++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผู้ชายสามคนบนถนนพันธมิตรฯ

โดย อัญชะลี ไพรีรัก    


ถ้า ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ และน้องแจ๊ค ธัญญา อุ่นแก้ว สองพี่น้องพันธมิตรฯของเราไม่ได้มาอยู่สถานพักฟื้นสวางคนิวาส ก็คงไม่ได้มีโอกาสได้กลับมาเยือนสถานที่ ที่ครั้งหนึ่งเคยฝากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะไว้กับสายลม
      
       สวางคนิวาส เป็นทั้งสถานที่พักฟื้น และสวนพักผ่อนหย่อนใจอันโด่งดังของย่านบางปู สมุทรปราการ ที่นี่เป็นความทรงจำสีหวานเย็นของเด็กเล็กๆ แทบทุกรุ่น เห็นสวางคนิวาสอีกครั้ง ให้นึกถึงเพื่อนเก่าๆ ในนามต้นไม้ใบหญ้า นก-กา นานาชนิด เสียงลมหวีดหวิว สายน้ำสดชื่น และความรักของครอบครัวในวันปิกนิกที่แสนรื่นรมย์
      
       ดูสิ...โลกที่ยุงเหยิง สังคมที่แก่งแย่งทำให้คนเราลืมเลือนคืนวันแสนสุขของอดีตในวัยเยาว์ไปได้ถึงเพียงนี้เทียว
      
       ถ้าไม่ใช่ เพราะภูวดล และ แจ๊ค ชุมพร มาอยู่ที่นี่ วันนี้คงได้ลืมสวางคนิวาสไปเสียสิ้นแล้ว
      
       “สวางคนิวาส” ในวันนี้แตกต่างไปจากวันวานอย่างเห็นได้ชัด จากสถานที่พักฟื้น และแหล่งพักผ่อนหย่อนใจกลายเป็นสถานีกาชาดที่ 3 ให้บริการผู้ป่วยนอกและสาธารณสุขทุกอย่างครบวงจร
      
       ตั้งแต่การพักฟื้นของผู้ป่วยหลังผ่าตัดจากโรงพยาบาลจุฬาฯ และการดูแลคนชราแบบยั่งยืน ที่นี่ยังเป็นสถานที่ทำกายภาพที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโครงการในสมเด็จพระเทพฯ เพื่อแบ่งเบาภาระของแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านด้วย
      
       กลับมาเยือนสวางคนิวาสเที่ยวนี้ ไม่ได้มาวิ่งเล่นจับผีเสื้อเหมือนเก่าก่อน แต่มาเดินเล่นเพื่อเป็นเพื่อนเติมเต็มชีวิตให้กับ “เพื่อนพันธมิตรฯ” ที่กำลังพิชิตยอดเขาแห่งชะตาชีวิตด้วยหัวใจแกร่ง
      
       เพื่อนแท้ของพวกเราคนหนึ่ง คือ ศาสตราจารย์ ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ ดาวเด่นบนเวทีพันธมิตรฯ ประสบอุบัติเหตุภายในบ้านตัวเองอย่างคาดไม่ถึง เป็นผลให้สภาพร่างกายได้รับการกระทบกระเทือนไม่เหมือนเก่า
      
       เวลานี้ “อาจารย์ภูคนเก่ง” ได้รับการรักษาอย่างดีเพื่อให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกติเท่าที่จะทำได้ โดยคณะแพทย์ และพยาบาลของโรงพยาบาลจุฬาฯ ประคบประหงมคนไข้ประดุจไข่ในหิน มีการระดมสรรพกำลังทุกสิ่งอันเพื่อปลุก อ. ภูวดล จากคนหลับใหลให้กลายเป็น “มนุษย์ล้อ”
      
       โดยมีทีมเจ้าหน้าที่ด้านกายภาพของสวางคนิวาส สภากาชาดไทย มาช่วยรับไม้ต่อด้วยโครงการฟื้นฟูให้ยอดมนุษย์ของเราประกอบร่างได้อย่างสุด ความสามารถ
      
       ด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง ทุกขั้นตอนของการรักษา อ.ภูวดล ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ และวันต่อๆ ไป ทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของ “คุณสนธิ ลิ้มทองกุล” พี่ชายใจดีที่ครอบครัวทรงประเสริฐทุกคนบอกว่า “จะจดจำน้ำใจอันยิ่งใหญ่นี้ไปจนวันตาย”
      
       วันนี้ที่สวางคนิวาส ชีวิตของอ.ภูวดลได้เดินทางมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ยิ่ง ไม่มีตำรา ไม่มีปราศรัย มีแต่ทุกๆ วันของตอนเช้าที่ อ.ภูวดล มาพร้อมภรรยากับลูกสาว จะต้องพยายามหัดเดิน –นั่ง- กิน นอน และขยับร่างกายในทุกส่วนแบบตั้งไข่ล้มต้มไข่กิน โดยมี “พี่ชื่น” นักกายภาพสาวคนเก่งคอยชี้แนะประคับประคอง
      
       ทุกๆ เช้า อ.ภูวดลจะลงไปห้องกายภาพชั้นหนึ่ง เพื่อฝึกการใช้มือด้วยการโม่แป้ง และฝึกสมาธิฟื้นฟูสภาพจิตใจด้วยการ “ร้องเพลง” อย่างหลังนี้อาจารย์ทำบ้างไม่ทำบ้าง ส่วนใหญ่เมื่อจับไมค์อาจารย์จะ “ปราศรัย” มากกว่าร้องเพลงรักษาโรค
      
       ใกล้ๆ กับเครื่องโม่แป้งที่กำลังทำงานอย่างช้าๆ แต่ทว่าคล่องแคล่ว มีการฝึกมือของคนไข้อีกคนด้วยการ “ขันนอต” โดยพี่ชื่นจะเอาชิ้นส่วนของโต๊ะ - เก้าอี้มาให้ “ธัญญา อุ่นแก้ว” หรือ พี่แจ๊ค ชุมพร ของเราขันนอตทุกตัวให้แน่น ถ้าหลวมต้องทำใหม่ ทำอย่างนี้จนนอตทุกตัวแน่นดี และมือของแจ๊คจะแข็งแรง
      
       คนหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาโม่แป้ง อีกคนหนึ่งขะมักเขม้นกับการขันนอต ทั้งสองคนเป็น “พันธมิตรฯ” คนหนึ่งเคยเป็น “ขุนพล” ส่วนอีกคนเคยเป็น “ทหารกล้า” แนวหน้าของกองทัพนักรบมือตบ
      
       แจ๊ค ชุมพรวัย 46 ปี มีคู่ชีวิตของเขาคอยดูแลไม่ห่างเช่นกัน เขาพักอยู่ห้องตรงกันข้ามกับ อ.ภูวดล เพียงแต่มาถึงสวางคนิวาสทีหลังนับเดือน
      
       แจ๊ค ชุมพรของเราตกต้องชะตากรรมเดียวกับอีกหลายๆ คนบนท้องถนนที่หน้ารัฐสภาในวันที่ 7 ตุลาคม วันที่คนไทยถูกตำรวจสามานย์กลุ่มหนึ่งวิ่งไล่ฆ่าและไล่ล่าเหมือนหมูเหมือน หมาไม่ปรานี
      
       เจ้าของสวนยางจากจังหวัดชุมพรคนนี้ ถูกกระสุนแก๊สน้ำตาพุ่งใส่ร่างกายท่อนล่างเต็มๆ จนขาซ้ายขาดเลยหัวเข่า ส่วนขาขวาถูกไฟเผาไหม้ไม่มีดี ความร้อนของระเบิดลามเลียไปถึงลำตัว – แผ่นพลัง และแขนสองข้าง
      
       นาทีที่แจ๊คถูกระเบิดแก๊สน้ำตา เขาเพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ พันธมิตรฯ ชุมพรระดมนักรบได้กว่า 50 คนเพื่อมาสมทบกับกองทัพประชาชนที่หน้าสภาฯ
      
       แจ๊ค ชุมพรเล่าถึงเช้าวันวิปโยคว่า ขาของเขาขาดทันทีที่ระเบิดพุ่งเข้าใส่ สิ้นเสียงตูมใหญ่ก็มีนักข่าวกรูมาถ่ายรูปตัวเขาซึ่งนั่งขาห้อยมีเลือดไหลริน ท่วมตัวที่ริมกำแพงข้างรัฐสภา แล้วอยู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาหลบหลังเขาท่าทางหวาดกลัว เขาเอียงหลังบังเธอไว้ทั้งๆ ที่ขาขาด ส่วนตำรวจวิ่งผ่านข้ามหัวเขาไปมาขวักไขว่ แต่ละคนพูดจากรรโชกโฮกฮาก ว่า
      
       “พวกมึงเก่งกันนักใช่มั้ย เอาโว้ยพวกเรายิงมันเข้าไป ยิงได้ยิงเข้าไป ทนได้ทนไป ยิงแม่มเลย”
      
       ตำรวจบางคนในเครื่องแบบอรินทราช พูดจาน่าชิงชัง ว่า
      
       “พวกมึงมากันทำห่าอะไร โดนเขาหลอกยังไม่รู้ตัวอีก สมน้ำหน้ามึง” สำรากจบก็เดินฮึดฮัดจากไป ทิ้งแจ๊คของเราไว้เดียวดายกับพี่ผู้หญิงที่กำลังหวาดกลัว
      
       จนกระทั่งช่างภาพคนหนึ่งที่ถ่ายรูปแจ๊คไปแล้วเวียนกลับมาอีก ชายหนุ่มใจบุญคนนี้นี่เองที่เรียกเปลพยาบาลให้แจ๊ค แล้ววิ่งตามส่งแจ๊คจนถึงรถโรงพยาบาลวชิระทั้งยังอาสานั่งคู่กันมาจนถึงมือ หมอ จากนั้นเขาก็จากไปและแจ๊คก็หลับตา หลับคราวนี้ยาวนานไม่รู้ตัวถึง 23 วัน
      
       เมื่อฟื้นขึ้นมาในห้องปลอดเชื้อ แจ๊คพบว่าขาซ้ายหายไปแล้ว ส่วนขาขวาลายพร้อยด้วยการตัดปะจากเนื้อน่องข้างซ้าย แถมเอาเนื้อแก้มก้นมาปะช่วยอกและหน้าท้อง เนื้อท้องแขนซ้ายมาปะช่วยแขนขวา ปะผุอย่างนี้วุ่นวายไปทั้งตัว
      
       จากวันเลยกลายเป็นเดือน และจากเดือนหนึ่งเลยกลายเป็นเดือนแล้วเดือนเล่า จนแจ๊คย้ายมาอยู่ในมือ “หมอรัฐพลี” ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ หนนี้แจ๊คต้องนอนแกร่วอยู่อีกกว่า 2 เดือน จนกระทั่งสภาพค่อนข้างดีแล้ว สภากาชาดจึงพาแจ๊คมาอยู่ที่สวางคนิวาสเพื่อทำกายภาพฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ และที่นี่เองที่เขาพบน้ำใจพันธมิตรฯ และ อ.ภูวดล ฮีโร่ในดวงใจของเขา
      
       แจ๊คมาถึงที่นี่ด้วยสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์สมส่วนเหมือนก่อน ดวงตาก็โดนแก๊สน้ำตาจนพร่ามัว และสมองได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง บางครั้งแจ๊คหลงๆลืมๆ เลอะๆ จนถึงกับเลือนหายก็มี
      
       หนุ่มใหญ่เจ้าของสวนยางเล็กๆ ที่ถูกกล่าวหาจากคนเสื้อแดงว่าเป็น “ขอทานขาขาด” ได้หายไปแล้วพร้อมๆ กับความคงอยู่ของเหล่านักการเมืองจัญไรสารเลว
      
       สิ่งที่เหลือไว้ในวันนี้ที่สวางคนิวาส คือ “แจ๊ค ชุมพร” ชายขาซ้ายขาด นักรบมือตบผู้พิการเพียงกายแต่ใจเพชร
      
       บาดแผลใดๆ ตามร่างกายก็ไม่น่าเจ็บเท่าบาดแผลในใจ แผลเป็นจุดนี้เจ็บปวดยิ่งนักจนยากเกินเยียวยา
      
       สำหรับแจ๊ค...เขาเชื่อว่า สักวันหนึ่งแผลใจจะหายถ้าได้ยาดียี่ห้อ “ทักษิณติดคุก” ยาแม้วผีบอกที่แจ๊คกัดฟันภาวนาว่า จะต้องเอาชนะความเจ็บไข้ได้ป่วยให้หายเร็วๆ และมีชีวิตให้ดี ให้รอด เพื่อรอเจอทักษิณ แล้วเอาเลือดมันมาล้างใจที่เจ็บ และขาที่ขาด
      
       ทุกวันนี้มี “พี่น้องพันธมิตรฯ” มาเยี่ยมสองหนุ่มของเรามิได้ขาด บางคนมาชวนคุยคลายเหงา บางคนขนข้าวปลาอาหารมาชวนกิน บางคนมาชวนเดินเล่นรับลมริมทะเลบางปู ทุกคนมาเป็นขวัญกำลังใจ เป็นแขน เป็นขา และเป็นรอยยิ้มให้เพื่อนของเราเข้มแข็ง พร้อมยืนหยัดสู้ต่อไปเพื่อการเมืองใหม่ในวันข้างหน้า
      
       เป็นภาพน่ารักน่าประทับใจหาที่ไหนก็ไม่มี หรือมีก็ไม่เหมือน
      
       เหมือนกับผู้ชายอีกคนหนึ่งที่เจอโดยบังเอิญในบ่ายวันหนึ่งที่แสนยุ่ง ขิง ด้วยกำลังรอโหลดเพลงกู้ชาติในร้านขายไอ พอด แห่งหนึ่งที่ห้างเยาฮัน...นี่ก็น่าประทับใจใกล้เคียงกัน
      
       ผู้ชายคนนี้เข้มแข็ง และร่วมขบวนการกู้ชาติเหมือนกับชายสองคนนั้น ต่างกันตรงที่ว่า เขาลุ่มลึก ใจคอหนักแน่น แววตาแข็งแกร่ง รูปร่างสมส่วน หน้าตาหล่อเหลา ชาติตระกูลดี การศึกษาเยี่ยม แต่มี “แขน” เพียงข้างเดียว
      
       “โอฬาร” คือชื่อของเขาที่เราเรียกกันเล่นๆ ว่า “โอ๊ค”
      
       ชายบ้าบิ่นคนนี้เป็นหนุ่มปีมะโรงผู้ชื่นชอบการผจญภัยเป็นชีวิต ด้วยความมุทะลุดุดัน และทระนงองอาจ ดุจคนหนุ่มที่รุ่มรวยความพร้อมพรั่ง ทำให้เขาไม่สามารถก้าวข้ามผ่านสนามประลองของเทพีแห่งโชคชะตาไปได้
      
       เมื่อบุรุษผู้ชอบความเร็ว และความแรงควบมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู ไปบนท้องถนนในคืนวันหนึ่ง และถูกประสานงาอย่างจังจากรถใหญ่ที่เฉี่ยวชน และเกี่ยวร่างของเขาในรถมอเตอร์ไซค์ไปไกลจนแขนซ้ายครูดกับท้องถนน
      
       ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผู้ชายหล่อจัดรวยเหลือล้น กลับต้องนอนสลบเดียวดาย 6 ชั่วโมงในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่เวรคะเนว่า เขาคงไม่แคล้วเป็น “เด็กส่งเอกสาร” ที่สวิงสวายจนตัวเจ็บหนัก และใน 6 ชั่วโมงที่ไม่ได้ทำอะไรกับแขนร่องแร่งของเขาเลยนั่นละ ทำให้โอฬารต้องถูกตัดแขนซ้ายจนถึงหัวไหล่ในเวลาต่อมา
      
       ไฮโซหนุ่มหล่อฟื้นขึ้นมาในสภาพที่เหลือแขนขวาเพียงข้างเดียว แต่เขาสู้ เขามุ่งมั่น เขายังทระนงองอาจ ไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตาย และเดินหน้าทำมาหากินต่อไปอย่างไม่กลัวใครเหลียวมาจ้องมอง กระเบื้องมุงหลังคาของเขาขายดีติดอันดับหนึ่งมา 40 ปี และยังขายดีไม่มีทีท่าจะยอดตก
      
       ชีวิตหนุ่มหล่อนักเรียนนอกที่เคยเป็นดาวสังคมได้จบไปแล้ว เหลือแต่ชีวิตใหม่ที่ทรหดอดทนของหนุ่มใหญ่คนหนึ่งซึ่งกำลังเดินหน้าต่อไป ด้วยความท้าทายใหม่ๆ กับการเป็น “พันธมิตรฯ” ที่ช่วยสนับสนุน ASTV ในทุกๆ ด้าน เพียงเพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการสรรค์สร้าง “การเมืองใหม่”
      
       ชายแขนเดียวที่บอกกับทุกคนอย่างไม่ยี่หระว่า ผมจะยืนสู้อยู่กับพันธมิตรฯ ตลอดไป…แต่
      
       “อะไร…แต่อะไรละคุณโอฬาร” ถามอย่างสงสัยปนตกใจ “แต่อะไรหรือ”
      
       “แต่ขออย่างเดียว ขอให้คุณอัญชะลีกับน้องเก๋ ช่วยผอมกว่านี้ได้ไหม เห็นทีไรแน่นจอจนผมรู้สึกอึดอัด” โอฬารปล่อยหมัดเด็ดเข้าที่ปลายคางสองสาวข่าวยามเช้าฯ ก่อนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากถูกใจ
      
       ฮึ่ม...มันน่านัก...ฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร ...ของอย่างนี้ลางเนื้อชอบลางยาย่ะ ...หุ่นดีแบบนี้แถวๆ ย่าน ASTV เขาเรียก
      
       “เนื้อแน่นหนาปึ๊ก” ...ใช่ – ไม่ใช่ พี่น้อง.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000015734

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น