++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

นักรบธรรม



พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร เป็นศิษย์ต้นของหลวงตามหาบัว พระอาจารย์สิงห์ทองท่านเคารพรักท่านอาจารย์ใหญ่คือหลวงตามาก เพราะท่านถึงธรรมอย่างเดียวกันแล้ว ความที่ว่ากลัวกันแบบโลก ๆ อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ กลัวคงไม่มี เรื่องกลัวนั้นคงกลัวอยู่บ้าง แต่กลัวน้อยหน่อย ยังมีความกล้าที่จะเล่นกับหลวงตาได้บ้างในบางครั้ง
หลวงตามหาบัวได้ตกลงกับพระอาจารย์สิงห์ทองด้วยการสัญญากันไว้ว่า ถ้าใครตายก่อนผู้ที่อยู่จะเป็นคนเผาศพให้ในที่สุดพระอาจารย์สิงห์ทองมรณภาพก่อน หลวงตาจึงได้ทำศพให้

พระอาจารย์สิงห์ทองท่านมีอุปนิสัยขี้เล่นชอบพูดตลกอยู่เป็นประจำ บรรดาครูบาอาจารย์พระเณรต่างทราบถึงพื้นนิสัยอันนี้ของท่านเป็นอย่างดี
เช่นวันหนึ่งพระอาจารย์สิงห์ทองถูกพระหลวงตาขับไล่ออกจากวัดว่า..
"ท่านสิงห์ทอง ท่านเป็นพระผู้ใหญ่แล้วทำตัวไม่เหมาะสม ท่านอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ ขนของหนีออกจากวัดเดี๊ยวนี้ ไปฝึกนิสัยเสียใหม่ เป็นคนใหม่แล้วจึงมา"
ด้วยความเคารพรักในหลวงตา ท่านจึงเก็บข้าวของ เตรียมบาตร จีวร และบริขารจำเป็นของพระป่า แบกกลด สะพายบาตรกุลีกุจอ เดินเร็วรี่ออกจากวัดไปทางหมู่บ้านตาด
สักครู่เดียวท่านก็สะพายบาตรย้อนกลับเข้ามา แล้วคลานเข้าไปกราบหลวงตา หลวงตาเห็นดังนั้นจึงดุเสียงดังลั่นวัดทันทีว่า "เอ้า! ยังไงนี่ ผมไล่ท่านหนีแล้ว กลับมายุ่งอะไรอี๊ก"
"นี่! เป็นสิงห์ทองคนใหม่... นะครับ ไม่ใช่สิงห์ทองคนเก่า สิงห์ทองคนเก่าตายจากโลกนี้ไปแล้ว" เมื่อลูกศิษย์ใช้อุบายอันเป็นปัญญาดังนั้น หลวงตาก็ไม่รู้จะขับไล่ประการใด ก็ได้แต่นั่งอมยิ้มด้วยความขบขันด้วยเหตุผลอยู่ผู้เดียวภายใน

มีอยู่คราวหนึ่ง กุฏิโยมมารดาหนูชุกชุมมาก กัดหมอนกัดเสื่อทำลายสิ่งของ หลวงตาจึงเรียกให้พระไปช่วยกันจับ เมื่อหลวงตาและพระเณรทั้งหลายเข้าสู่เขตจับหนูคือกุฏิโยมมารดา พระจำนวนหนึ่งเข้าไปไล่อยู่ข้างในให้มันออกมา ส่วนด้านนอกก็รายล้อมไว้ และคอยตั้งท่าจับหนูด้วยความมุ่งมั่น ถามว่า "ทำไมถึงต้องมุ่งมั่นไม่ให้หนูมีโอกาสหนีรอดขนาดนั้น" ตอบว่า "เพราะเป็นคำสั่งของหลวงตาอย่างเด็ดขาดว่า "ถ้าหนูหนีออกไปได้ทางท่านใด ท่านรูปนั้นต้องออกจากวัด" ถามว่าโทษคืออะไร? ตอบว่า คือความเซ่อซ่าที่ไม่ทันหนู พระเณรที่เซ่อ ๆ ซ่า ๆ เช่นนี้ไม่สมควรอยู่ในสถานที่ที่ต้องการความรวดเร็วคล่องตัว เพียงหนูตัวนิดเดียวยังจัดการกับมันไม่ได้ แล้วจะไปจัดการกับกิเลสตัณหาหน้าไหนได้
ปฏิบัติการจับหนูเริ่มขึ้น... ทุกรูปต่างอยู่ในรูปที่หนูไม่ชอบเอาเลย พระอาจารย์สิงห์ทองเห็นพระเณรตั้งท่าตั้งทางอะไรปานนั้น คงเกิดอารมณ์ขำขันรำพึงขึ้นมาภายในใจลึก ๆ ว่า "เอ... ถ้าหนูมันเกิดไปทางอาจารย์ใหญ่แล้ว ก็ใครเล่าจะมาอยู่วัดอบรมสั่งสอนพระเณร" ท่านจึงยื่นมือไปเก็บเอาก้อนหินก้อนหนึ่งขนาดไกล้เคียงกับตัวหนู มองไปทางที่อาจารย์ใหญ่ยืนอยู่
ทันใดนั้นเรื่องไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้น ท่านอาจารย์สิงห์ทองโยนก้อนหินนั้นไปทางหลวงตาพร้อมกับตะโกนว่า "หนู หนู ๆ ๆ มันไปทางนั้นแล้ว" เสียงก้อนหินปะทะกับใบไม้แห้งดัง แส้ก ๆ แส้ก ๆ หลวงตานึกว่าหนูจึงคว้าตะครุบติดมือทันที
พอทราบว่าไม่ใช่หนูเท่านั้นแหละ ท่านก็ดุเสียงดังขึ้นมาทันทีว่า "พระบ้านี่มันมาเล่นอะไรอย่างนี้ มันไม่รู้หรือว่า ยามไหนเล่นยามไหนจริง" พระเณรทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์ก็สุดจะอดกลั้นเสียงหัวเราะอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ไว้ได้
เมื่อจับหนูกันได้แล้ว ต้องนำหนูนั้นไปปล่อยในป่าที่ห่างไกลจากวัด ท่านอาจารย์สิงห์ทองจึงมีหน้าที่นำหนูออกไปปล่อย เมื่อถึงสถานที่ที่เหมาะสมแล้ว ท่านก็ลงจากรถ ทำท่าขึงขังตึงตังเดินไปดูสมรภูมิ โน่นบ้าง นี่บ้าง ดูทำเลที่จะปล่อยผู้ก่อการร้ายหน้าแหลมตัวฉกาจ จนชาวบ้านที่อยู่ถิ่นแถวนั้นเกิดความสงสัยมาก จึงถามขึ้นว่า "ท่านอาจารย์มาอะไร"
ท่านมีสีหน้าเคร่งขรึมเคร่งเครียด ราวกับว่าบ้านเมืองเดือดร้อนขัดข้องไม่ปลอดภัย เต็มไปด้วยภยันตรายนานาชนิดจึงตอบเขาไปว่า "กำลังเคลียร์พื้นที่ จะนำตัวผู้ก่อการร้ายตัวสำคัญมาปล่อย ถ้าเราปล่อยมันแล้ว พวกหมู่เจ้าจงระวังตัวให้ดี ถ้ามันจู่โจมบ้านใคร สมบัติที่มีอยู่จะถูกมันปล้นชิงเอาไปหมด" พูดแล้วท่านก็ถอนหายใจยาว ๆ ลึก ๆ หลาย ๆ เฮือกแสดงถึงความกังวล
ชาวบ้านที่นั่งพนมมืออยู่นั้นแสดงความกลัวอย่างเห็นได้ชัด มีนัยตากังวล... หวั่น มองหน้ากันเลิกลั่ก ๆ เตรียมตัว หนีผู้ก่อการร้ายสายตาเพ่งมองท่านอาจารย์ด้วยนัยตาละห้อย
สักพักเดียวท่านก็เดินไปที่รถ ไปหยิบกรงหนูถือเดินมาชาวบ้านจึงถามว่า "นั่นอะไร"
"นี่แหละผู้ก่อการร้ายตัวฉกาจ ทำให้พระได้รับอันตรายมาหลายองค์แล้ว"
พวกชาวบ้านจึงหัวเราะก๊าก มีใจแช่มชื่นมาดังเดิม

ขอขอบคุณ คุณจิรเมธ ศรีโยธี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น