++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สิ่งประเสริฐยิ่งที่ได้รับการสั่งสอนว่าด้วยเรื่องราชภักดี โดย ว.ร.ฤทธาคนี


   
       สัปดาห์นี้เป็นช่วงที่ประเสริฐสุด สำหรับคนไทยทั้งชาติผู้จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยกเว้นพวกนอกคอกที่ได้มีโอกาสร่วมสร้างบุญอันบริสุทธิ์ถวายแก่พระองค์ ในวาระอันเป็นมงคลยิ่งนี้ และคนไทยทั้งปวงได้เป็นพยานรับรู้ในพระราโชบายการปกครองอาณาประชาราษฎร์ ตลอดระยะเวลานานกว่า 60 ปี ในฐานะพระมหากษัตริย์ผู้ทรงความประเสริฐเหนือความประเสริฐทั้งมวล
      
       ด้วยหลักธรรมะ 4 หลัก คือ ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร 12 ราชจรรยานุวัตร 4 ศีลและธรรมแห่งพระพุทธศาสนารวมทั้งหลักธรรมแห่งศาสนาอื่น อันเป็นหลักธรรมะสำหรับพระมหากษัตริย์ โดยทรงยึดถือเป็นธงชัยเพื่อประโยชน์สุขแห่งประชาชนชาวไทย ตามพระราชโองการที่ทรงประกาศไว้ จึงขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเกินกว่าจินตนาการ เป็นร่มโพธิ์เงินโพธิ์ทองให้กับปวงข้าพเจ้าทั้งหลายชั่วกาลนาน
      
       ผู้เขียนเกิดมาโชคดีเป็นคนไทยภายใต้ร่มพระบารมีอันประเสริฐบริสุทธิ์ ของพระองค์ และมีบิดาซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นเกินพรรณนาในแผ่นดินของ พระองค์ถึง 42 ปี
      
       บทเรียนชีวิตของผู้เขียนคือได้อ่านบทความหนึ่งที่บิดาได้เขียนสอนไว้ เป็นเครื่องเตือนใจทหารอากาศ ขณะเป็นรองผู้บัญชาการทหารอากาศ ลงในหนังสือข่าวทหารอากาศ ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ. 2491 เมื่อ 63 ปีมาแล้ว เรื่อง “รักราชจงจิตต์น้อม ภักดี ท่านนา”
      
       พล.อ.ท.ฟื้น ร.ฤทธาคนี ยศขณะนั้นได้ถ่ายทอดเรื่องนี้ให้เป็นอมตะแห่งปัญญา และอุดมการณ์แห่งความจงรักภักดีขนาดยอมตายแทนได้ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของ ท่าน และต้องการสำแดงความรู้สึกและจิตสำนึกของราชองครักษ์ และทหารอากาศในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หวังสร้างแรงศรัทธาให้กับทหารอากาศเพื่อดำรงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระ มหากษัตริย์เจ้า โดยมีเนื้อหาดังนี้
      
       นิ้วมือของคนปกติที่ใช้ได้ดีอย่างวิเศษนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะเพียงแต่มีปริมาณพอดี คือ ข้างละ 5 นิ้วเท่านั้น ต้องมีคุณภาพดีด้วย คือ ทุกๆ นิ้วอยู่ในที่ควรอยู่ มีขนาด สัณฐาน และสมรรถนะตามที่ควรจะมีจะเป็น ไม่ลักลั่นก้าวก่ายกัน จึงไม่มีใครต้องเดือดร้อนเพราะความบกพร่องไม่เป็นระเบียบแห่งนิ้วมือเลย คนที่อยู่เป็นหมู่กันก็เปรียบได้กับกลุ่มนิ้วมือจึงควรจะเป็นอย่างนิ้วมือ คือ นอกจากรู้จักรวมกลุ่มกันแล้ว ทุกคนจะรู้จักที่ รู้จักหน้าที่ตามคุณานุภาพและสมรรถภาพของตน ไม่ลักลั่นก้าวก่ายกัน
      
       ตามหลักธรรมชาติเช่นนี้แล้ว ผลก็ย่อมเป็นไปตามหลักธรรมชาติเหมือนกัน คือ ไม่มีความเดือดร้อนเพราะความไม่เป็นระเบียบแห่งคน ในหมู่บรรพบุรุษของคนไทยได้รู้หลักอันนี้และปฏิบัติสืบต่อกันมาจนเป็น “นีติ” ของชาติไทยแล้ว จึงมีคำตำหนิผู้ละเมิดหลักอันนี้ไว้อย่างแยบคายว่า “ไม่เป็นนิ้วก้อยหัวแม่มือ”
      
       ถ้าการที่เทียบหมู่คนกับกลุ่มนิ้วมือว่ามีคติเป็นอย่างเดียวกันนั้น ยุติด้วยหลักธรรมชาติแล้วไซร้ เราก็ได้คติว่าความที่ต้องมีประมุขนั้นไม่ใช่มีแต่คน แม้เดรัจฉานก็มีประมุขที่เรียกว่า จ่าฝูง จ่าโขลง หรือโจก กระทั่งนิ้วมือก็มีประมุข คือหัวแม่มือ (คำว่าหัวก็ดี แม่ก็ดี แสดงความเป็นประมุขทั้งสองคำ)
      
       นิ้วมือมีนิ้วหัวแม่มือประมุขโดยธรรมชาติ คนและสัตว์มีประมุขโดยอนุโลมธรรมชาติ ที่ต้องอนุโลมก็เพราะฝืนไปไม่ได้ ขืนฝืนไปก็ไม่ตลอด
      
       ความวิเศษกว่ากันในข้อนี้ระหว่างคนกับสัตว์ ก็ที่วัฒนธรรมและคุณธรรม สัตว์ยอมกันด้วยความกลัวหรือความรัก ซึ่งเป็นสัญชาตญาณไม่นับเป็นวัฒนธรรม และประมุขของสัตว์ มีแต่อำนาจป่าเถื่อนเป็นเดช หามีความเป็นคุณไม่ ส่วนคนมีวัฒนธรรม รู้จักเคารพบูชาประมุขของตน ผู้เป็นประมุขเล่าก็รู้จักประกอบคุณธรรมให้ควรแก่ความเคารพบูชาของเขา อย่างอุกฤษฏ์ถึง 10 ประการ เรียกว่าทศพิธราชธรรม
      
       ชาติไทยนี้มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยความยินดียกย่องแห่งพสกนิกร โดยชอบด้วยกฎหมาย และนิติประเพณีของชาวบ้านชาวเมืองสืบเนื่องมาช้านาน จนความสวามิภักดิ์ต่อประมุขของตน เกิดเป็นนิติธรรมประจำสันดานของคนไทยแนบสนิท องค์ประมุขของไทยเล่าก็ล้วนทรงประกอบด้วยทศพิธราชธรรม ทรงปกงำอาญาประชาราษฎรดังบิดาบริบาลบุตร “พ่อ” หรือ “พ่อขุน” ทรงปกแผ่ความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้า ดุจร่มพญาพฤกษ์ เราจึงถวายพระสมัญญาว่า “พระเจ้าอยู่หัว”
      
       จนบัดนี้ โชคดีนี่กระไร ที่พระประมุขของไทยมิได้ทรงเห็นแก่ประโยชน์ส่วนพระองค์ยิ่งกว่าประโยชน์ของ ชาติ ถึงอย่างไรๆ ก็ทรงสามารถคุ้มชาวไทยให้คงเป็นชาติมีอิสรภาพวัฒนาการมาโดยลำดับ เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ จริงๆ เพราะฉะนั้นแม้บัดนี้จะได้เปลี่ยนระบอบการปกครองจำกัดพระราชอำนาจ เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญตามควรแก่สมัย คนไทยก็มิได้ลบล้างความเป็นประมุขของพระมหากษัตริย์ โดยที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า “พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” คงรักษานิติธรรม คือ ความสวามิภักดิ์ไว้เป็นสมบัติประจำชาติ
      
       ตามนัยที่ว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดมิได้นั้น ก็คือพระองค์ดำรงอยู่ในฐานะที่อยู่เหนือกว่าการกระทำอันอาจบังเกิดเป็นผิด ใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งตรงกับราชนิติของอังกฤษที่ว่า “The King Can Do No Wrong” กล่าวคือ ในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี และทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล เพราะฉะนั้นพระราชกรณียกิจอันใดก็ตาม ในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองย่อมมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการทั้ง สิ้น พระองค์ย่อมอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนอย่างเดียว
      
       “เป็นมนุษย์สุดดีอยู่ที่จริง” เพราะว่าถ้าไม่มี “จริง” แล้ว ก็ไม่มีสาระ เนื้อหาสาระมิได้แล้วจะว่า “ดี” ที่ตรงไหน ขืนดีทั้งที่ไม่มีจริงเป็นสาระ ก็เป็น “ดีเหลว” เมื่อเอา “ดี” ไม่ได้ตามลักษณะนี้ ความเป็นมนุษย์ก็เป็นโมฆะ คือ เป็นเปล่าๆ เป็นเหลวๆ นั่นเอง
      
       ความจริงนี้ หมายเอาความจริงในตัวบุคคลที่ท่านเรียกว่าสัจจะ มีลักษณะเป็นหลายประการ สุดแต่จะนำไปประกอบ เช่น ทำอะไรเป็นทำจริง ไม่สักแต่ว่าทำ เรียกว่าจริงต่อการงาน ทำจริงในงานที่ได้รับมอบให้สำเร็จถูกต้องสมควร โดยรับผิดรับชอบ เรียกว่าจริงต่อหน้าที่ พูดแล้วรักษาถ้อยคำได้จริง เรียกว่าจริงต่อวาจา ประพฤติความดีด้วยอัธยาศัยใจจริง ไม่โลเล สับปลับ เรียกว่าจริงต่อความดี ผู้ใดเป็นมิตร ผู้ใดเป็นประมุข ผู้ใดมีบุญคุณ จงซื่อตรง จงรักรู้คุณผู้นั้นๆ ไม่คิดทรยศเนรคุณท่าน เรียกว่าจริงต่อบุคคล
      
       ความภักดีต่อประมุขของตน เป็นอาการหนึ่งแห่งสัจจะในลักษณะจริงต่อบุคคล
      
       คนมีสัจจะ เมื่อได้ยอมยกท่านผู้ใดเป็นประมุขของตนแล้ว ย่อมซื่อสัตย์ไม่คิดคดต่อผู้นั้น จงรักเคารพบูชาให้เป็นสง่าราศี อุทิศตนเป็นกำลังในการงานและป้องกันอันตราย เมื่อถึงคราวแม้จะต้องสละทรัพย์สมบัติ ความสุขที่สุด จนเลือดเนื้อและชีวิตเป็นราชพลี เพื่อความสวัสดีขององค์พระประมุขก็ยอมสละด้วยความเต็มใจทุกเมื่อ ยอมเสียชีพแต่ไม่ยอมเสียสัตย์ จึงชื่อว่าผู้มีสัตย์ควรเป็นที่สรรเสริญ คนไม่มีความจริงอย่างนี้เรียกว่าคนอสัตย์ หามีที่จะสรรเสริญไม่
      
       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในอปริหานิยธรรมว่า “ท่านผู้ใดเป็นผู้ใหญ่ เป็นประธานในหมู่คณะ คนทั้งหลายจักสักการะเคารพนับถือบูชาท่านผู้นั้น เชื่อถ้อยฟังคำท่านผู้นั้นอยู่ตราบใด ความเจริญส่วนเดียวไม่มีเสื่อม เป็นที่หวังได้อยู่ตราบนั้น”
      
       บทความนี้ผู้เขียนได้รับรู้โดยตรงเมื่อรู้ความแล้วโดยบิดาสอนให้มี ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และได้รับรู้จากพฤตินัยของท่านที่แม้แก่เฒ่าอย่างไร ถ้ายังยืนเดินได้ ท่านก็จะไปเฝ้าตามหมายทุกครั้งไม่เคยบ่น ท่านบอกว่าเป็นหน้าที่
      
       ในประวัติศาสตร์การเมืองประเทศไทย มีเหตุการณ์มากมายน้อยใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการจาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตลอดเวลา 60 กว่าปีแห่งการครองราชบัลลังก์ จากทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายแต่ด้วยอำนาจพระบารมีอันบริสุทธิ์ พวกนอกคอกเหล่านั้นก็ต้องภัยพิบัติทั้งหลายด้วยบาปของตน
      
       ปัจจุบันเป็นที่ประจักษ์แล้วว่ามีกลุ่มนอกคอกสามานย์ลอบซ่อน จาบจ้วงพระบรมเดชานุภาพอย่างขาดสติ และไร้ปัญญาผ่านไซเบอร์สเปซ จึงขอบอกให้รู้ว่าบาปภัยนั้นมีจริง ขอจงอ่านประวัติศาสตร์การเมืองไทยให้ละเอียด โดยเฉพาะนักการเมืองและนักวิชาการสมัยใหม่แล้วจะรู้ว่าภัยบาปมีจริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น