ศูนย์ข่าวภูเก็ต -
“พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคือหัวใจของความถูกต้อง จะผิดหรือถูก เราต้องตัดสินใจ และหยัดยืนให้มั่นคง ต้องถามใจตัวเองว่าเรามีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เราเคารพแค่ไหน เรามีความรัก ณ จุดนี้แค่ไหน” นี่คือคำพูดที่ “พยอม โจถาวร เอียมทอง” หญิงวัย 52 ปี หนึ่งในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดภูเก็ต ที่ร่วมต่อสู้กับพี่น้องพันธมิตรฯทั่วประเทศตั้งแต่เริ่มต้นจนประกาศชัยชนะ ถ่ายทอดถึงการเข้าร่วมต่อสู้กับพันธมิตรฯให้ทีมงาน “ASTV ผู้จัดการรายวัน”
ในวันที่เตรียมความพร้อมเรื่องสถานที่ที่จะจัดเวที “ประชาภิวัฒน์ การเมืองใหม่ สังสรรค์พันธมิตรฯ ติดอาวุธทางปัญญา” ที่จัดขึ้นที่บ้านของตนเอง ที่บ้านเลขที่ 65/64 หมู่ที่ 5 ต.เทพกระษัตรีย์ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เมื่อคืนวันที่ 11 ม.ค.52 ที่ผ่านมา โดยมีแกนนำพันธมิตรฯ เดินทางมาให้ความรู้แก่พี่น้องพันธมิตรฯภูเก็ตและใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก ทั้งนายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายประพันธ์ คูณมี นายอมร อมรรัตนานนท์ นายพิชิต ชัยมงคล ศิลปิน “หรั่ง-ร็อคเคสตรา” ศิลปิน “ซูซู” และศิลปิน “แสงธรรมดา” เป็นต้น ซึ่งงานนี้พี่น้องพันธมิตรฯทั้งจากภูเก็ต และใกล้เคียงมาร่วมงานอย่างล้นหลาม
“ โดยปกติฉันเป็นคนที่สนใจข่าวสารการเมืองอยู่แล้ว ได้ติดตามข่าวสารทั้งจากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ หรือนั่งคุยกันในสภากาแฟในชุมชนของฉันเอง โดยเฉพาะการติดตามข่าวสารทางช่อง ASTV ทำให้รับรู้ข้อมูลข่าวสารในเชิงลึกมากขึ้น
เมื่อทางพันธมิตรฯมีการชุมนุมครั้งแรกที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ก็ตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมทันที โดยสามีเป็นผู้อาสาขับรถจากภูเก็ต ซึ่งไม่ได้เดินทางไปกับสามีเพียงสองคนเท่านั้น แต่ได้ชวนคุณแม่ คือนางหนู เอียมทอง อายุ 80 ปี ลูกสาว และเด็กที่รับอุปการะไว้ไปด้วย
ตอนแรกไปอยู่ประมาณ 2-3 วัน ก็ไปๆ มาๆ อยู่เป็นประจำ แต่ช่วงหลังๆ ขับรถไปบ่อยๆ ไม่ไหวและไม่ค่อยรู้เส้นทางในกรุงเทพฯด้วย ต้องเดินทางทางเครื่องบินแทน ทำให้สะดวกและประหยัดเวลากว่า และที่ไปปักหลักเอาจริงๆ จังๆ ก็ตอนที่ไปกดดันรัฐบาลอย่างหนักที่ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงต่างๆ ที่สนามบินดอนเมือง กองทัพบก สนามบินสุวรรณภูมิ
โดยครั้งหลังสุดนี้ไปอยู่นานถึง 16 วัน ไม่ได้กลับภูเก็ตเลย และน้องโบว์-นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ซึ่งเสียชีวิตจากระเบิด นอนอยู่ใกล้กันด้านหน้าข้างจอ ASTV บริเวณหลังกล้อง แต่ตนรอดมาได้เพราะมีคุณแม่ไปด้วย ซึ่งตอนนั้นคุณแม่ปวดหลังจึงต้องพาคุณแม่กลับที่พักที่โรงแรม และเมื่อไปถึงโรงแรมและเปิดช่อง ASTV ดู สักครู่ก็มีระเบิด เอ็ม 79 ลงพอดี ทำให้น้องโบว์เสียชีวิต ถือได้ว่ารอดเพราะคุณแม่จริงๆ แต่คนที่ตายเพราะช่วยชาติถือว่ามีบุญมากและเป็นผู้ที่เสียสละอย่างมาก
โดยช่วงที่ขึ้นๆ ลงๆ ไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯที่กรุงเทพฯนั้น ฉันให้สามีเป็นผู้รับผิดชอบดูแลธุรกิจของครอบครัว ที่ทำธุรกิจรับซื้อไม้ยางพาราทั่วทั้งจังหวัดภูเก็ต และก่อนหน้าที่จะทำธุรกิจรับซื้อไม้ยางพาราได้ทำธุรกิจขนส่งสินค้าอุปโภคบริ โภคมาก่อน แต่ก็ได้เลิกธุรกิจไปแล้วหันมารับซื้อไม้ยางพาราเพียงอย่างเดียวในขณะนี้ ซึ่งในช่วงที่เดินทางไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ธุรกิจก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไร เพราะช่วงแรกๆก็ให้ลูกน้องเป็นผู้ดูแลธุรกิจให้ ช่วงหลังที่เดินทางไปกับเครื่องบินสามีเป็นผู้ดูแลและขณะนั้นราคายางพาราก็ส ูงทำให้ไม้ยางพาราราคาสูงตามไปด้วย แต่ขณะนี้หลังจากที่เศรษฐกิจไม่ดีราคาไม้ยางพาราลดลงบ้างแต่ยังประคองธุรกิจ ไปได้” นางพยอม โจถาวร เอียมทอง หญิงวัย 52 ปี หนึ่งในพันธมิตรฯภูเก็ตเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง
พร้อมเล่าต่อว่า หลังจากกลับจากการชุมนุมบางครั้งไปไหนมาไหนก็จะพูดคุยกันถึงเรื่องพันธมิตรฯ เสมอ บางคนไม่มีความเข้าใจและคุยตามความคิดเห็นของเขา เราก็รับฟัง เมื่อมีข้อมูลไม่ถูกต้อง เราก็ต้องอธิบายให้เขาฟังและชักชวนให้ไปเข้าร่วมการชุมนุม ช่วงแรกๆบางคนปฎิเสธการเข้าร่วมชุมนุมเพราะกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย แต่เมื่อไปร่วมชุมนุมแล้วปรากฏว่าติดใจ สุดท้ายเขาก็เดินทางไปด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอให้เราไปชวน
นางพยอม บอกอีกว่า สิ่งที่จุดประกายให้เข้าร่วมกู้ชาติกันพันธมิตรฯคือความเป็นธรรมที่เกิดขึ้น ในสังคม เพราะครอบครัวของตน เป็นครอบครัวที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และมีทั้งผู้ที่มีการศึกษาสูงบ้างน้อยบ้าง ทำให้ได้รับความไม่ถูกต้องและความไม่เป็นธรรม และคนไม่รู้กฎหมาย ตัวนี้สำคัญมากเลย เพราะจะเป็นช่องทางให้ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า เอามาใช้ข่มขู่และหากินไม่สุจริต หรือการคอร์รัปชัน
อีกทั้งตนได้ทำธุรกิจต้องพบปะกับคนมากหน้าหลายตา จึงทำให้เห็นจุดนี้มาโดยตลอด และรู้สึกว่านี่คือความไม่เป็นธรรมในสังคม เช่น การโกง การเลี่ยงคนผิดเป็นคนถูก คนถูกเป็นคนผิด เรื่องเส้นสาย นักการเมืองท้องถิ่นที่คอร์รัปชัน เป็นสิ่งที่รับไม่ได้จริงๆ และเห็นว่าคงจะไม่มีหนทางใด ที่จะกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากประเทศไทยเราได้ นอกจากการเมืองใหม่ ที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แก้ไข ค่อยๆขจัดคนพวกนี้ออไป และพันธมิตรนี่แหละ ที่มีอุดมการณ์และสามารถทำในสิ่งเหล่านี้ได้
“มองดูแล้วไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงความทุจริตที่เกิดขึ้นได้ นั่นเพราะถูกครอบงำไปทั้งระบบ แม้แต่สื่อก็ถูกครอบงำไปหมด เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้ว เพราะเมื่อสื่อมวลชนถูกครอบงำก็ปิดหูปิดตาคนไปทั้งประเทศ ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นอย่างไร ถือเป็นสิ่งทำลายชาติ ทำให้ประเทศชาติอ่อนแอ เพราะเมื่อคนไม่มีความเข้าใจ จึงตกเป็นเครื่องมือให้ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าสามารถควบคุมได้ง่าย เราจึงต้องการการเมืองใหม่ และรัฐบาลที่ดี โดยการเมืองใหม่คือการปัดฝุ่นสิ่งที่ไม่ถูกต้องออกไป ผิดก็คือผิด และทุกคนต้องเคารพกติกาของสังคม เพราะว่าสังคมคือจุดรวม เป็นหลักของมนุษย์เรา ถ้าเราไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกติกาของบ้านเมือง มันไม่ใช่ประชาธิปไตย พูดไปเพื่อให้สวยหรูเท่านั้นเอง”
นางพยอม บอกอีกว่า ศีลธรรมเป็นเรื่องสำคัญมากๆที่ต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะเด็กๆ ยิ่งต้องให้เรียนรู้จริยธรรมให้มากๆ โดยต้องสอนจริยธรรมให้เด็กตั้งแต่เล็กๆ ไม่ใช่นำเรื่องเพศมาสอนเหมือนอย่างทุกวันนี้ เพราะจริยธรรมจะเป็นตัวช่วยปลูกฝังเด็กให้มีวุฒิภาวะที่จะรู้จักผิดชอบชั่วด ี เพราะว่าคนเราถ้ามีศีลธรรม มีธรรมะอยู่ในใจ เรื่องผิดชอบชั่วดีก็จะคิดได้ เมื่อคิดได้ การสอนก็ง่าย ประเทศชาติก็เรียบร้อยขึ้น เพราะคนจะมีความละอายต่อความชั่ว
“ แต่ปัจจุบันคนเราขาดศีลธรรมมาก จึงทำชั่วมากขึ้น ไม่มีความละอาย จึงสามารถทำได้ทุกอย่างและการเมืองใหม่ควรจะเน้นตัวนี้ให้มากๆ จะปลูกฝังคนต้องปลูกฝังอย่างนี้ ถ้าเรามาสอนตอนโต กิเลสในใจพอกหนาเกินไปแล้ว ทำให้สอนยาก และเรื่องความกลัวก็เช่นกัน คนเราอย่ากลัว สิ่งใดที่เราทำถูกไม่ต้องกลัว ถ้าหากว่าเราต้องตายเพราะความถูกต้อง ก็จงภูมิใจเพราะความดียังคงอยู่ เราจึงควรปลูกฝังต่อๆไป ตายด้วยความดีไม่มีใครลืม แต่หากตายด้วยความชั่วถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าจดจำ”
นางพยอม บอกต่อว่า ถึงแม้การชุมนุมของพันธมิตรจะยุติลงแล้วในขณะนี้ แต่ในส่วนของตนนั้นยังที่จะมีส่วนร่วมในการให้ความรู้โดยการตีแผ่ความจริงให ้ปรากฏตลอดเวลา ทั้งการเชิญแกนนำพันธมิตรฯ ลงมาให้ความรู้แก่พันธมิตรฯในภูเก็ตซึ่งได้จัดไปแล้วหนึ่งครั้งเมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมาที่บ้านของตนโดยได้เชิญแกนนำลงมาให้ความรู้ ทั้งพันธมิตรฯที่เดินทางไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ และพันธมิตรฯที่ไม่มีโอกาสเดินทางไปร่วมชุมนุม ได้พบปะกับแกนนำและได้รับความรู้เรื่องการเมืองใหม่
รวมทั้งการพูดคุยกันในสังคมทั่วๆ ไป ถึงแนวทางการเมืองใหม่ ซึ่งการพูดคุยนั้นก็ต้องดูแต่ละพื้นที่ไป ว่าเขาต้องการอยากรู้อะไร และหากไม่เข้าใจตรงไหนเราก็จะอธิบายให้เขาได้รู้ เมื่อมีการซักถามต้องมีการให้คำตอบที่ถูกต้อง แต่หากเป็นกลุ่มที่มีความขัดแย้งกันต้องใช้ความพยายาม บางครั้งเขาแทบไม่อยากจะคุยด้วย แต่เราก็ต้องใช้มนุษยสัมพันธ์เฉพาะตัว แล้วจึงค่อยโน้มน้าวเขาไปเรื่อยๆ ซึ่งบางคนเข้าใจแต่อาจยังมีทิฐิอยู่บ้าง แต่ภายหลังก็เปลี่ยนความคิด นั่นเพราะคนใต้เข้าใจง่ายและสนใจการเมืองอยู่ แต่บางคนที่เข้าใจยาก คือพวกนักการเมืองท้องถิ่น หรือผู้นำชุมชนบางคน เพราะเขาจะมองที่ผลประโยชน์ เหมือนอยู่ภายใต้เงินทุนสามานย์
“ ถ้าเราไม่มี ASTV ตรงนี้ ยากมากที่เราจะได้รับรู้ความจริง เพราะบางคนรู้แต่ไม่มีใครกล้าแสดงออก รู้แต่ไม่กล้าพูด เพราะว่าไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเป็นสิทธิของเรา ของประชาชนทุกคน ที่ไหนก็เหมือนกัน แต่สมัยก่อนมันไม่ใช่ ยังคลุมถุงชนอยู่“ นางพยอม โจถาวร เอียมทอง กล่าวทิ้งท้าย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ .
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000004045
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น