++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เทศกาลมาฆบูชามาถึงอีกแล้ว

โดย สิริอัญญา    
       วันมาฆบูชา ในปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งเป็นวันเพ็ญ เดือนสาม ถือว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา ดังนั้นจึงนำเสนอเรื่องนี้ในวันนี้เพื่อให้มีเวลาเพียงพอต่อเพื่อนชาวพุทธใน การที่จะส่งการ์ดแสดงไมตรีต่อเพื่อนผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
      
       ดีกว่าที่จะไปเออออห่อหมกหลงใหลไปตามกระแสด้วยการแจกการ์ดแห่งความรั กเนื่องในเทศกาลวันวาเลนไทน์ ซึ่งจะมาถึงในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552
      
       เพราะความรักที่ยึดถือกันในวันวาเลนไทน์ในยุคนี้นั้นได้ผิดเพี้ยนไปจ ากความรักที่นักบุญวาเลนไทน์ได้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างแก่ชาวโลกไปจน ไกลโพ้น
      
       กลายเป็นความรักที่หนุ่มสาวพากันจับมือกันเข้าโรงแรมม่านรูด จนกระทั่งถูกเรียกว่าเป็นวันเสียสาวหรือวันเปิดบริสุทธิ์ จนบรรดาพ่อแม่ญาติพี่น้องต้องพากันระมัดระวังบุตรหลานไม่ให้เสียผู้เสียคนใน ความยึดถืออันอัปยศนี้
      
       ด ังนั้นวันวาเลนไทน์ในยุคนี้จึงไม่ใช่วันแห่งความรักบริสุทธิ์ที่มนุษย์พึงมี ต่อมนุษย์เพื่อนร่วมโลกตามความหมายของนักบุญวาเลนไทน์ หากเป็นวันอันตรายที่ทุกคนต้องป้องกันลูกหลานของตนไม่ให้เป็นอันตรายจากการถ ูกพรากพรหมจรรย์ในวันนี้
      
       ในฐานะชาวพุทธ จึงควรตั้งสติยั้งคิดถึงความผิดถูกชั่วดี ความควรไม่ควร ทั้งในช่วงเวลาดังกล่าวก็มีวันสำคัญของพระพุทธศาสนาที่หากน้อมใจรำลึกและประ พฤติปฏิบัติตามแล้วก็จะเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันไม่ให้เป็นอันตรายจากพิษร ้ายของวันวาเลนไทน์ยุคใหม่
      
       จึงควรพร้อมเพรียงกันน้อมจิตน้อมใจรำลึกถึงวันมาฆบูชากันตั้งแต่วันน ี้ เพราะอย่างน้อยก็มีเวลาอีกร่วมสัปดาห์ที่จะได้อบรมจิตบำรุงใจให้มีความเป็นป กติสุข และคุ้มครองป้องกันชีวิตตนและลูกหลานให้มีความปลอดภัย
      
       จ ะเป็นเพราะเหตุใดก็ไม่รู้ได้ มีการสอนตามๆ กันมาว่าวันมาฆบูชาเป็นวันจาตุรงคสันนิบาตคือเป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญ 4 อย่างเกิดขึ้น นั่นคือเป็นวันเพ็ญ เดือนสาม พระจันทร์เสวยมาฆะฤกษ์ เป็นวันที่พระอรหันต์ 1,250 รูปมาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมาย พระอรหันต์เหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ที่ได้รับอุปสมบทโดยตรงจากพระผู้มีพร ะภาคเจ้า และเป็นวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
      
       สอนกันมาอย่างนี้จึงทำให้เนื้อหาแท้ของวันมาฆบูชาเบี่ยงเบนคลาดเคลื่ อนออกไปไกลจากเนื้อหาที่แท้จริงและความเป็นมาในพระพุทธศาสนา บางอย่างก็เป็นเรื่องไม่สำคัญ บางอย่างก็เป็นเรื่องสอนผิดๆ บางอย่างก็เป็นเรื่องผิวเผิน สอนกระพี้ ทิ้งแก่น จึงทำให้วันมาฆบูชาซึ่งสำคัญมากๆ ด้อยค่าหมดราคาดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
      
       ที่คลาดเคลื่อนมากๆ มีอยู่ 2 ข้อ คือ
      
       ข้อแรก วันเพ็ญ เดือนสาม และพระจันทร์เสวยมาฆะฤกษ์นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ไม่ใช่ความลี้ลับพิสดารอันใด แต่เป็นเหตุการณ์ธรรมดาธรรมชาติที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์และพระจันทร์โคจรรอบ โลก ครั้นถึงเดือนสามตรงกับวันเพ็ญ 15 ค่ำ พระจันทร์จะโคจรตรงกับกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งที่มีชื่อว่ามาฆะ หรือดาวงอนไถ เป็นเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกปี ไม่มีเหตุที่จะถือว่าสำคัญอันจะถือเป็นเรื่องหนึ่งในจาตุรงคสันนิบาต
      
       ข้อสอง พระอรหันต์ 1,250 รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมายนั้นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะแท้จริงแล้วพระอรหันต์เหล่านั้นล้วนอยู่ที่วัดเวฬุวันพร้อมกันอยู่แล้ว ในจำนวนนี้ประกอบด้วยพระอรหันต์กลุ่มชฎิล 3 พี่น้อง 1,000 รูป กลุ่มปริพาชกของพระสารีบุตร 250 รูป จึงรวมเป็น 1,250 รูป ซึ่งพร้อมกันอยู่แล้ว ในจำนวนนี้พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์องค์ล่าสุด โดยบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปโปรดพระทีฆนัค ขะที่ถ้ำสุกรขาตา แล้วตามเสด็จกลับมาวัดเวฬุวันเป็นเวลาค่ำ พระจันทร์กระจ่างฟ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
      
       ที่กล่าวอ้างว่าพระอรหันต์มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมายนั้นจึงคลาดเคล ื่อน และที่อ้างว่าเป็นความเคยชินของพระอรหันต์เหล่านั้นเพราะเคยเป็นพราหมณ์มาก่ อนก็คลาดเคลื่อนอีก เพราะว่าพระอรหันต์เหล่านั้นไม่เคยเป็นพราหมณ์ แต่เป็นนักบวชจำพวกชฎิลและปริพาชก
      
       และที่ยิ่งอ้างไกลออกไปว่าวันเพ็ญ เดือนสาม เป็นวันศิวาราตรีก็ผิดอีก วันนี้ไม่ใช่วันศิวาราตรีตามที่มั่วกันผิด ๆ แต่ประการใด
      
       ความสำคัญของวันมาฆบูชาที่แท้จริงมีดังต่อไปนี้
      
       ประการแรก เป็นวันประชุมใหญ่ของพระอรหันต์ในโพธิกาลของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะมีประเพณีปกติที่จะจัดประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ในโพธิก าลของพระองค์ พระพุทธเจ้าบางพระองค์ทรงประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ 2 ครั้งก็มี แต่ในโพธิกาลของสมณโคดมพระพุทธเจ้านั้นทรงตรัสว่ามีการประชุมพระอรหันตสาวกค รั้งใหญ่เพียงครั้งเดียวคือในวันเพ็ญ เดือนสามนี้เท่านั้น
      
       ประการที่สอง เ ป็นวันวางหลักการอบรมสั่งสอนเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ และอย่างชัดเจนครบถ้วนเป็นครั้งแรกหลังจากทรงตรัสรู้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากตรัสรู้ 9 เดือน
      
       ก่อนหน้านี้พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้วางหลักเกณฑ์หรือขั้นตอนหรือระบบในการ อบรมสั่งสอนเผยแผ่พระพุทธศาสนาในลักษณะนี้มาก่อนเลย
      
       ที่อาจเทียบเคียงได้ก็ในระยะแรกหลังตรัสรู้ ที่มีพระอรหันต์บังเกิดขึ้นครบ 60 รูป พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพุทธดำรัสสั่งให้แยกย้ายกันไปประกาศพรหมจรรย์ ด้วยคำตรัสว่าเธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประกาศพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้ให้บร ิสุทธิ์ บริบูรณ์ ให้ครบถ้วนด้วยอรรถะและพยัญชนะ ให้งดงามในเบื้องต้น ในท่ามกลางและในที่สุด เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มากในโลกนี้
      
       ประการที่สาม เป็นวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งโอวาทปาติโมกข์นี้ไม่ใช่การทำปาติโมกข์ของพระสงฆ์ตามพระวินัย ซึ่งเป็นการสวดทบทวนในเรื่องศีลที่พระตถาคตเจ้าทรงบัญญัติไว้ในทุกกึ่งเดือน แต่โอวาทปาติโมกข์นี้คือระบบคำสอนที่พระสงฆ์สาวกทั้งหลายจะต้องนำไปใช้ในการ ฝึกฝนอบรมตน ในการครองตน และในการอบรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีประเพณีที่จะต้องแสดงโอวาทปาติโมกข์เป็นอย่างเดีย วกันนี้
      
       โอวาทปาติโมกข์ที่ทรงแสดงมีใจความว่า
      
        “ความอดทนคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง
        พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่านิพพานเป็นบรมธรรม
        ทำร้ายผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต
        เบียดเบียนผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
      
        การไม่ทำบาปทั้งปวง
        การทำกุศลให้ถึงพร้อม
        การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
        นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
      
        การไม่กล่าวร้ายผู้อื่น
        การไม่เบียดเบียนผู้อื่น
        ความสำรวมในปาติโมกข์
        ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร
        การอยู่ในเสนาสนะที่สงัด
        การประกอบความเพียรในอธิจิต
        นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
      
        เนื้อหาของโอวาทปาติโมกข์ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงตรัสดังกล่าวอาจจำแนกได้เป็น 3 เรื่อง
      
       เรื่องแรก คือเป้าหมายของการประพฤติพรหมจรรย์ในพระธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้านั้นคือนิพ พาน ได้แก่ความดับทุกข์สิ้นเชิง ไม่ใช่เรื่องการแสวงลาภ แสวงยศ หรือการฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยด้วยประการใด ๆ
      
       เรื่องที่สอง คือขั้นตอนในการอบรมสั่งสอนเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยทั่วไปให้อบรมสั่งสอนเป็น 3 ขั้นตอนหรือ 3 กระบวนการ ตั้งแต่หยาบสุดไปสู่ประณีตสุด ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนบรรลุบรมธรรมคือนิพพาน ได้แก่การสอนให้ไม่ทำความชั่วทั้งปวง การสอนให้ทำความดีให้ถึงพร้อม และการฝึกฝนอบรมจิตให้ผ่องแผ้ว ถึงซึ่งความเกษม ปราศจากฝุ่นแม้ธุลี
      
       เรื่องที่สาม คือการครองตนหรือปฏิบัติตน ได้แก่การฝึกฝนอบรมจิตจนบรรลุมรรคผลนิพพาน ทำให้การครองตนในลักษณะนั้นเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาของมหาชน ซึ่งจะเกื้อกูลประโยชน์ในการอบรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา
      
       ด ังนั้นในโอกาสที่วันมาฆบูชาจะมาถึงในปีนี้ จึงควรที่เพื่อนชาวพุทธทั้งหลายจะได้ทำความเข้าใจในเนื้อหาแท้จริงของวันมาฆ บูชา โดยเฉพาะเป้าหมาย การอบรมสั่งสอนหรือการปฏิบัติตน ตลอดจนการครองตนเพื่อให้ได้รับผลแห่งการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้สมก ับความเป็นชาวพุทธนั่นแล.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000011665

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น