++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

“อดุล วิเชียรเจริญ” แฉเล่ห์ “พระวิหาร” โดยละเอียด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
ศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ
      
      
ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ผู้เรียบเรียง รับผิดชอบ
      
       (ฉบับเต็มบริบูรณ์)
      
       ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประเด็นการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

      
       ๑. ข้อกฎหมาย ยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลกนานาชาติ ๒๑ ประเทศ ต่างก็เป็นองค์การระหว่างประเทศแยกจากกัน
      
       ๑.๑ ทั้งยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลกนานาชาติ ต่างก็เป็นองค์การ ระหว่างประเทศ ตามความตกลงพหุภาคี ซึ่งจัดตั้งขึ้นและดำเนินการตามตราสาร
       ----- สำหรับยูเนสโก ตราสาร เรียกชื่อว่าธรรมนูญ (Constitution)
       ----- สำหรับคณะกรรมการมรดกโลกนานาชาติ ตราสาร เรียกชื่อ ว่าอนุสัญญา (Convention)
      
       ๑.๒ การเป็นภาคีสมาชิกยูเนสโกจึงไม่เป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญามรดกโลก ตัวอย่างเช่น เมื่อ ๒๐ กว่าปีที่แล้วที่สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรอังกฤษ ถอนตัวจากสมาชิกภาพยูเนสโก ซึ่งเป็นการประท้วงการดำเนินงานของยูเนสโก แต่ทั้ง ๒ ประเทศ นี้ ก็ยังคงเป็นภาคีอนุสัญญาและเข้าประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ต่อมาภายหลัง จึงกลับเข้าเป็นสมาชิกของยูเนสโกอีก ฉะนั้น แม้สมาชิกภาพของ ๒ ประเทศนี้ ในองค์การยูเนสโก จะขาดตอนไปในช่วงนั้น แต่การเป็นภาคีสมาชิก อนุสัญญา ก็ต่อเนื่องตลอดมา
      
       ๑.๓ คณะกรรมการมรดกโลกนานาชาติ จึงมิใช่เป็นองค์กรภายในของยูเนสโก อย่างที่พูดกัน และเรื่องมรดกโลกไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของยูเนสโกเลย จะมีแต่ เพียงการการรายงานอ้างอิงถึงกัน และในระยะหลังเพื่อสร้างภาพให้แก่ยูเนสโก จีงมีการนำสัญลักษณ์ยูเนสโกใส่ไว้ด้วยกับสัญลักษณ์มรดกโลก ในช่วงที่สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรอังกฤษถอนตัวจากยูเนสโก
       แต่โดยที่คณะกรรมการมรดกโลกมีความเชื่อมโยงกับยูเนสโก โดยที่ประชุมใหญ่รัฐสมาชิกยูเนโกได้มีมติรับอนุสัญญา และสนับสนุนนานาชาติให้เข้าเป็นภาคี และโดยที่อนุสัญญามีข้อกำหนดให้ยูเนสโกจัดเจ้าหน้าที่ของยูเนสโก ทำหน้าที่เป็นฝ่าย เลขานุการ ของคณะกรรมการมรดกโลก จึงทำให้เกิดความสับสนโดยทั่วไป ให้ดูเสมือนว่า คณะกรรมการมรดกโลกเป็นภาคส่วนของยูเนสโก
      
       ๑.๔ ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศที่เข้าแทรกแซง และมีอิทธิพล ต่อวิถีทางที่ถูกต้อง ในการวินิจฉัยและดำเนินงานขององค์การระหว่างประเทศ ที่เป็นองค์การชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ เช่น ยูเนสโก ตลอดจนคณะกรรมการแห่งอนุสัญญามรดกโลก นั้น ในหลักการไม่ควรจะมีเลย แต่ก็มีอยู่เสมอ มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่กรณี แม้กระทั่งทำผิดข้อบัญญัติอย่างชัดแจ้งก็มี โดยเฉพาะในกรณี ที่จอร์แดนขอขึ้นทะเบียน Old City of Jerusalem and Its Walls เป็นมรดกโลก ทั้งๆ ที่ จอร์แดน มิใช่เจ้าของหรือผู้ถือครองดินแดน ซึ่งทรัพย์สินนี้ตั้งอยู่ แต่คณะกรรมการ มรดกโลก โดยเสียงข้างมากผลักดัน ถึงขนาดทำการประชุมสมัยวิสามัญเพื่อลงมติ เรื่องนี้ ตลอดจนยูเนสโก ก็เป็นผู้จัดทำแผนปฏิบัติการเสียเอง ด้วยเหตุที่ถือได้ว่าไม่มี รัฐภาคีไดเป็นเจ้าของทรัพย์สินนี้
      
       น อกจากนั้น งานปฏิบัติของยูเนสโกทางด้านวัฒนธรรมในการส่งเสริมและอนุรักษ์ทรัพย์สินทางว ัฒนธรรม โดยผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายวัฒนธรรม ไม่ควร ทำซ้ำซ้อนก้าวก่ายงานด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่ในขอบข่ายงานของคณะกรรมการ มรดกโลก และในกรณีปราสาทพระวิหารนี้ นางฟรังซัวส์ ริวีเอียร์ ทำอย่างน่าเกลียด ในการลงนามเป็นประจักษ์พยานในแถลงการณ์ร่วมระหว่างเขมรกับไทย
      
       ๑.๕ การทำความเข้าใจในข้อกฎหมายนี้ และการเมืองระหว่างประเทศ อันเป็นตัวแปร ย่อมจะช่วยให้พิจารณาปัญหา การขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร ได้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น
      
       ๒. ความเป็นจริงและลักษณะ ของการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกโดยกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว
      
       ๒.๑ ฝ่ายที่สนับสนุนกัมพูชาในเรื่องนี้กล่าวอ้างว่าการขึ้นทะเบียนตัวปราสาท ไม่กระทบถึงอธิปไตยเหนือดินแดนของไทย และอ้างว่าก็มีสถานภาพการถือครอง ตัวปราสาทของกัมพูชาเหมือนกับที่เป็นมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ ที่ไทยมอบการถือครอง ตัวปราสาทให้กัมพูชาตามคำพิพากษาศาลระหว่างประเทศ โดยไม่บ่งชี้ว่า ไทยได้ปฏิเสธคำพิพากษาซึ่งผิดข้อกฎหมายและไม่ยุติธรรม แต่ไทยต้องจำยอมมอบ การถือครองให้กัมพูชา เพราะด้วยพันธกรณีของไทยในฐานะรัฐสมาชิก ของ องค์การสหประชาชาติ
      
       ข้อกล่าวอ้างยังมีอีกด้วยว่าการขึ้นทะเบียนตัวปราสาท โดยกัมพูชาฝ่ายเดียว ตามร่างข้อมติของคณะกรรมการที่แคนาดา ทำให้ไทยอยู่ในฐานะดีขึ้น จากเดิมที่กัมพูชาเคยเสนอขอให้มีเขตพื้นที่คุ้มครองและพัฒนานอกตัวปราสาท ในดินแดนของไทย
      
       ข ้อกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นการเบี่ยงเบนและก้าวข้ามนัยของบริบทในร่างข้อมติ ของที่ประชุมคณะกรรมการที่แคนาดา (ซึ่งยังจะต้องผ่านที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง ในวาระรับรองรายงานการประชุมวันสุดท้าย) โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงไม่คำนึงถึง ข้อบัญญัติของคณะกรรมการมรดกโลก ที่กำหนดให้ต้องมีเขตกันชนและทำแผนจัดการ ซึ่งในกรณีนี้ของกัมพูชาจำเป็นต้องมีเขตกันชนรอบตัวปราสาททางด้านทิศตะวันตก และทิศเหนือเข้ามาในราชอาณาจักรไทย อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
      
       ๒.๒ ตัวปราสาทพระวิหารขณะนี้อยู่ในสภาพชำรุด เสื่อมโทรมหนัก อีกทั้งยังตั้งอยู่บนพื้นที่ลาดชัน จึงพังทลายได้ง่าย การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร จึงจำเป็นต้องมีพื้นที่กันชนเพียงพอ แต่จะมีบริเวณกว้างไกลเพียงใดนั้น จะต้องกำหนดไว้ในแผนจัดการ ซึ่งกัมพูชา จะต้องเป็นผู้จัดทำ ประกอบด้วยเหตุผล ซึ่งจะต้องนำเสนอ คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาเห็นชอบในการประชุมอีก ๒ ปีหน้า
      
       ๒.๓ ข้อกำหนดดังกล่าวที่ให้ต้องมีเขตกันชนเช่นนั้น ปรากฏตามข้อบัญญัติ ๑๐๓ และ ๑๐๔ ของคณะกรรมการมรดกโลก เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญา เพื่อการคุ้มครองและอนุรักษ์มรดกโลก
      
       ๒.๔ อันที่จริงแล้ว ตามข้อบัญญัติดังกล่าว ในการเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร ควรต้องมีเขตกันชน และแผนจัดการพื้นที่รอบตัวปราสาทแนบไปพร้อมคำขอ ก่อนที่ คณะกรรมการจะรับเข้าพิจารณา แต่การเมืองระหว่าง ประเทศ (ซึ่งไทยมีส่วนร่วมด้วย) ก็เข้ามาแทรกแซง เพื่อ ช่วยเหลือกัมพูชา ให้ตัดปัญหาเฉพาะหน้า ให้ได้รับการขึ้นทะเบียน เสียชั้นหนึ่งก่อน และในขั้นต่อไปจึงจะให้ทำแผนจัดการบริเวณพื้นที่เขตกันชน จากตัวปราสาท ไปทางทิศตะวันตกและทิศเหนือ ซึ่งเป็นเขตในอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย รวมทั้งแผนที่และเอกสารประกอบการเปลี่ยนจากการขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท นี่เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งภายหลัง ซึ่งข้อนี้ก็มีความปรากฏอยู่แล้วใน ร่างมติ ข้อ ๑๕ แต่หลีกเลี่ยงไม่คำนึงถึง จึงเห็นได้ชัดเจนว่า บิดเบือนประเด็นเพื่อชี้นำว่าเป็นการขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท โดยไม่มีบริเวณเขตกันชนเข้ามาในดินแดนใต้อำนาจอธิปไตยของประเทศไทย
      
       ๓. ความพิลึกของกลไกกรณีปราสาทพระวิหาร ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก หาก ร่างมติข้อ ๑๔ สมจริง จากการรับรอง รายงานการประชุมในวันสุดท้าย
      
       ๓.๑ ข้อนี้กำหนดให้กัมพูชาดำเนินการ จัดประชุมคณะกรรมการ ประสานงาน ระหว่างประเทศ เพื่อให้ความคุ้มครองและพัฒนาแหล่งมรดกนี้ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๐๐๙ โดยให้มีผู้ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมประกอบด้วย รัฐบาลไทยและประเทศผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ที่เหมาะสมอีกไม่เกิน ๗ ชาติ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบ สารัตถะเชิง นโยบายทั่วไป ที่เกี่ยวเนื่องกับการอนุรักษ์คุณค่าสากลอันโดดเด่นของทรัพย์สินนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการการอนุรักษ์ที่เป็นสากล
      
       ข้อนี้ คงจะมีการบิดเบือนในระยะนี้อีกเช่นกันว่า เป็นการเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น แต่ความเป็นจริง คือ รวมถึงพื้นที่เขตกันชนในดินแดนไทยด้วย แน่นอน เนื่องจาก ตัวปราสาทโดยลำพัง (ถ้าจะไม่มีเขตกันชนด้านทิศตะวันตก ตลอดถึง ด้านทิศเหนือในดินแดนไทย) ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะขึ้นทะเบียนได้
      
       ๓.๒ ไม่เคยมีมรดกโลกแห่งไดเลยที่ใช้กลไกเช่นนี้เพื่อการอนุรักษ์ กรณีพื้นที่ซึ่งเป็นดินแดนของ ๒ ประเทศร่วมกัน อาทิ แหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติ Iguazu ของอาร์เจนตีนา และบราซิล ทั้งๆ ที่ปัญหาการอนุรักษ์มีมาตลอด และอยู่ในทะเบียน ภาวะอันตรายด้วย หรือในกรณีอธิปไตยซ้อนกันของกรุงวาติกัน ซึ่งเป็นนิติรัฐ มี อธิปไตยเหนือดินแดนซ้อนอยู่ในใจกลางมรดกโลกเมืองเก่ากรุงโรม ของอิตาลี
      
       ๓.๓ การจะใช้กลไกนี้ต่อปราสาทพระวิหาร จะยังผลให้ชาติอื่นๆ อีก ๖ ชาติ เข้ามาแทรกแซงปกป้องเขมร และกดดันประเทศไทยเพื่อใช้อำนาจอธิปไตย เหนือดินแดนไทยซึ่งจะต้องตกเป็นเขตกันชน ในการนี้ จะต้องมีมาตรการทางกฎหมาย และทางบริหารจัดการ ซึ่งเขมรเป็นผู้กำหนดไว้ในแผนจัดการ
      
       ๓.๔ ถ้าไม่มีกลไกนี้ ก็จะมีปฏิสัมพันธ์เฉพาะเขมรกับไทย ซึ่งต้องเจรจา ตกลงกันเอง ประเทศไทยจึงอยู่ในฐานะที่จะต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ ได้ดีกว่ามีอีก ๖ ประเทศ มาคอยขวางกั้นประเทศไทย
      
       ๔. จุดยืนเผชิญหน้าคณะกรรมการต่างชาติแทรกแซง เขตกันชนในราชอาณาจักรไทย เราต้องรีบดำเนินการทันที และประกาศให้คณะกรรมการมรดกโลก ยูเนสโก และทุกประเทศได้รับทราบ เป็นทางการ ดังนี้
      
       ๔.๑ เขตกันชนจากตัวปราสาทด้านทิศตะวันตก ตลอดไปถึงด้านทิศเหนือ ซึ่งเป็นบริเวณในเขตประเทศไทยนั้น ประเทศไทยจะให้จัดทำได้เฉพาะ เพื่ออนุรักษ์ตัวปราสาทตามพันธกรณีแห่งอนุสัญญา โดยให้มีบริเวณเพียงพอสมเหตุผลเท่าที่ไทยเห็นชอบด้วย เท่านั้น
       
       ๔.๒ นอกบริเวณดังกล่าวตาม ๔.๑ ประเทศไทย จะไม่ยินยอมให้มีการก่อสร้างหรือกิจกรรมเพื่อธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น
       
       ๔.๓ การเยี่ยมชมตัวปราสาทและทัศนียภาพเขา พระวิหาร ควรต้องเป็นไปเพื่อการศึกษา และชื่นชม คุณค่าดีเด่นของแหล่งมรดกโลกนี้ซึ่งต้องตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญามรดกโลก และเมื่อเสร็จสิ้นการ เยี่ยมชมแล้วผู้มาทัศนาจรก็ควรกลับไป ทั้งนี้ เพราะการจะนำกิจการบันเทิง หรือธุรกิจอื่นใดเพื่อความสะดวกสบาย มาเชื่อมโยงกับการเยี่ยมชมแหล่งมรดกโลก อันจะเป็นการแสวงรายได้จากนักท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุดนั้น เป็นการสวนทางกับหลักการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก ซึ่งต้องคำนึงถึงสมรรถนะสภาพตัวปราสาทพระวิหารที่จะรองรับนักท่องเที่ยวอย่า งจำกัด ซึ่งหากเกินควรก็ย่อมเป็นการคุกคามการอนุรักษ์ปราสาทพระวิหาร
      
       ๕. หลังจากประกาศจุดยืนดังกล่าวข้างต้นแล้ว หากต่อมา ปรากฏชัดว่า คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลที่กัมพูชาจัดตั้งขึ้น ภายใต้การอุปถัมภ์ของยูเนสโก ยังคงขวางกั้นเพื่อประโยชน์ ของเขมร จนถึงจุดที่ประเทศไทยควรต้องปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว (เป็นข้อเสนอแนะสำหรับผู้ที่เคยแสดงความเห็นว่าควรถอนตัวจากอนุสัญญามรดกโลก และองค์การยูเนสโก) ก็ถึงโอกาสอันเหมาะสมที่จะเสริมจุดยืนข้างต้น โดย ประเทศไทย ประกาศถอนการเป็นภาคี อนุสัญญา (denunciation) ตามบทบัญญัติข้อ ๓๕ แห่งอนุสัญญามรดกโลก ค.ศ.๑๙๗๒ และอาจจะเลยไปถึงการ ถอนตัวจากยูเนสโก ด้วยเหตุที่ยูเนสโกจงใจทำการอันเป็นอธรรม เบียดเบียนอธิปไตยของไทย ทำการนอกหน้าที่เข้าโยงใย เอื้อประโยชน์แก่กัมพูชาโดยชัดแจ้ง ตลอดมา ทั้งหมดนี้ แม้จะมีผลเสียอยู่บ้าง ก็ย่อมสมควรที่จะแลก เปลี่ยน เพื่อรักษาหลักการ และการแสดงความเป็นเอกราช และอธิปไตยของประเทศไทย ให้เป็นที่ประจักษ์แก่นานาชาติ และแก่ประชาชนชาวไทยตลอดไป
      
      
      
.............. จบความ .............
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000015369

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น