++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

3 ปีพันธมิตรฯ ... ภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น

โดย สิริอัญญา
วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3
พระจันทร์เสวยมาฆะฤกษ์ เป็นวันมาฆบูชา
แต่ก็เป็นวันที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ก่อตั้งและดำเนินงานมาคร
บ 3 ปีแล้ว

เวลาผ่านไปไวนักหนา เป็น 3 ปีที่ประชาชนชาวไทยผู้รักชาติ ศาสน์
กษัตริย์ ได้ตื่นตัวตื่นรู้และลุกขึ้นสู้กับอำนาจอธรรมอย่างวีระกล้าหาญ
อย่างทรหดอดทนด้วยความเสียสละ กล้าพลีแม้ชีวิต
เพื่อปกปักรักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ และสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์
หมายให้ดำรงคงอยู่คู่ดินฟ้าแดนไทยตลอดไป

3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรฯ ทำศึกใหญ่ 2 ครั้ง
ครั้งแรกคือการลุกขึ้นสู้กับอำนาจรัฐของระบอบทักษิณแบบปักหลักพักค้างยืดเยื
้อยาวนาน เปิดเผยพฤติกรรมทั้งปวงของรัฐบาลนั้นอย่างล่อนจ้อน
เผชิญหน้ากับกลอุบายและเชิงชั้นการต่อสู้ทุกรูปแบบอย่างแหลมคมและพลิกแพลง
กระทั่งนำไปสู่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

อำนาจรัฐของระบอบทักษิณกระเด็นออกจากอำนาจปกครองประเทศ
แต่แทนที่คณะรัฐประหารจะประสานกับพลังของประชาชนผู้รักชาติ
ดำเนินการแก้ไขปัญหาชาติอย่างถึงที่สุด
กลับหลงคำแก๊งนักวิชาการและนักร่างรัฐธรรมนูญมืออาชีพ
ยอมคลายอำนาจรัฐที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์ในเวลาแค่ 11 วัน
แล้วตั้งรัฐบาลที่หน่อมแน้มเข้ามาบริหารประเทศ

อ ำนาจรัฐแบบนี้เป็นอำนาจรัฐแบบขอไปที
จึงกลายเป็นการฟูมฟักอำนาจเก่าให้ขยายตัวเติบใหญ่เพิ่มขึ้นอีก
ลุกลามไปสู่หมู่ประชาชนบางกลุ่มและเกิดผลิตผลคือกลุ่มคนเสื้อแดงขึ้นเป็นครั
้งแรกในประเทศไทย

การละเลยมิตร
แต่ดำเนินนโยบายสามัคคีสมานฉันท์แบบไร้เดียงสาที่ยอมจำนนกับอำนาจเก่า
เป็นผลให้พรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นหุ่นเชิดกลับเข้ามามีอำนาจในบ้านเมืองอีกค
รั้งหนึ่ง

ทำให้สถาบันทั้งหลายตกอยู่ในความเสี่ยงภัยที่ร้ายแรงกว่าเก่าหลายเท่
า เดชะบุญของชาติและประชาชนยังไม่ถึงคราวสิ้นสูญ
รัฐบาลพลังประชาชนแทนที่จะโอ้โลมปฏิโลมค่อยเป็นค่อยไปในการครองอำนาจรัฐ
กลับฮึกเหิมลำพองไม่เห็นหัวประชาชนอยู่ในสายตา ปรามาสว่ากลุ่มพันธมิตรฯ
รวมกันไม่ติดแล้ว สนธิไม่มีน้ำยาแล้ว เอเอสทีวีเจ๊งแล้ว

เ พราะเหตุนั้นจึงเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญและฟอกผิดฟอกโกงให้กับบรรดาผู้กระทำ
ความผิดทั้งหลาย
หมายฟอกให้บริสุทธิ์ผ่องใสเพื่อให้คนเสกหุ่นกลับเข้ามามีอำนาจในบ้านเมืองอี
กครั้งหนึ่ง

ฮึกเหิมลำพอง ก้าวร้าว ชนิดที่ไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน
ขับไสคนดีมีฝีมือออกจากอำนาจหน้าที่
ส่งเสริมนำเอาคนชั่วช้าเลวทรามเข้ามามีอำนาจในบ้านเมืองอย่างเอิกเกริก
ทั้งใช้อำนาจรัฐข่มเหงรังแกประชาชนผู้บริสุทธิ์
โดยเฉพาะผู้ตื่นรู้ทั้งหลาย ด้วยน้ำใจปรามาสว่าเป็นแค่ผักปลาหรือเม็ดทราย

กลุ่มพันธมิตรฯ จึงจำลั่นกลองชัยประกาศชุมนุมใหญ่เป็นครั้งที่สอง
การกระทำทั้งหลายที่ปฏิบัติการกับประชาชน
รัฐบาลได้ถือเอาประชาชนเป็นศัตรู เป็นปรปักษ์ที่ต้องทำลายให้สูญสิ้น
ดังนั้นเล่ห์กลทางการเมือง เล่ห์กลทางการปกครอง
แผนการอุบาทว์ทางสังคมและสื่อมวลชน
กระทั่งแผนการอุบาทว์ถึงขนาดตั้งกองกำลังติดอาวุธทั้งนอกแบบ ในแบบ
เพื่อทำลายประชาชนซึ่งตนถือเป็นข้าศึกได้ถูกนำมาใช้โดยไม่แยแสขื่อแปบ้านเมื
องอีกต่อไป

แต่ไม่อาจฝืนสัจธรรมของการต่อสู้ของเหล่าผู้รักชาติได้
ยิ่งใช้อำนาจอธรรมมากเท่าใด ประชาชนก็ตื่นรู้มากขึ้นเท่านั้น
ลุกขึ้นสู้มากขึ้นเท่านั้น

การต่อสู้ในรอบที่สองนี้จึงยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การต
่อสู้ของประชาชนไทย ผ่านฤดูร้อน ฝ่าฤดูฝน จนเข้าสู่ฤดูหนาว
พลังวิริยภาพของประชาชนผู้ตื่นรู้และเสียสละก็มิได้ท้อถอย
ยังคงยืนหยัดด้วยอหิงสาธรรม ท่ามกลางเสียงปืนและเสียงระเบิด
ตลอดจนชีวิตที่ล้มหายตายจากลงชีวิตแล้วชีวิตเล่า

นักรบของประชาชนผู้กล้าหาญทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
พลีให้แก่ชาติไป 12 คน พิการนับสิบคน บาดเจ็บร่วม 700 คน

ป ฏิบัติการยึดทำเนียบรัฐบาลอันเป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐแล้วต้องล่าถอยออกไปเพรา
ะทำเนียบรัฐบาลได้กลายเป็นสนามฆ่าคนที่อำนาจรัฐอธรรมใช้อาวุธสงครามเต็มรูปแ
บบเข้าเข่นฆ่าสังหารประชาชนเคลื่อนสู่สนามบินแห่งชาติทั้งสองแห่ง
ได้กลายเป็นเหตุการณ์ลือลั่นสนั่นโลกชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศ
าสตร์ของชาติไทยเรา

แต่รัฐบาลหน้าด้านก็มิได้แยแส
ยังคงดื้อรั้นอยู่ในอำนาจและมุ่งเข่นฆ่าประชาชนต่อไปอย่างไม่บันยะบันยัง
สื่อในมือมารเข้าผสมโรงในแนวรบ ใส่ร้ายป้ายผิดให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์
สร้างความชอบธรรมให้แก่การเข่นฆ่าประชาชนอย่างหน้าด้านหน้าทน

ทว่าพลังศรัทธา สันติ อหิงสา
และความกล้าหาญของประชาชนผู้ตื่นรู้นั้นได้พัฒนาไปแล้ว
กลายเป็นพลังจักรวาลอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด

น ั่นคืออาวุธที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในการทำสงครามของบรรดายอดขุนพลหรือผู้นำ
อัจฉริยะของมวลชนในประวัติศาสตร์ เป็นศาสตราวุธที่ไม่มีอำนาจใดต้านทานได้

ก่อเป็นพลังไร้สภาพกดดันให้บรรดาผู้มีหน้าที่ต่างๆ
ต้องทำหน้าที่ของตน
จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติต้องกระเด็นออกจากอำนาจ
และเกิดการพลิกขั้วอำนาจทางการเมือง
แล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

เพราะเหตุที่กลุ่มพันธมิตรฯ
ไม่มีองค์กรหรือเครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจรัฐโดยวิถีทางแห่งรัฐสภา
จึงแม้ว่าผลการต่อสู้จะได้รับชัยชนะในระดับหนึ่ง
แต่ในที่สุดก็ต้องได้แต่ยืนชะแง้หาด่าคนชั่วอยู่ที่ประตูรั้วทำเนียบรัฐบาลเ
หมือนดังเดิม

วันนี้ภารกิจของพันธมิตรฯ ยังไม่สิ้น ยังไม่เสร็จ
ภารกิจสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการนำการเมืองใหม่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ
มหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาแทนที่การเมืองแบบเก่าที่เป็นการเมืองของวงจรอุบ
าทว์ คือเลือกตั้ง-ตั้งรัฐบาล-โกงชาติ-เลือกตั้ง ยังคงดำเนินต่อไป

สถานการณ์ในวันนี้แม้การเมืองเปลี่ยนขั้ว
แต่ก็ยังเป็นการเมืองแบบเก่าที่ร่วมกันทำและแบ่งกันกินเหมือนที่ผ่านมา
ซึ่งไม่มีวันนำพาชาติและประชาชนไปสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและอยู่เย็นเป
็นสุขได้เลย

ด ังนั้นภารกิจตั้งแต่นี้ต่อไปของพันธมิตรฯ คืออะไรกันแน่?
เพราะหากแค่ตั้งเป้าหมายเพียงขับไล่รัฐบาลอธรรมหรือชั่วช้าสารเลว
ภารกิจนี้จะไม่มีวันจบสิ้นและจะไม่มีผลในการแก้ไขปัญหาชาติเลยแม้แต่น้อย

รุ่นแล้วรุ่นเล่า
จากหนุ่มสู่ความแก่เฒ่าก็ยังต้องไล่รัฐบาลชั่วช้าสารเลวกันอยู่
และยังไม่รู้ว่าจะต้องไล่กันไปถึงชาติไหน ภพไหน
และไม่เห็นอนาคตที่จะนำการเมืองใหม่มาสู่ประชาชนและบ้านเมืองได้เลย

ความจริงแห่งประวัติศาสตร์และความจริงในปัจจุบันได้ให้ข้อกำหนดที่ไม
่อาจปฏิเสธได้ว่าภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพันธมิตรฯ นับแต่นี้ไปมีสองอย่าง
คือ

หนึ่ง กระชับความเข้มแข็งเติบใหญ่ของมวลมหาประชาชนผู้ตื่นรู้และมั่นคงจงรักภักดีใ
นสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้มีความเข้มแข็งเกรียงไกร
เป็นกองรบอันยิ่งใหญ่ของมวลมหาประชาชน เป็นหลักประกันความมั่นคงของชาติ
ศาสน์ กษัตริย์ ไปนิรันดร
โดยแกนนำต้องแบกรับภารกิจในการเป็นศูนย์กลางแห่งความสามัคคีอย่างหนึ่ง
และในการชี้ทิศนำทางให้แก่การเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนผู้ตื่นรู้อีกอย่าง
หนึ่ง

เป้าหมายของภารกิจแรกนี้คือการทำให้ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศไม่ว่าสี
ไหนๆ สามัคคีสมานฉันท์เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันภายใต้ร่มธงมหาราชแห่งพระบาทสมเด็จพ
ระเจ้าอยู่หัว เทิดทูนจงรักภักดีและพิทักษ์รักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์
จนถึงที่สุด

ส อง จัดตั้งกองรบทางการเมืองของประชาชนในระบอบรัฐสภาขึ้น
นั่นก็คือต้องมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งของประชาชนผู้ตื่นรู้เพื่อเป็นตัวแทน
เป็นปากเสียง และทำการต่อสู้เพื่อช่วงชิงให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยผ่านกระบวนการทางรัฐสภา
และโดยอาศัยพลังบริสุทธิ์ของมวลมหาประชาชนที่เหล่าแกนนำเป็นผู้นำธง

หากไม่มีกองรบของประชาชนกองนี้
การเมืองใหม่ก็ไม่มีทางเกิดได้สำเร็จ ถึงเกิดได้ก็ไม่มีทางมีเสถียรภาพ
และในที่สุดก็ต้องมายืนข้างรั้วทำเนียบรัฐบาลขับไล่รัฐบาลอธรรมกันอีก

ภารกิจสองอย่างนี้คือภารกิจที่ยิ่งใหญ่มีเกียรติเชิงประวัติศาสตร์ของประชาชาติไทยผู้ตื่นรู้ทั้งปวง.


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000014519

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น