++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ปลดแอกอุดรธานี…ภารกิจเชิงยุทธศาสตร์


โดย สิริอัญญา
ช่วงนี้มีการกล่าวขวัญกันถึงการปลดแอกจังหวัดอุดรธานีในความหมายที่ต่าง กัน ฝ่ายหนึ่งเสื้อแดง ต้องการปลดแอกจังหวัดอุดรธานีให้เป็นเมืองของคนเสื้อแดง ฝ่ายหนึ่งเสื้อเหลือง ต้องการปลดแอกจังหวัดอุดรธานีให้พ้นจากการยึดครองของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ใช้ ชื่อว่ากลุ่มคนรักอุดร

แม้ใช้คำว่า “ปลดแอก” เหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน เป้าหมายก็ต่างกัน แต่มีผลในเชิงยุทธศาสตร์เหมือนกัน

เพราะถ้าหากฝ่ายเสื้อแดงปลดแอกจังหวัดอุดรธานีสำเร็จ ก็หมายความว่าราชอาณาจักรไทยมิได้เป็นหนึ่งเดียวอีกต่อไปแล้ว หากถูกแบ่งแยกออกจากอำนาจปกครองของรัฐบาลส่วนกลาง และขึ้นอยู่ในอำนาจปกครองของคนเสื้อแดง ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นของการแบ่งแยกดินแดนอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด

แต่ ถ้าหากฝ่ายเสื้อเหลืองปลดแอกจังหวัดอุดรธานีสำเร็จ ก็หมายความว่าราชอาณาจักรไทยยังเป็นหนึ่งเดียว ที่ประชาชนชาวไทยไม่ว่าชนชาติ เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เพศ วัย จากถิ่นฐานใด สามารถเดินทางไป ตลอดจนพำนักอาศัยในจังหวัดอุดรธานีได้ตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้

ที่ผ่านมานั้น กลุ่มคนรักอุดรประกาศอย่างไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินและหมิ่นเหม่ต่อการทำความผิด ในข้อหากบฏในราชอาณาจักรหลายครั้งหลายหนว่า จังหวัดอุดรธานีเป็นเมืองของคนเสื้อแดง แล้วเที่ยวห้ามใครต่อใครโดยเฉพาะคนเสื้อเหลืองไม่ให้เข้าไปในพื้นที่จังหวัด อุดรธานี

ครั้นมีคนแปลกถิ่นเดินทางเข้าไปในพื้นที่หรือแม้เป็นคนในพื้นที่ หากใส่เสื้อเหลืองก็จะถูกกลุ้มรุมทำร้ายอย่างโหดร้ายทารุณ เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นแล้วต่อหน้าต่อตาของเจ้าหน้าทั้งฝ่ายปกครองและ ฝ่ายตำรวจ

โดยที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่สามารถรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย บ้านเมืองได้ ปล่อยให้คนเสื้อแดงกลุ่มคนรักอุดรทำร้ายคนไทยด้วยกันอย่างโหดร้ายทารุณ กลายเป็นว่ากฎหมายบ้านเมืองหมดความศักดิ์สิทธิ์และไม่สามารถใช้บังคับได้ใน พื้นที่จังหวัดอุดรธานี

ซ้ำร้าย เจ้าหน้าที่ยังกระทำตนประหนึ่งรู้เห็นเป็นใจ ปกป้องคุ้มครองและคุ้มกันกระทั่งใช้รถราของหลวงนำขบวนคนเสื้อแดงไปทำร้ายคน เสื้อเหลืองกันกลางวันแสกๆ

สภาพ เช่นนั้นโดยพฤตินัยย่อมถือได้ว่าคนเสื้อแดงได้ปลดแอกจังหวัดอุดรธานีให้ปลอด จากอำนาจรัฐส่วนกลางไปแล้ว นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินนี้ โดยที่ไม่มีหน่วยงานไหนใส่ใจดูแลแก้ไข จึงทำให้ความทุกข์แผ่ปกคลุมไปทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่ฟ้าจรดดิน

ครั้นการเมืองเปลี่ยนขั้วมาเป็นรัฐบาลปัจจุบัน ก็ดูเหมือนว่ายังมิได้มีการปรับปรุงแก้ไขในเรื่องนี้แต่ประการใดเลย อะไรที่ยังเคยเป็นมาก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิม

หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังไม่ลืมกระแสพระราชดำรัสในวันเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ ก็คงตระหนักดีว่าโจทย์ที่รับใส่เกล้าดังที่ประธานองคมนตรีได้ให้โอวาทนั้น เป็นภารกิจที่จะต้องทำให้สำเร็จ แม้เป็นเรื่องยากแต่ย่อมไม่ยากเกิน

ในพลันที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศจัดงานสังสรรค์ ขึ้นที่จังหวัดอุดรธานีในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองและเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องให้ความคุ้ม ครอง ก็ปรากฏว่ากลุ่มคนรักอุดรได้ประกาศห้ามจัดงานในพื้นที่และห้ามเข้าพื้นที่ จังหวัดอุดรธานี มิฉะนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย

แล้วยังมีการใช้วิทยุชุมชนปลุกระดมให้คนไทยเกลียดชิงชังกันเอง กระทั่งระดมผู้คนให้มาเข้าร่วมต่อต้านการเดินทางไปชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ อีกด้วย

ใน ขณะที่ทางจังหวัดแทนที่จะยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับความเป็นข้าราชการใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พิทักษ์รัฐธรรมนูญ รักษากฎหมายบ้านเมือง และให้การคุ้มครองประชาชน กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามด้วยการเตือนกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าขอร้องอย่าได้เข้าไปจัดงานในพื้นที่

นี่ถ้าไม่มองในแง่ร้ายว่าทำตัวเข้าข้างกับกลุ่มคนรักอุดรแล้ว ก็อาจมองได้ว่าเป็นการรู้เห็นเป็นใจให้คนบางกลุ่มบางพวกแบ่งแยกราชอาณาจักร โดยฝ่ายปกครองสมยอมสมรู้หรือรู้เห็นเป็นใจ

เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ภาระหน้าที่ของฝ่ายปกครองและตำรวจก็คือต้อง หยุดยั้งการกระทำที่ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญที่ถือครองจังหวัดอุดรธานีเป็นของ พวกตน แล้วห้ามคนไทยด้วยกันไม่ให้เข้าไปในพื้นที่

คนพวกนั้นอาศัยสิทธิอาศัยอำนาจอะไรที่ชอบด้วยกฎหมายเล่า? ไม่มีเลย อาศัยก็แต่อิทธิพลอำนาจมืดและพฤติกรรมอันธพาลข่มขู่ข่มขวัญคนไทยด้วยกัน ทั้งที่อยู่ในพื้นที่นั้นและต่างพื้นที่ต่างหาก

ก็ ต้องดูกันต่อไปว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ดี ฝ่ายปกครองก็ดี ฝ่ายตำรวจก็ดี และฝ่ายทหารก็ดี จะปล่อยให้กลุ่มคนคณะนี้ปลดแอกจังหวัดอุดรธานีอย่างเป็นทางการอย่างถาวร อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเข้าองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักรหรือไม่

กลุ่มพันธมิตรฯ ที่มุ่งจัดงานชุมนุมสังสรรค์ที่จังหวัดอุดรธานีในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 แม้ด้านหนึ่งจะเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองคุ้มครอง แต่ในน้ำใจลึกก็พอจะหยั่งได้ว่ามุ่งหมายจะปลดแอกจังหวัดอุดรธานีให้พ้นจาก การยึดครองของคนกลุ่มนั้นอยู่ด้วย

เป็นการจัดงานขึ้นเพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจแก่คนเสื้อเหลืองในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและในพื้นที่ข้างเคียง

เท่าที่ติดตามฟังคำของแกนนำที่รับผิดชอบในการจัดงานครั้งนี้ก็ ประจักษ์ชัดว่าได้มองเห็นว่าพื้นที่จังหวัดอุดรธานีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ ของภาคอีสาน ที่ไม่อาจยินยอมให้ใครไหนยึดครองหรือแยกการปกครองออกจากราชอาณาจักรไทยเป็น อันขาด จึงมุ่งมั่นจัดงานนี้ให้จงได้

การ กระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ ดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายรับรองคุ้มครองเท่านั้น ยังเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์เชิงประวัติศาสตร์ที่มีต่อชาติบ้านเมืองอีก ด้วย เพราะในวันนี้ในเมื่อกลไกรัฐมิได้ให้การรับรองคุ้มครองและรักษากฎหมายบ้าน เมือง ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ประชาชนผู้ตื่นรู้และจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่จะต้องทำกันเอง

เพราะในพื้นที่อีสานนั้นมีพื้นที่ยุทธศาสตร์อยู่ถึง 5 จังหวัดคือ โคราช อุดรธานี อุบลราชธานี ขอนแก่น และบุรีรัมย์ ใน 5 พื้นที่นี้หากพรรคการเมืองใดยึดครองได้สำเร็จก็เท่ากับว่าได้ยึดครอง ยุทธศาสตร์อีสานที่มีโอกาสได้ ส.ส. ร่วมร้อยคน ซึ่งเป็นปมเงื่อนในการเป็นรัฐบาลในระบบรัฐสภา

เดิมพรรคความหวังใหม่เป็นเจ้าของและผู้ริเริ่มยุทธศาสตร์อีสาน แต่ครั้นยุบรวมเข้ากับพรรคไทยรักไทย ยุทธศาสตร์อีสานก็ตกทอดไปยังพรรคไทยรักไทยและต่อยอดเชื่อมเป็นยุทธศาสตร์ อีสาน-เหนือ และเป็นรากฐานทางการเมืองของอำนาจรัฐในระบอบทักษิณตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัด นี้

ดังนั้นการจัดงานของกลุ่มพันธมิตรฯ ในจังหวัดอุดรธานี จึงมีฐานะเชิงยุทธศาสตร์ในการเข้าตีจุดยุทธศาสตร์หลัก 1 ใน 5 ของภาคอีสาน จึงเป็นธรรมดาที่กลุ่มเสื้อแดงจะต้องยืนหยัดพิทักษ์รักษาพื้นที่อย่างเต็ม ที่

แต่ ทว่าสถานการณ์ในวันนี้ผันแปรไปมากแล้ว แม่น้ำแยกสาย สายทางแยกทิศ กลุ่มเสื้อแดงแตกเป็นสองก๊ก ก๊กหนึ่งยืนอยู่ข้างรัฐบาล อีกก๊กหนึ่งยืนอยู่ข้างอำนาจเก่า ต่างก็ถือว่าอีกก๊กหนึ่งเป็นศัตรูคู่ปรปักษ์ที่ร้ายกาจยิ่งกว่ากลุ่ม พันธมิตรฯ

ดังนั้นในการจัดงานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 จึงเป็นวันสัประยุทธ์ใหญ่ของคนเสื้อเหลืองเพื่อปลดแอกจังหวัดอุดรธานี กับกลุ่มคนเสื้อแดงของอำนาจเก่า และผสมโรงด้วยกลุ่มเสื้อแดงที่แตกขั้วออกมา

กลุ่มคนเสื้อแดงของอำนาจเก่ามีฐาน ส.ส. เป็นหลัก จัดเตรียมระดมผู้คนจากพื้นที่ข้างเคียง เตรียมแยกออกเป็นสองกอง กองหนึ่งใส่เสื้อเหลือง กองหนึ่งใส่เสื้อแดง

กองเสื้อเหลืองมุ่งเข้าตีก๊กเสื้อแดงที่อยู่กับรัฐบาล กะเอากันถึงตาย แล้วป้ายผิดให้กับกลุ่มเสื้อเหลือง กวาดล้างทั้งสองกลุ่มนี้พร้อมกันในคราวเดียว เพื่อก๊กตนจะได้ครองความเป็นใหญ่ในพื้นที่นั้นต่อไป

กองเสื้อแดงมุ่งเข้าตีกลุ่มพันธมิตรฯ แล้วป้ายผิดให้เป็นก๊กเสื้อแดงฝ่ายรัฐบาล

มี การเตรียมการเหลาหลาวและอาวุธร้ายแรงไว้ก่อสถานการณ์เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ แห่งตน ในขณะที่กลุ่มเสื้อเหลืองยังคงยืนหยัดในอหิงสาธรรม หมายใช้พลังอหิงสาเป็นพลังจักรวาลในการช่วงชิงครองน้ำใจมวลชนคนรากหญ้าให้ ตื่นขึ้นมาพิทักษ์รักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์

สถานการณ์ที่ประหนึ่งเงียบสงบในยามนี้จึงคล้ายกับคลื่นลมสงบก่อนพายุใหญ่จะบังเกิด

ดัง นั้นภารกิจอันสำคัญจึงอยู่ที่รัฐบาล ฝ่ายทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ว่าจะให้การปลดแอกจังหวัดอุดรธานีเป็นการปลดแอกที่เป็นธรรม หรือเป็นการปลดแอกที่ไม่เป็นธรรม เพื่อแบ่งแยกจังหวัดอุดรธานีออกจากราชอาณาจักรไทย อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะได้เห็นกัน.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000016440

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น