++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อะไรที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต?

ในอดีต มีวัดแห่งหนึ่งชื่อว่าหยวนยินซื่อ ทุกวันจะมีอุบาสก อุบาสิกา ผู้มีจิตศรัทธาขึ้นมาไหว้พระขอพรเป็นจำนวนมาก กลิ่นธูปควันเทียนมิเคยขาดสาย



บนเสาคานหน้าวัดหยวนยินซื่อ มีแมงมุมตัวหนึ่งถักใยทำรังอยู่ มันได้รับกลิ่นอายแห่งธูปเทียนทุกวัน บำเพ็ญเพียรเป็นเวลาพันกว่าปี แมงมุมจึงเริ่มบังเกิดดวงจิตพุทธญาณ



อยู่มาวันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงเสด็จสู่วัดหยวนยินซื่อ เห็นว่าที่นี่มีญาติโยมจำนวนมาก กลิ่นธูปควันเทียนบูชาไม่เคยขาด ก็ทรงปีติยินดียิ่งนัก ก่อนจะ
เสด็จออกไปจากวัด พระองค์แหงนพระพักตร์ขึ้นมองอย่างมิได้ตั้งใจ ก็เห็นแมงมุมบนคาน พระองค์ทรงตรัสถามแมงมุมว่า

“เจ้ากับเราได้พบกัน นับเป็นบุญวาสนา เห็นแก่ที่เจ้าบำเพ็ญเพียรมาร่วมพันปี เราจักถามคำถามหนึ่งกับเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไร”

แมงมุมได้พบพระพุทธเจ้า ย่อมดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงรีบรับคำ

พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “ในโลกนี้ สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด”

แมงมุมหยุดคิดครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ ได้แก่ ‘สิ่งที่มิอาจได้มา’ และ ‘สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป’”

พระพุทธองค์ทรงพยักพระพักตร์ และเสด็จจากไป



กาลเวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งพันปี แมงมุมตัวดังกล่าวยังคงบำเพ็ญเพียรอยู่บนคานของวัดหยวนยินซื่อเช่นเดิม แต่พุทธญาณของมันได้เพิ่มสูงและแก่กล้าขึ้นเป็นอันมาก

วันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงเสด็จมายังหน้าวัดอีกครั้ง ตรัสกับแมงมุมว่า “เจ้ายังสบายดีอยู่ไหม คำถามที่เราถามเจ้าเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เจ้าได้ไตร่ตรองให้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิมแล้วหรือยัง”

แมงมุมตอบว่า “ข้าพระองค์ยังคงรู้สึกเช่นเดิมว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ได้แก่ ‘สิ่งที่มิอาจได้มา’ และ ‘สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป’”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “เจ้าจงตรึกตรองดูให้ดีอีกหน่อย เราจะมาถามเจ้าอีก”

ผ่านไปอีกหนึ่งพันปี วันหนึ่ง เกิดลมพายุอย่างหนัก พัดเอาน้ำอำมฤตหยดหนึ่งมาเกาะอยู่บนใยของแมงมุม



แมงมุมจ้องมองหยดน้ำอำมฤต ช่างใสสะอาด บริสุทธิ์ กลมกลึง ผ่องแผ้วตามธรรมชาติ ดวงจิตก็บังเกิดความชื่นชอบ

ดังนั้น หลายวันต่อมา ขอแค่ลืมตาขึ้นมาเห็นน้ำอำมฤต แมงมุมก็รู้สึกเป็นสุขใจ ถึงกับรู้สึกว่า นี่เป็นวันเวลาที่มีความสุขที่สุด ตลอดระยะเวลาสามพันปี

แต่แล้ว อยู่ๆ ก็เกิดลมพายุขึ้นอีกครั้ง และพัดเอาน้ำอำมฤตจากไป

แมงมุมรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรสักอย่างไป รู้สึกเหงาและโศกเศร้าเป็นอย่างมาก

ขณะนี้เอง พระพุทธองค์ทรงเสด็จมาอีกครั้ง ตรัสถามแมงมุมว่า “หนึ่งพันปีที่ผ่านมานี้ เจ้าได้ขบคิดคำถามเดิมต่อหรือไม่ ว่าในโลกนี้ สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด”

แมงมุมนึกถึงน้ำอำมฤต จึงตอบพระพุทธองค์ด้วยคำตอบเดิมว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ได้แก่ ‘สิ่งที่มิอาจได้มา’ และ ‘สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป’ คราวนี้ข้าพระพุทธเจ้า มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับคำตอบนี้ยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นทวีคูณ”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ตกลง ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น เจ้าจงไปเกิดในโลกมนุษย์ดูสักครั้งหนึ่งเถิด!”



และแล้ว แมงมุมจึงไปเกิดในตระ(กระผม)ลของขุนนางชั้นสูง กลายเป็นธิดาของเศรษฐี บิดามารดาของนางตั้งชื่อให้นางว่า “จูเอ๋อ” (แมงมุม)

เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวจูเอ๋อก็เติบใหญ่เป็นอนงค์นางวัยสิบหกปี น่ารักน่าเอ็นดู สวยงามเกินกว่าใคร

วันหนึ่ง องค์ฮ่องเต้ทรงจัดงานเลี้ยงฉลองที่สวนบุปผชาติท้ายพระราชวัง ให้กับจองหงวนคนใหม่นามว่า “กานลู่” (อำมฤต)



บรรดาหญิงสาวผู้เป็นราชนิ(กระผม)ล ลูกหลานขุนนางชั้นสูงจำนวนมาก รวมทั้งจูเอ๋อ และ องค์หญิงฉางเฟิง (สายลม) ต่างก็มาร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน


ในช่วงการแสดง จองหงวนคนใหม่ทั้งร่ายบทกลอน ขับทำนองเพลง แสดงความสามารถมากมาย หญิงสาวในงานทุกคน ต่างก็ต้องมนต์เสน่ห์ ชื่นชอบหลงใหลจองหงวนใหม่กันไปตามๆ กัน
แต่จูเอ๋อรู้อยู่แก่ใจดี ไม่ได้หึงหวงหรือกระวนกระวายใจแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่า นี่เป็นบุพเพสันนิวาสที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้แก่นาง ท้ายที่สุดผู้ที่จะได้ครองหัวใจของจองหงวนหนุ่ม ต้องเป็นนางอย่างแน่นอน

วันเวลาผ่านล่วงเลยไป วันหนึ่งขณะจูเอ๋อไปไหว้พระกับมารดา บังเอิญจองหงวนหนุ่มกานลู่ ก็มาไหว้พระเป็นเพื่อนมารดาของเขาเช่นกัน

หลังจากจุดธูป กราบไหว้พระพุทธองค์เสร็จ ผู้ใหญ่ของทั้งสองก็สนทนากัน

จูเอ๋อกับกานลู่เดินมาคุยกันตรงระเบียง จูเอ๋อดีใจมาก ในที่สุดก็ได้อยู่กับคนที่ตนรักแล้ว แต่ว่า ท่าทางที่กานลู่มีต่อจูเอ๋อนั้น ไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่นัก

จูเอ๋อถามกานลู่ว่า “ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ เรื่องที่เราพบกันบนใยแมงมุม ในวัดหยวนยินซื่อเมื่อสิบหกปีก่อน”

กานลู่ตอบกลับด้วยความงุนงงว่า “แม่นางจูเอ๋อ ท่านเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก อีกทั้งยังน่ารัก แต่ท่านช่างมีจินตนาการที่ล้ำลึกเหลือเกินนะ” พูดจบ ก็จากไปพร้อมกับมารดาของเขา

เมื่อกลับถึงบ้าน จูเอ๋อรู้สึกอึดอัดในใจยิ่งนัก ในเมื่อพระพุทธองค์ทรงจัดการให้เกิดบุพเพสันนิวาสนี้ขึ้น แล้วเหตุใดไม่ทำให้เขาจดจำเหตุการณ์นั้นไว้เล่า กานลู่ (อำมฤต) เหตุใดจึงไม่รู้สึกใด ๆ ต่อข้าเลย

หลายวันต่อมา ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการ ให้จองหงวนหนุ่มกานลู่ อภิเษกสมรสกับองค์หญิงฉางเฟิง ส่วนจูเอ๋อได้อภิเษกสมรสกับองค์ชายไท่จื่อจือ

ข่าวนี้ประดุจดั่งเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงในยามกลางวัน! จูเอ๋อตกใจมาก นางคิดไม่ตกว่า เหตุใดพระพุทธองค์ทรงทำกับนางเช่นนี้

หลายวันผ่านไป นางไม่กินไม่ดื่ม ครุ่นคิดอย่างหนักตลอดเวลา จนกระทั่งวิญญาณใกล้ถอดออกจากร่าง ชีวิตใกล้จะดับสูญ

เมื่อองค์ชายไท่จื่อจือทราบข่าว รีบเสด็จมาเยี่ยมถึงข้างเตียง พลางบอกกับจูเอ๋อที่กำลังหายใจอ่อนระทวยอยู่ในขณะนี้ว่า

“วันนั้นในงานเลี้ยงในสวนบุปผชาติ ท่ามกลางหญิงสาวจำนวนมาก ข้าตกหลุมรักเจ้าในแรกพบ ข้าเป็นผู้อ้อนวอนเสด็จพ่อ ขอให้ทรงประทานงานแต่งให้กับเราสองคน หากเจ้าต้องเป็นอะไรไป ข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!” ว่าแล้วก็ชักกระบี่ออกมาเตรียมฆ่าตัวตาย



ในขณะนี้เอง พระพุทธองค์ก็เสด็จมา พระองค์ตรัสกับจูเอ๋อที่วิญญาณกำลังจะออกจากร่างว่า

“แมงมุมเอ๋ย เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่า น้ำอำมฤต (กานลู่) ใครเป็นผู้พาเขามาถึงที่นี่ คือลม (องค์หญิงฉางเฟิง) ใช่ไหม ท้ายที่สุดลมก็ย่อมเป็นผู้พาเขาไป กานลู่จึงเป็นขององค์หญิงฉางเฟิงอยู่แล้ว สำหรับเจ้า เขาเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งในชีวิตของเจ้า
เป็นเพียงผู้มาเยือนคนหนึ่งเท่านั้น

ส่วนองค์ชายไท่จื่อจือ เดิมทีเดียวเขาเป็นต้นไม้เล็กๆ หน้าวัดหยวนยินซื่อ เขาเฝ้ามองเจ้ามาตลอดสามพันปี หลงรักเจ้ามาตลอดสามพันปี แต่เจ้ากลับไม่เคยก้มหน้าลงมามองเขาเลย แมงมุมน้อย เราจักถามเจ้าอีกครั้งว่า ในโลกนี้ สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค?าที่สุด”

หลังจากแมงมุมเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้ ก็ตาสว่างทันที นางทูลตอบพระพุทธองค์ว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลก ไม่ใช่สิ่งที่มิอาจได้มา หรือสิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป แต่ต้องอยู่กับปัจจุบัน แล้วทะนุถนอมความสุขตรงหน้าเอาไว้ให้ดี”

พูดจบ พระพุทธองค์ก็เสด็จจากไป วิญญาณของจูเอ๋อก็กลับเข้าร่าง นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นว่าองค์ชายไท่จื่อจือกำลังจะฆ่าตัวตาย จึงรีบห้ามปราม แล้วสวมกอดเขาด้วยความซาบซึ้ง...

ความสุขสูงสุดของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าได้ครอบครองอะไร แต่อยู่ที่กระบวนการขณะไขว่คว้าหาสิ่งสิ่งนั้นต่างหาก สิ่งใดที่ไม่ได้เป็นของคุณ ท้ายที่สุดก็ฝืนลิขิตไม่ได้

สุภาษิตชาวอเมริกันบอกว่า “เลข ‘0’ หมื่นตัว ก็สู้เลข ‘1’ ตัวเดียวไม่ได้”
สุภาษิตนี้บ่งบอกเอาไว้ชัดเจนว่า อะไรคือสิ่งที่ควรถนอม ควรรักษา ต้องใช้สติปัญญาเป็นตัวแยกแยะ สิ่งที่มิอาจได้มา สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องไปไขว่คว้าให้จงได้เสมอไป

บรมกวีอังกฤษ วิลเลี่ยม เบลค William Blake กล่าวไว้ว่า “หนึ่งเม็ดทรายเท่ากับหนึ่งโลกหล้า หนึ่งบุปผาเท่ากับหนึ่งสรวงสวรรค์ ในฝ่ามือเกาะกุมความนิรันดร์ ชั่วพริบตาก็คือชั่วกาลนาน”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น