++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คนหนุ่มกับความหนุ่ม เขียนโดย : กะว่าก๋า




















ผมนั่งจ้องมองเข้าไปในแววตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า
นึกถึงวันที่ผ่านพ้นมา ความคิด แววตา ท่าทางของผมกับเขา
แทบไม่มีอะไรต่าง......





..................................................






ผมโตมาแบบเด็กเงียบๆ แต่แฝงความรุนแรงไว้ในใจ
ไม่ยอมคนในทุกกรณี โดยเฉพาะเมื่อยิ่งคิดว่า “กูไม่ผิด”
ผมไม่มีวันยอม
ผมยอมโกรธเพื่อน ไม่คุยกับมันเป็นเดือน
เพียงเพราะทะเลาะกันเรื่องงานกิจกรรม
ผมทะเลาะกับอาจารย์ เพียงเพราะอยากทำกิจกรรมแบบที่เรานักศึกษาอยากให้เป็น
ผมทำเรื่องถึงคณบดี เพื่อจะบอกว่าอาจารย์ในคณะบางคนมีพฤติกรรมการสอนที่ไม่เหมาะสม
ผมเขียนหนังสือหนาเป็นเล่มเพื่อบอกเล่าความรู้สึกด้านลบที่เกิดขึ้น

(มันชื่อหนังสือ “สองปีที่ฝันร้าย” ผมส่งให้อาจารย์และเพื่อนหลายๆคนอ่าน)

บางคนบอกว่าสะใจดี รุ่นน้องโทรทางไกลมาชื่นชมบอก

“พี่...สุดยอด นี่แหละที่หนูอยากทำ”




ในที่ทำงานผมพร้อมจะด่าลูกน้องอย่างไม่ไว้หน้า

ถึงจะปรารถนาดี แต่คงไม่มีใครชอบอารมณ์กราดเกรี้ยวแบบนี้หรอก
ผมโตมากับความเก็บกดความรู้สึกแบบ


“ถ้ากูไม่ผิด กูไม่ยอม”




.....................................................





หลายปีผ่านไป ผมเติบโตขึ้น
ผมพบเจอเรื่องราว พบผ่านผู้คนมากมาย
สุดท้ายพบค้นพบความจริงบางอย่าง...
ที่ทำให้ชีวิต “เย็นลง”
การไม่ยอมของผม มันไม่ได้สร้างความดีงามอะไรขึ้นมาเลย
นอกจากคำว่า “สะใจ”
ไม่มีใครชนะ... และถึงผมชนะในตอนนั้น
มันก็เป็นเพียง ชัยชนะที่จอมปลอม ชัยชนะที่ทำให้กลายเป็นรอยด่างในหัวใจ





...............................................






อีกนานในเวลาต่อมา

กับเพื่อน...ผมเดินเข้าไปขอจับมือทันทีหลังงานเสร็จ

เราจับมือกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำขอโทษ เพื่อนย่อมเข้าใจในเพื่อน
ผมได้แต่เสียดายเวลาที่เราทะเลาะกันเป็นเดือน

ถ้าเราดีกันเร็วกว่านี้ เราคงไม่ต้องอึดอัดใจกัน งานที่ออกมาก็คงจะดีกว่านี้





กับอาจารย์ ถ้าผมใจเย็นกว่านี้ ใช้เหตุผลเข้าไปคุยกับท่านตรงๆว่าผมรู้สึกอย่างไร

คาดหวังขนาดไหนกับการเรียนที่คณะนี้

ผมคิดว่าท่านต้องรับฟังบ้างไม่มากก็น้อย มันคงดีกว่าการจัดนิทรรศการด่าอาจารย์

วาดรูปประจาน หรือฉีกงานตัวเองทิ้งต่อหน้าอาจารย์

ซึ่งมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย นอกจากได้แสดงออกซึ่งความก้าวร้าว และความสะใจ





กับลูกน้อง ผมพยายามมองเขาเป็นมนุษย์ซึ่งพัฒนาให้ดีได้

แต่ต้องใช้เวลา ใครก็คงไม่สามารถเป็นอย่างที่ผมต้องการได้ตลอดเวลา

เขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดา ที่มีลูกมีผัว มีปัญหารุมเร้า
มีอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถทำงานให้ได้ดีเหมือนหุ่นยนต์

ผมเลิกด่า แต่ใช้การเรียกเข้ามาคุย
เข้ามาปรับทัศนคติกัน ถ้าทำไม่ได้ตามนี้ ก็จากกันด้วยดี
วิธีนี้เขาเองก็มีความสุข ผมก็มีความสุข

ไม่ต้องด่าลูกน้องเสร็จ ตัวเองก็หงุดหงิดไปทั้งวัน ทำงานไม่มีความสุข





...................................





หลายคนอาจคิดว่า ผมเฉื่อยชาลง
เปล่า...ผมแค่ไม่ได้เรียกร้อง “ความถูกต้อง” “ความสมบูรณ์แบบ”
ในแบบวันก่อนเก่าอีกแล้ว
ผมแค่อยากใช้ชีวิตเรียบง่าย
ไม่ได้อยากชนะใครอีกต่อไปแล้ว
เพราะผมเหลือสนามเดียวที่ต้องเอาชนะ
และเป็นชัยชนะที่ยากลำบาก
สงครามนั้น เป็นสงครามใหญ่...
สงครามที่ผมต้องสู้รบปรบมือกับ “ตัวเอง”.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น