++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อหิงสาตายแล้ว!

โดย สิริอัญญา     23 พฤศจิกายน 2551 18:19 น.
http://www2.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000138736


คำพูดของนายทหารใหญ่บางคนที่มองเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมห านครว่าเหมือนกับกรุงเบรุตเข้าไปทุกทีแล้วนั้น นับวันก็ยิ่งเห็นจริงและเด่นชัดมากขึ้น เพราะวันนี้กรุงเทพมหานครและประเทศไทยเป็นแดนแห่งการก่อการร้ายที่มีสภาพเป็ นสงครามกลางเมืองชัดเจนแล้ว
      
        มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมีฝักฝ่ายให้เห็นเด่นชัดว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่ อสงครามกลางเมือง และฝ่ายไหนที่บาดเจ็บ ล้มตาย ประดุจดังใบไม้ร่วง ทั้งๆ ที่มีแต่มือเปล่า
      
        ที่ร้ายกว่านั้นและอันตรายกว่านั้นก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำโดยฝ่ายเดียวอาจจะสิ้นสุดลงแล้วก็เป็นไปได้
      
        ซึ่งหมายความว่าแนวคิดเรื่องสันติและอหิงสาได้ตายไปแล้ว และตายอย่างสนิท ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สันติและอหิงสาก็ป่วยหนักและอยู่ในขั้นโคม่ามาระยะหนึ่งแล้ว
      
        เพราะผู้คนจำนวนหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่น้อยเกิดความคลางแคลงสงสัยในแนวทางการนำ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่าแนวทางสันติและอหิงสานั้นจะใช้ได้ผลจ ริงหรือ?
      
        เ นื่องจากแนวทางสันติและอหิงสานั้น แม้เป็นยาขนานวิเศษแต่ไม่สามารถรักษาทุกโรคได้ ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ยาขนานนี้จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่ออาการป่วยนั้นเกิดจากความเป็นสุภาพบุรุษ จึงทำให้การต่อสู้โดยแนวทางอหิงสาประสบความสำเร็จและได้รับชัยชนะ
      
        ดังตัวอย่างที่มหาตมะคานธีได้นำพาประชาชาติอินเดียซึ่งเป็นผู้ใฝ่สันติและยึ ดมั่นในอหิงสาทำการต่อสู้กับอังกฤษเพื่อเอกราชของอินเดีย โดยที่อังกฤษนั้นก็เป็นชาติผู้ดี มีความเป็นสุภาพบุรุษ
      
        ยาวิเศษแห่งอหิงสาของมหาตมะคานธีจึงใช้ได้ผล ในขณะที่ยาชนิดเดียวกันนี้ทะไลลามะแห่งทิเบตก็ได้ใช้มานานแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จใดๆ
      
        การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนประสบชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ก็หาได้ใช้แนวทางสั นติและอหิงสาแต่ประการใดไม่ เพราะคู่ต่อสู้ไม่ได้ยึดมั่นในสันติและอหิงสาหรือความเป็นผู้ดี หรือความเป็นสุภาพบุรุษใดๆ เลย หากได้ใช้แนวทางสงครามในการต่อสู้เป็นรูปแบบหลัก
      
        ดังนั้นองค์กรนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงต้องใช้รูปแบบสงคราม โดยชูธงสงครามที่เป็นธรรมเข้าต่อสู้กับสงครามที่ไม่เป็นธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อนำความสงบสุขมาสู่ประเทศชาติและเพื่อการสถาปนาอำนาจรัฐขอ งประชาชนที่มีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นแกนนำ
      
        ผลที่สุดของการต่อสู้ระหว่างสงครามที่เป็นธรรมกับสงครามที่ไม่เป็นธรรมก่อให ้เกิดประเทศจีนใหม่หรือสาธารณรัฐประชาชนจีนในปัจจุบันนี้
      
        แ ละเป็นที่มาของการสรุปกฎแห่งสงครามของเหมาเจ๋อตงที่ว่า สงครามในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมีอยู่ 2 ชนิด คือสงครามที่เป็นธรรม กับสงครามที่ไม่เป็นธรรม ในที่สุดสงครามที่เป็นธรรมจะชนะสงครามที่ไม่เป็นธรรม และมีแต่ต้องทำสงครามที่เป็นธรรมเท่านั้นจึงจะเอาชนะต่อสงครามที่ไม่เป็นธรร มได้
      
        พลพรรคของรัฐบาลพรรคพลังประชาชนได้แสดงเจตจำนงและประกาศสงครามมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว เช่น
      
        บางคนกล่าวว่าผมอยากเห็นสงครามประชาชน และมีแต่สงครามประชาชนจึงจะทำให้ได้ชัยชนะ และสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้
      
        บางคนกล่าวว่าขณะนี้ประตูของสงครามประชาชนได้เปิดแล้ว และอาจต้องแบ่งแยกประเทศไทย
      
        บางคนก็กล่าวว่าเมื่ออยู่อย่างสงบไม่ได้ ก็อย่าอยู่อย่างสงบสุขเลย ซึ่งหมายความว่าถ้าเจ้านายกูกลับมามีอำนาจเหนือแผ่นดินนี้ไม่ได้ พวกมึงทั้งหลายก็อย่าอยู่อย่างมีความสงบสุขอีกเลย ซึ่งแม้ไม่พูดให้ครบหมดจดก็พอเข้าใจได้ว่าพวกกูจะใช้สงครามประชาชนไปจัดการก ับพวกมึงนั่นเอง
      
        บางคนก็กล่าวว่าจะใช้อาวุธสงครามและอาวุธร้ายแรงนานาชนิดเพื่อถล่มและปราบปร ามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้ออกจากทำเนียบรัฐบาลให้จงได้
      
        บางคนก็กล่าวว่าหากกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ออกจากทำเนียบรัฐบาลก็จะต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นรายวัน และมีการจ้องทอดกฐินกันอยู่มากมาย
      
        แ ละระหว่างนั้นก็ปรากฏเหตุรุนแรงทุกเมื่อเชื่อวัน มีการใช้อาวุธสงครามยิงถล่มจนผู้คนบาดเจ็บล้มตายลงเป็นเบือแล้ว และล่าสุดก็คือการยิงระเบิดเข้าใส่ทำเนียบรัฐบาลในคืนวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 ทำให้มีผู้ตายและบาดเจ็บร่วม 30 คน
      
        เหล่านี้มีความชัดเจนเพียงพอที่จะให้ข้อสรุปได้แล้วว่าสถานการณ์ที่ดำรงอยู่ นี้ไม่ใช่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง แต่เป็นสถานการณ์ของสงครามกลางเมือง และมีแต่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
      
        เ ป็นสถานการณ์สงครามที่เป็นภัยร้ายแรงต่อสถาบันชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาชนโดยตรงและโดยแท้ ไม่มีทางที่จะสงสัยหรือแปลความเป็นอย่างอื่นไปได้เลย
      
        มันเป็นสถานการณ์ที่ให้บทพิสูจน์ชัดเจนว่าแนวทางสันติและอหิงสาแม้เป็นยาวิเ ศษแต่ไม่ตรงกับโรค และไม่รักษาโรคให้หายได้ ไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอนและนี่คือบทสรุปที่ว่าอหิงสาตายแล้ว
      
        ความจริงมีคนที่เห็นเช่นนี้ไม่น้อยแล้ว จากนั้นก็ถอนตัวออกไปเพื่อไปจัดการแก้ไขหรือทำการต่อสู้ตามวิถีทางที่เห็นว่ าจะใช้ต่อสู้ได้ ซึ่งในวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าจะต่อสู้กันแบบไหนหรือเป็นอย่างไร
      
        เหตุการณ์ในคืนวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 ให้บทสรุปว่าอหิงสาตายแล้ว ดังนั้นนับแต่นี้ไปแนวทางสันติและอหิงสาจะไม่มีใครยอมรับนับถือหรือพึ่งพาอา ศัยได้อีกต่อไป
      
        เ มื่อเป็นเช่นนี้ การต่อสู้นับจากนี้ไปจะเป็นไปในรูปแบบไหนก็สุดจะหยั่งคาด แต่ที่แน่ชัดก็คือฝ่ายที่มีอำนาจตั้งหน้าทำสงครามประชาชนเพื่อกำราบปราบปราม อีกฝ่ายหนึ่งอย่างเหี้ยมโหดอำมหิตและรุนแรงอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้ก็ได้เริ่มต้นมาระยะหนึ่งแล้ว
      
        คงเหลือแต่ว่าฝ่ายที่ไม่ยอมรับอำนาจหรือคนทั้งปวงที่ไม่ยอมรับอำนาจจะยอมจำน นสยบต่ออำนาจนั้น หรือว่าจะทำการต่อสู้ต่อไปในรูปแบบอื่น และรูปแบบอื่นที่ว่านี้ก็ย่อมมีรูปแบบการใช้ความรุนแรงตอบโต้หรือนัยหนึ่งก็ คือการใช้รูปแบบสงครามตอบโต้อยู่ด้วยอย่างแน่นอน
      
        มันมีตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเมื่อฝ่ายหนึ่งใช้ความเหี้ยมโหดอำมหิตและรุนแรงจนประชาชนไม่มีทางเลือก อย่างอื่นแล้ว แม้จิตใจจะใฝ่สันติสักเพียงไหน ก็ย่อมจำใจจับอาวุธขึ้นต่อสู้ ซึ่งถึงวันนี้เหตุการณ์ก็ยังบานปลายร้ายแรงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
      
        หรือหากจะมองย้อนไปในอดีตไม่ไกลเท่าใดนัก แค่ราว 20-40 กว่าปีเท่านั้น ก็ได้เห็นตัวอย่างสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเท ศไทย ที่ใช้กำลังอาวุธห้ำหั่นต่อสู้กันเป็นเวลายาวนานร่วม 30 ปี จนกระทั่งมีมหาบุรุษคือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ครองอำนาจรัฐแล้วสามารถสยบสงบศึกสงครามกลางเมืองนั้นได้สำเร็จ
      
        บทเรียนทั้งสองบทนี้ล้ำค่ายิ่งสำหรับประเทศไทยและประชาชาติไทย แต่จะเป็นบทเรียนที่ผู้มีอำนาจปัจจุบันไม่มีทางยอมรับนับถือ ดังที่มีเสียงสะท้อนว่าในการต่อสู้อาจต้องแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นส่วนๆ นี่คือความคิดที่เป็นอย่างเดียวกันกับเหตุการณ์ในสามก๊ก
      
        เ พราะในครั้งนั้นเมื่อโจโฉประลองกำลังทางการเมืองกับพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้ว เห็นว่ายังมีผู้จงรักภักดีอยู่เป็นอันมากก็ไม่กล้าชิงเอาราชสมบัติ แต่ใช้แนวทางยึดอำนาจภายใต้พระปรมาภิไธยของฮ่องเต้เข้าควบคุมทั่วทั้งประเทศ ด้วยอำเภอใจตนเอง
      
        บรรดาขุนศึกทั้งปวงก็ไม่ยอมรับอำนาจของโจโฉ จึงแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่า ในที่สุดก็กลายเป็นสามก๊กแล้วทำสงครามแก่กันร่วมร้อยปี มีผู้คนล้มตาย บาดเจ็บหลายสิบล้านคน จนในที่สุดทุกฝ่ายทุกก๊กก็ถูกตาอยู่กินรวบกินเรียบ นั่นคือสุมาเอี๋ยนทายาทของสุมาอี้ยึดอำนาจในวุยก๊กแล้วปราบปรามอีกสองก๊ก แล้วตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว
      
        ป ระเทศไทยแต่นี้ไปจะไม่ใช่ประเทศไทยที่เราเคยอยู่อาศัยอีกต่อไปแล้ว เว้นแต่จะมีวีรบุรุษเห็นแก่ความสงบสุขของแผ่นดินและอาณาประชาราษฎรเข้าระงับ ยับยั้งแก้ไขปัญหาสงครามกลางเมืองเสียได้ทันท่วงทีเท่านั้น.

    ระบอบ ทักษิณ ได้ทำลาย..ความเป็นไืทย..ไปหมดแล้ว โดยที่คนไทยหลายๆคนไม่รู้ตัว โดยเฉพาะ วัฒนธรรมความเป็นไทย..คือความเมตตา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเคารพนบน้อม การให้อภัย..เหล่านี้สูญสิ้นไปจากแผ่นดินไทยแล้ว...ที่ได้เห็นอย่างชัดเจนใน ปัจจุบันก็คือ..การไร้น้ำใจของผู้คน ไม่รู้จักผิด ชอบ ชั่วดี ว่าเป็นอย่างไร ทุกคนมุ่งแสวงหาแต่อำนาจ มุ่งแสวงหาแต่เงิน โดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ว่า...ถูกหรือผิด ดีหรือเลว และที่เห็นชัดเจนก็คือ สัมคมชาวรากหญ้า..ถูกทำลายไปหมดสิ้นแล้ว..

แ ล้วถ้าหากจะถามว่า...ผู้นำในสังคม ผู้มีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง ผู้นำเหล่าทัพที่มีอำนาจ..เหล่านี้ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง ที่บ่อนทำลายชาติบ้านเมืองนี้หรือไม่ คงจะตอบได้อย่างเจ็บปวด รวดร้าวว่า..รู้ และรู้มานานแล้ว ทีนี้ในเมื่อ..ผู้นำในสังคม ผู้มีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง ผู้นำเหล่าทัพที่มีอำนาจ..ทำไมถึงได้ปล่อยให้ ทักษิณ ทำร้าย ทำลาย ประเทศไทยอย่างยาวนานเช่นนี้เหล่า...นี่คือปัญหา และ นี่คือปัญหาทับซ้อน ที่จะทำลายความเป็น ไทย ในที่สุด....

อีกมุมมองหนึ่งในแง่ประวัติศาสตร์..ที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน
เมื่อปราบเผด็จการทรราช..ถนอม ประภาส ในครั้งนั้น..ใช้พลังนักศึกษา

เมื่อพลังนักศึกษากล้าแข็งขึ้น..นักศึกษาก็ถูกปราบเช่นกัน โดยใช้มวลชนจัดตั้ง กระทิงแดง นวพล ลูกเสือชาวบ้าน และข้อหาคอมมิวนิสต์

เมื่อคราว รสช สุจินดา ถูกต่อต้านหนัก นำโดย จำลอง..ครั้งนั้นเป็นพลังบริสุทธิ

ใ นครั้งนี้เพื่อปราบ ทักษิณ นำโดย พธม มีทั้งมวลชนจัดตั้งและมวลชนบริสุทธิ..ผสมผสานอยู่อย่างเหนียวแน่น เป็นพลังที่กล้าแข็ง และ นับวันจะเติบใหญ่ ในความเป็นจริง ทักษิณ ได้ถูกปราบเรียบร้อยแล้ว..แต่ที่ ทักษิณ และเหล่าบริวารยังกร่างสร้างความวุ่นวายอยู่ก็เพราะ..ปัญหาและข้อตกลงที่ทับ ซ้อน..เช่นกัน

แล้ว พธม ละ...จะเกิดอะไรขึ้นกับ พธม จะใช่ เสร็จนาแล้วฆ่าโค..หรือไม่ พธม เติบโตกล้าแข็ง..กำลังจะถูกปราบใช่หรือไม่..........
อเมริโกย


พูดเเล้วมันน่าเจ็บใจนัก ที่เเม่ทัพใหญ่ของไทยดันเห็นเเก่เงินทองของไอ้เหลี่ยม
มากกว่าเห็นเเก่ประเทศที่ให้มันเกิดมาเเละดำรงตำเเหน่งจนใหญ่โต...
คนพวกนี้มันก็หนักเเผ่นดินเหมือนกับไอ้ทรราชย์ที่โกงบ้านโกงเมือง
หน้าของอนุพงศ์ก็หนาเหมือนหน้าไอ้เหลี่ยม
เพราะคนในบ้านในเมืองก็รุมก่นด่ามันอยู่ทุกวัน
กับการนิ่งเฉย ไม่เเยเเสที่ประชาชนถูกฆ่า ถูกทำร้าย
ไม่สนใจเเม้สถาบันกษัตริย์จะถูกหมิ่น
จะคอยดูว่าเวลามันสวนสนามน่ะ มันจะกล้ามองพระพักตร์ในหลวงของเราหรือไม่
เลวบริสุทธิ์จริงๆ
อนุพงศ์..คุณเป็นหนึ่งในพวกสัตว์นรกจริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น