนิติภาวะ
ผมไม่ทราบ อนาคตของเนื้อคู่เค้าว่าจะเป็นอย่างไร
แต่ค่อนข้างแน่ใจ ว่าทั้งสองคนไม่หลงเพศ
และคงไม่ไปทำลายสิ่งหวงแหน หรือไม่หวงแหนของใคร
มีเพื่อนๆผู้หญิง คอยโทรมาชวนทานข้าว ไปเที่ยว
ผมอนุญาติเค้าทุกกรณีย์ ขอเว้นที่ที่ไม่สมควรไปก็เท่านั้น

เฮ้อ...เป็นพ่อแม่จะว่าลำบากก็ไม่เชิงหรอกครับ
เอาสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ของเราทำมา สอนเรามา นำมาดัดแปลงให้ถูกยุคถูกสมัย

ไม่เห็นจะต้องสอนใหโฉ่งฉ่าง และทำให้เด็กๆ เกิดความสับสน อยากรู้
จนนำไปสู่การทดลอง ที่นำไปสู่ความสงสัย
(ไม่ใช่สอนวิทย์นี่ มันมีเรื่องจริยธรรมเกี่ยวด้วยนิ)
แล้วก็เกิดความสงสัยติดใจ ไปจนเกิดเรื่องครับ

มันอาศัยเวลาที่ยาวนานครับ เหมือนที่ผมผล่ามมานิ
MO

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น