++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สสส.เผยนั่งรถกระบะหลัง เสี่ยงอุบัติเหตุ-ตาย 8 เท่า

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

       ศูนย์วิจัยอุบัต ิเหตุฯ สสส.เผยการนั่งรถกระบะหลัง เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุและเสี่ยงตายกว่านั่งรถชนิดอื่นกว่า 8 เท่า เหตุไม่ได้ป้องกัน เตือนผู้ขับขี่ระมัดระวัง
      
       นายศาตราวุธ ผลบูรณ์ จากศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เผยสถิติสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 6 ปี ย้อนหลังตั้งแต่ 2545-2550 พบว่า อุบัติเหตุที่เกิดกับรถกระบะสูงเป็นลำดับที่ 3 คือ ร้อยละ18 รองจากรถจักรยานยนต์ร้อยละ 41 และรถยนต์ส่วนบุคคลร้อยละ 25 แม้รถกระบะจะมีสถิติอุบัติเหตุน้อยกว่ารถส่วนตัว แต่ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตกลับมีมากกว่า เนื่องจากผู้โดยสารกระบะหลังเป็นกลุ่มผู้ใช้รถที่ไม่ได้รับการป้องกัน เหมือนผู้ใช้รถยนต์อื่นๆ เมื่อเกิดอุบัติเหตุผู้โดยสารกระบะหลังจะเคลื่อนที่อย่างไร้ทิศทางไปกระแทกก ับสิ่งต่างๆ ภายในรถ หรือพุ่งไปชนวัตถุข้างทางอื่น เช่น พื้นถนน ข้างทาง เสา ต้นไม้ จนเกิดความรุนแรงมากกว่าที่ควรจะเป็น
      
       นายศาตราวุธ กล่าวว่า จากสถิติการบาดเจ็บของผู้โดยสารรถกระบะของศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไท ย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย พบว่าผู้โดยสารกระบะหลังจะได้รับความรุนแรงจากการบาดเจ็บมากกว่าผู้โดยสารตอ นหน้า ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาในสหรัฐฯ ที่ยืนยันว่าผู้โดยสารกระบะหลังเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากกว่าผู้โดยสารตอนหน้ าถึง 8 เท่า ซึ่งร้อยละ 25-50 ของผู้ประสบอุบัติเหตุเกิดจากการเสียหลัก โดยที่ไม่ได้ชนกับรถคันอื่นๆ และส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ว่าการบรรทุกคน หรือของบนกระบะหลังมากๆ เสี่ยงในการทำให้รถเสียหลักหรือพลิกคว่ำได้มากกว่าปกติ เพราะจุดศูนย์ถ่วงสูงขึ้น ดังนั้นจึงอยากฝากผู้ขับขี่ให้เพิ่มความระมัดระวังด้วย
      
       “ เมื่อประเมินปัจจัยด้านเสถียรภาพของรถแล้ว พบว่า หากมีผู้โดยสารนั่งอยู่บนกระบะหลัง 10 คน น้ำหนักเฉลี่ยคนละ 60 กิโลกรัม จะมีโอกาสพลิกคว่ำมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า แต่หากผู้โดยสารทั้งหมดยืนขึ้น โอกาสพลิกคว่ำจะสูงกว่าเดิมถึง 4 เท่า จึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับผู้ขับขี่ที่ไม่เคยชินกับการบรรทุกของหนักเป็ นประจำ ซึ่งในหลายประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย กลุ่มประเทศอียู และอีก 30 รัฐ ในสหรัฐ จึงมีการออกกฎหมายห้ามผู้โดยสารนั่งกระบะหลัง” นายศาตราวุธ กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น