++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นิพพานมิใชอัตตา มิใชอนัตตา โดย อาจารยพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน (หลวงตามหาบัว)

นิพพานมิใชอัตตา มิใชอนัตตา
โดย อาจารยพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน (หลวงตามหาบัว)
ในชวงที่มีการถกเถียงกัน วานิพพานเปนอัตตา หรือวานิพพานเปนอนัตตา คุณพัลวันไดนําเสนอพระธรรม
เทศนาของ อาจารยพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน (หลวงตามหาบัว) เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๒ ใน ธรรมะ จากพระ
ปา ซึ่งทานไดแสดงธรรมไวตั้งแตเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๓ กอนที่จะมีการถกเถียงกันอยางหนักในอินเตอรเน็ต
ถึงเรื่องดังกลาวในป ๒๕๕๔๑ – ๒๕๔๒ ถึง ๑๘ – ๑๙ ป มาแลว
นัยยะสําคัญที่แฝงเรนอยูในพระธรรมเทศนาของอาจารยพระมหาบัวก็คือ การถกเถียงถึงเรื่องดังกลาว ลวนแตไมมี
ใครถูกกันทั้งนั้น เหตุเพราะผูที่ยังคงมาถกเถียงกันนั้น ก็หาไดถึงความบริสุทธิ์จริงสักคนไม สวนผูที่ถึงแลว ก็หาไดมา
นั่งถกเถียงกันอยางนี้
พระครั้งพุทธกาลทานอยูกันเปนจํานวนมากก็มี ๒๐ – ๓๐ องคในที่บางแหง ตามตําราทานบอกไวอยางนั้น
แตเวลากลางวันนี้เหมือนไมมีพระในวัด ประชาชนเขามาไมเห็นพระ เขาเขาใจวาพระทะเลาะกันเพราะหายเงียบ
Page 2
ประการหนึ่ง ประการที่สองเห็นพระทานเครงขรึม ไมพูดไมคุยไมหยอกไมเลนกัน เขาเขาใจวาพระทานทะเลาะกัน
เพราะเขาไมทราบเรื่องการดําเนินของพระ เวลาตองการจะพบทานก็เอาไมไปเคาะระฆัง ทานไดยินทานก็มา
การอยูกันเปนจํานวนมากภาระหนาที่ที่เกี่ยวโยงถึงกันก็ตองมาก ไมวากิจใดมันเกี่ยวโยงถึงกัน ขอวัตร
ปฏิบัติเชนปดกวาดเช็ดถูทําความสะอาด ซักผายอมผา ขนน้ําขึ้นกุฏิ ใสไห เหลานี้เปนกิจสวนรวมเสียมากกวาสวน
บุคคล การทําตองไดชวยกันทํา ตางคนตางถือวาเปนหนาที่เปนความจําเปนของตนที่จะตองทําดวยกัน สมกับที่เรา
มุงมาเพื่อคุณงามความดี เพื่ออรรถเพื่อธรรมทุกแงทุกมุม สิ่งใดที่เปนธรรมชอบธรรมแลวตองไดทําสิ่งนั้น ความขี้
เกียจเหลานี้เปนเรื่องของกิเลสทั้งมวล
การอยูนี้เราไมไดอยูแบบแขกมาเยี่ยมบานเยี่ยมเรือนเรา เราอยูแบบพระ อยูที่ไหนทําดีที่นั่น ไมไดถือวานั้นเปนวัด
ของทาน นี่เปนวัดของเรา นั้นเปนกิจการงานของทาน นั่นเปนวัดของทาน นี่เปนกิจของเรา เปนขอวัตรของเรา ไมใช
อยางนั้น ตองไดตางคนตางชวยกันทํา เพื่อความพรอมเพรียงเปนสําคัญ กิจการก็เรียบรอยไปโดยไมไดรับขอหนักใจ
จากผูหนึ่งผูใด เพราะความขี้เกียจขี้คราน ความเห็นแกตัว ความเอารัดเอาเปรียบอันเปนเรื่องของกิเลสเขาทําลาย
จิตใจหมูเพื่อน อยางนี้ไมใหมีหรือไมมี ผูตั้งใจปฏิบัติธรรมรีบกําจัด
เราจะเห็นไดวาเรื่องของกิเลสมีความละเอียดลออเพียงไรนั้น เห็นไดในสิ่งนี้ มันแทรกมันแซงเขาใจวาเปนสิ่งที่ถูกตอง
ดีงาม ทั้ง ๆ ที่เปนเรื่องของกิเลสไมใชเรื่องของธรรม มันแทรกแซงอยูในหัวใจของพระของเณรเรานี้ ผูปฏิบัติไม
สังเกตสิ่งเหลานี้ ไมกําจัดสิ่งเหลานี้ ซึ่งเปนของหยาบ ๆ กวากิเลสประเภทอื่นแลว เราจะแกกิเลสประเภทที่ละเอียด
ยิ่งกวานี้ไดอยางไร นี่เปนสิ่งที่ผูปฏิบัติจะตองคิดใหตลอดทั่วถึง เพราะเปนสิ่งหยาบ ๆ ที่ผูปฏิบัติธรรมจะพอทราบได
การประกอบความพากเพียรถือเปนกฎเปนเกณฑ เปนกิจจําเปนสําคัญอยางยิ่งภายในชีวิตลมหายใจของเราที่ครอง
ตัวอยูดวยเพศ แหงความเปนนักบวช และมีความมุงมั่นตอแดนแหงความพนทุกข จึงตองถือธรรมเปนศาสตราอาวุธ
อยูเสมอไมปลอยวาง ทานเรียกวาธรรมาวุธ อาวุธคือธรรมเครื่องประหัตประหารกิเลส ที่ฝงจมอยูในเนื้อในกายในจิต
ในใจ ในกิริยาอาการทุกสวนของตัวเรา มีตั้งแตเรื่องของกิเลสทั้งมวลหาอะไรแทรกลงไมได ถูกแตตัวกิเลส แตเราไม
ทราบวามันเปนกิเลส เพราะมันฝงจมอยางลึก
เพราะกิเลสไมใชเปนของโง เปนของฉลาดเกินกวาสติปญญาของเราจะหยั่งถึงมันไดงาย ๆ ดวยเหตุนี้จึงตองไดอบรม
สั่งสอนกันอยางเปนเนื้อเปนหนังจริง ๆ ไมอยางนั้นก็ไมทันกับการแกการถอดถอนกิเลสประเภทตาง ๆ นับแตสวน
หยาบ ๆ เขาไปถึงสวนละเอียดอยูภายใน ผูปฏิบัติเทานั้นที่จะทราบเรื่องเหลานี้ไดดี คือระหวางกิเลสกับธรรมซึ่งมีอยู
ในตัวของเรานี้ หากไมไดเคยกําจัด ไมเคยตอสูกัน ไมเคยชําระสะสางมากอนแลวจะไมทราบวา กิริยาใดอาการใดที่
แสดงออกทางจิตใจและกายวาจา ความเคลื่อนไหวตาง ๆ วาเปนกิริยาอาการของกิเลส หรือเปนกิริยาอาการของ
ธรรม ไมมีทางทราบไดเลย
Page 3
เพราะมันมีแตธรรมชาติอันเดียวทั้งนั้น เปนเจาของของหัวใจ เปนเจาของของมารยาทของเนื้อของหนังทุกสัดทุก
สวน มันครอบครองอยูหมด จึงไมอาจสามารถทราบไดวามันเปนกิเลส เพราะมันกับเราเขากลมกลืนเปนอันหนึ่งอัน
เดียวกันแลว วาจะทําอะไรก็กลัวกระเทือนเราซึ่งเปนเรื่องของกิเลสแท ๆ ถาเปนสิ่งดีงามแลวมันจะทําการกีดขวาง
ใหเปนความทอแทออนแอ ใหเกิดความทอถอย อืดอาดเนือยนาย พอจะประกอบความพากเพียรเหมือนจะถูกหาม
เขาไปฆานั่นแหละ นี่เวลากิเลสมันมีกําลังมันเปนอยางนี้ แตเราไมทราบตอนนั้นไมทราบวามันเปนกิเลส
เวลานั่งสมาธิภาวนา ความพยายามหรือความตั้งใจเดิมนั้น ตั้งใจพยายามวาจะใหจิตมีความสงบเย็นใจ ดังที่ครูบา
อาจารยหรือธรรมสอนไว แตเวลานั่งลงไปแลวก็มีแตกิเลสไปทําหนาที่แทนอยูภายในความเพียรนั้นเสีย ขับไลสติซึ่ง
เคยควบคุมงานในทางดานอรรถธรรม ใหเตลิดเปดเปงไปไหนก็ไมรู มีแตกิเลสเขาทํางานปวนปนจิตใจใหคิดโนนคิดนี้
ยุงเหยิงวุนวายไปหมด ไมมีกิริยาแหงความเพียรของผูปฏิบัติธรรมปรากฏอยูในจิตดวงนั้นเลย มีแตกิเลสทําหนาที่
โดยถายเดียว นี่เปนเรื่องสําคัญ ตอนนั้นเราไมรู
ทีนี้พอกิเลสปลอยวาง มันกินเสียอิ่มแลว พอปลอยวางแลว สติก็ระลึกไดวาตนนั่งภาวนา แลวก็มาทวงผลดวยเวล่ํา
เวลาวานั่งนานเทานั้นนั่งนานเทานี้ เดินจงกรมนานเทานั้นเทานี้ เทานั้นนาทีเทานั้นชั่วโมง ไมเห็นไดผลไดประโยชน
อะไร การมาทวงเชนนี้ก็เพื่อจะแหวกแนวอีก มันเปนอุบายวิธีการของกิเลสทั้งนั้น เราจะไปแงไหนที่นี่มันถึงจะดี
ภาวนาเพื่อความดีมันก็ไมไดดี เพราะกิเลสไปทําหนาที่ของมัน ดวยความเปนขาศึกตอความเพียรของเราเสีย ตอ
ธรรมเสีย แลวจะออกทางไหนดี อยางนอยก็นอนเสียดีกวา มากกวานั้นก็ทําไปทําไมความเพียรนี่ ไมเห็นไดเรื่องได
ราวอะไร ยิ่งไปกวานั้นก็สึกเสียดีกวา มันมีตั้งแตกลอุบายของกิเลสทั้งมวลที่หลอกหัวใจเราหัวใจคน นี่เราก็ไมทราบ
ตอนนั้น จะทราบไดยังไงเมื่อสติปญญายังไมเหนือมัน
แตความพยายามอยูโดยสม่ําเสมอ นั่นเปนทางของปราชญทานดําเนินกัน เรื่องเหลานี้มันมีไดเพราะกําลังของกิเลสมี
มาก ที่วาจิตไมสงบ ๆ มีแตความฟุงซานวุนวายเพราะอะไร ก็เพราะกิเลสเขาทํางานอยางเต็มที่ ปวนปนวุนวายไป
หมดทั้งดวงใจ แลวจะเอาความสงบสุขมาจากที่ไหนเมื่อธรรมไมไดแทรกเขาไปเลย คือสติที่ควบคุมงานเปนสําคัญ
ถูกขับไลไสสงหนีไปทวีปไหนก็ไมรู
เวลานั้นที่จิตไมสงบก็เพราะกิเลสมีมาก มีกําลังมาก มันทําการปวนปนทุกสิ่งทุกอยาง ทําลายหมดแทนบัลลังกแหง
ความเพียรของเราไมมีเหลือ เมื่อเปนเชนนั้นผลที่พึงใจจะไดอยางไร เพราะเราไมไดทําเหตุอันเปนที่พึงใจในขณะ
ประกอบความพากเพียร มีแตกิเลสมาทําหนาที่ของมันเสียทั้งสิ้นในอิริยาบถตาง ๆ แมขณะที่ประกอบความ
พากเพียรอยูก็ตาม นี่เพราะสติยังไมทันเราก็ไมอาจทราบได จึงตองถูกกลอมไปหลายแงหลายมุม พลิกแพลงเปลี่ย?
แปลงไปไดทุกแงทุกมุมบรรดาความแยบคายของกิเลสที่มาเสี้ยม สอนจิตใจเรา เราจึงไมทราบแลวก็แหวกแนวไป
ตามกิเลสเสีย
Page 4
ตอเมื่อไดทําความพยายามอยูตลอด คราวแพก็ยอมวาแพ เวลาฟุงซานก็ฟุง เวลากิเลสมีอํานาจก็ใหมันเอาไป แต
ความพยายามไมลดละไมถอยหลัง มันอยูเรื่อย ๆ หลายครั้งหลายหนก็จับเงื่อนไดทีละเล็กละนอย จิตไมเคยสงบก็
สงบตัวได เมื่อสงบตัวไดหนหนึ่งสองหนเขาไปแลว ก็ชื่อวาไดหลักฐานพยาน ไดความแปลกประหลาด ไดเครื่องดื่มด่ํา
ภายในจิตใจเปนเครื่องฝงศรัทธาใหมั่นคงลงไปได
เมื่อศรัทธาเชื่อตอผลที่ปรากฏนั้นไดหยั่งลงไปภายในจิตใจแลว แมในคราวตอไปวันตอไปจิตจะสงบตัวลงอยางนั้น
ไมไดก็ตาม ความพยายามซึ่งจะตามมาจากศรัทธาความเชื่ออันหยั่งลงเรียบรอยแลวนั้นจะตาม มาเอง ศรัทธาความ
เชื่อนั้นก็ไมลดละไมถอย ทานจึงเรียกวาอจลศรัทธา คือศรัทธาฝงลึกในความจริงที่ตนไดเคยเห็นผลมาแลว ไม
หวั่นไหว แมไดบางเสียบางก็ยอมรับวาไดบางเสียบาง แตความหยั่งของศรัทธาที่เคยไดเห็นผลแลวนั้น ไมยอมละไม
ยอมถอนขึ้นมา หลายครั้งหลายหนไดเขาไปอีก นี่คือความเพียร ผูเพียรอยูเสมอตองไดอยางนี้ ใหถือวากิจนี้เปนกิจ
จําเปนของเรา
เคยพูดแลวพูดเลาอยูเสมอวา ไมมีงานใดที่จะหนักมากยิ่งกวางานตอสูกับกิเลส ใหพึงทราบเอาไวอยางถึงใจ ไมใช
งานทําเอางาย ๆ สบาย ๆ ไดตามนัดตามหมายตามความตองการทุกเวล่ําเวลาที่ประกอบความพากเพียร หรือนึก
เอาอยางไรก็ไดอยางนั้น ถาเปนอยางนั้นธรรมะก็ไมนาอัศจรรย กิเลสก็ไมเปนสิ่งที่ใครจะนากลัวนัก แมจะทําเราให
เปนทุกขเราพลิกทีเดียวเทานั้นความสุขก็เกิดขึ้นมาแลวและ เปนไปไดอยางใจหวัง แตนี้เพราะกิเลสมันเหนียวแนน
มั่นคงเฉลียวฉลาดแหลมคมเกินกวาสติปญญาของ เราที่จะตามรูตามเห็นและตามถอดถอนแกไขมันไดนั่นเอง คนเรา
จึงยอมรับความทุกขเพราะอํานาจของกิเลสสรางขึ้นมาภายในใจ ใหเราทราบไวอยางนี้แลวก็พยายามตอสู
หนักเบาขนาดไหนทุกขยากลําบากเพียงไรก็ตาม มันเปนงานของเราเพื่อจะรื้อถอนภพถอนชาติอันเปนเสี้ยนเปน
หนาม เปนหอกเปนแหลมหลาวปกเสียบอยูภายในหัวใจนี้ใหขึ้นมาใหหมด นําออกใหหมดจนไมมีสิ่งใดเหลือ เมื่อ
เวลาเกิดความทอถอยออนแอขึ้นมาก็ใหระลึกถึงพระพุทธเจา ดังธชัคคสูตรทานแสดงไวเกี่ยวกับพวกอสูรรบกันกับ
พวกพระอินทร ยนเขามาสอนพระ อร ฺเญ รุกฺขมูเล วา สฺุญาคาเรว ภิกฺขโว เมื่อทานทั้งหลายไปอยูตามรุกขมูลรม
ไม หรือเรือนวางที่ใดก็ตาม เมื่อเกิดความหวาดเสียวหรือพรั่นพรึงขึ้นมาใหพึงยกธง เรียกวาธง ๓ สีถาเทียบอยางเรา
ทุกวันนี้ คือพระพุทธเจาขึ้นมา ความกลัวนั้นก็จะหาย ความหวาดเสียวความกลัวนั้นจะหาย ความขนพองสยองเกลา
เพราะความกลัวนั้นก็จะระงับดับไป ทีแรกทานใหระลึกถึงพระพุทธเจาเสียกอน โน เจ พุทฺธํ สเรยฺยาถ เมื่อระลึก
พระพุทธเจายังไมไดผล ก็ใหระลึกถึงพระธรรม แบบเดียวกัน ถาระลึกถึงพระธรรมจิตใจยังไมสงบตัวลงไดใหระลึกถึง
พระสงฆ
นี่เมื่อเกิดความทอถอยออนแอขึ้นมาก็ใหระลึกถึงพระพุทธเจาในเรื่องความ พากเพียร ทุกขหรือไมทุกขก็เห็นอยูแลว
ในพระประวัติของทาน ทานทุกขขนาดไหน นาเรามันทํายาก สวนเรามันทํายาก มีแตหญารกรุงรังปกคลุมหุมหอไป
หมด เราจะไปปกดําเอาเลย ๆ นั้นไมได มันตองถากตองถางตองสับตองฟนใหแหลกละเอียด ทั้งคราดทั้งไถเอากัน
อยางเต็มที่เต็มฐาน ควรปกควรดําควรเพาะปลูกสิ่งตาง ๆ คอยปลูกลงไปได
Page 5
เมื่อนาเราทํายากเราก็ตองเอาใหเต็มที่ เราจะทําแบบนาเขาทํางาย ๆ สวนเขาทํางาย ๆ อยางนั้นไมได กิเลสของเรา
เปนยังไง มันแกยาก เอา แกยากก็เอาใหหนักมือ เพราะกิเลสมีตามขั้นของบุคคล ผูมีกิเลสเบาบางก็มี กิเลสปาน
กลางก็มี กิเลสหนาแนนก็มีแตพอแกไขได กิเลสครอบเอาเสียจนมืดมิดปดตา ทวารทั้ง ๖ ไมมีทางที่จะมองเห็นรูได
เลย อันนั้นก็เปนพวกปทปรมะ ถาเปนโรคก็ประเภทไมดูหมอไมฟงยา มีแตจะตายทาเดียว นั่นก็สุดวิสัย แตเราไมใช
คนประเภทนั้น
ผูที่มีกิเลสเบาบางก็ประเภทอุคฆติตัญ ู รูแจงเห็นจริงในธรรมทั้งหลายไดงาย เพราะกิเลสเบาบางมาแลว วิปจิตัญ ู
รองกันลงมา เปนประเภทที่เบาบางเชนเดียวกันแตรองกันลงมาเล็กนอย เนยยะ เปนผูควรตักเตือนแนะนําสั่งสอนได
หลายครั้งหลายหนก็คอยเปนไปได ทั้งครูทั้งอาจารยตักเตือนแนะนําสั่งสอน ทั้งตนเองเปนผูแนะนําพร่ําสอนตนเอง
ดวยอุบายวิธีการตาง ๆ มีความเพียรเปนเครื่องหนุนอยูตลอดเวลา หลายครั้งหลายหนกิเลสก็คอยบางลงไป ๆ บท
เวลาจะรูก็เปน อุคฆติตัญ ูเชนเดียวกัน เมื่อถึงขั้นที่จะรูเร็วแลวไมตองบอก หามไมอยู ขณะเดียวเทานั้นเลิกหมด
โลกธาตุภายในหัวใจนี้เลย แตเวลารื้อถอนในเบื้องตนโดยลําดับ ๆ มานั้นแสนทุกขแสนยากแสนลําบากสาหัส
เมื่อเรารูนิสัยของเราเปนอยางนี้ ก็เทียบกับวานาของเราเปนเชนนี้ เอา เราตองหนักมือในการประกอบความ
พากเพียร อยาถอยเปนอันขาดลูกศิษยตถาคต หรือธรรมของพระพุทธเจาไมมีบทใด ที่สอนใหผูปฏิบัติทั้งหลายถอย
หลังออนแอ ไมมีอะไรเหนือธรรมที่พระพุทธเจาทรงบําเพ็ญมา และไดผลมาแลว พรอมทั้งการแนะนําสั่งสอนไว เปน
เยี่ยมทุกอยาง เพราะฉะนั้นกิเลสจึงกลัวธรรม ใหนํามาประพฤติปฏิบัติ ใหนํามาตอสูกับกิเลส
วิริยธรรม แนะฟงซิ สติธรรม สมาธิธรรม ปญญาธรรม นี่มีแตธรรมเยี่ยม ๆ ทั้งนั้น ที่จะฟาดฟนกับกิเลสใหแตก
กระจายไมมีเหลือภายในดวงใจไดดวยกันทั้งนั้น พระพุทธเจาทานนําไปใช สาวกทานนําไปใช ทําไมทานจึงไดผลเปน
ที่พอพระทัยและพอใจ จนกลายเปนสรณะของพวกเราได ทานทําวิธีใด เราใหยึดเอาคติตัวอยางที่ทานพาทําพา
ดําเนินมา มาเปนเครื่องมือ มาเปนเครื่องดําเนินตอสูกับกิเลส นี้ชื่อวาลูกศิษยมีครู
สมกับกลาวอางพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆวาเปนสรณะ ยึดทั้งขอปฏิบัติปฏิปทาเครื่องดําเนิน ทั้งวิริยะ
อุตสาหะ ทั้งสติทั้งปญญา ศรัทธาความเพียร ทุกแงทุกมุมยึดมาเปนคติแกตัวเอง ทานดําเนินอยางไร ยึดทานมาเปน
หลักเปนเกณฑเครื่องดําเนิน ไมลดละทอถอยไมปลอยวาง เอาจนไดชัยชนะ
เมื่ออยูขั้นยากก็ตองเอาใหหนักมือ งานนี้งานหนักเราจะไปทําเบา ๆ ไมได เชนทอนไมมันหนักเราจะไปเอามือเดียว
ยกไมได ตองทําใหเต็มเรี่ยวเต็มแรงไมงั้นยกไมขึ้น เอาไปไมไหว งานประเภทตาง ๆ มีหนักมีเบา การแกกิเลส
ประเภทตาง ๆ ยอมมีหนักมีเบาเหมือนกัน แตสวนมากหนักดวยกันทั้งนั้นแหละ หากเราจะไปถือวาหนัก แตผูที่
ตองการสิ่งที่เลิศประเสริฐกวาสิ่งเหลานี้ ไมไดมาถือสิ่งเหลานี้เปนอารมณพอใหเกิดอุปสรรคตอการดําเนินของตน
แลวก็ผานพนไปไดโดยลําดับ
ธรรมะทุกบททุกบาทที่ประทานไวแลวนี้ เปนธรรมะสด ๆ รอน ๆ ไมมีคําวาครึวาลาสมัย ผานมากี่ปกี่เดือนก็ตาม อยู
ในทามกลางแหงความเหมาะสมทั้งนั้น เหมาะสมกับการบําเพ็ญของเราที่จะใหเปนคนดีตามสติกําลังความสามารถ
Page 6
ของเรา และเหมาะสมกับการปราบปรามกิเลสทุกประเภท ใหขาดสะบั้นหั่นแหลกลงไปจากจิตใจไมมีเหลือไดดวยกัน
ทั้งนั้น ทั้งครั้งพุทธกาลและครั้งนี้ ไมมีอะไรผิดแผกแปลกตางกันไปเลย นอกจากความพากเพียร ความอุตสาห
พยายาม ความโงความฉลาดของเราเทานั้นมีตางกันกับทาน ผลจึงตองตางกันเปนธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงตองยึด
หลักของทานมาเปนเครื่องดําเนินใหดี
สติตั้งใหดี สติเปนของสําคัญมากในวงความเพียร ถาขาดสติไปเสียก็เทากับขาดความเพียรไปพรอมในขณะเดียวกัน
ขาดไประยะสั้นยาวเพียงไรก็ชื่อวาความเพียรขาดไประยะสั้นยาวเพียงนั้น แมจะนั่งอยูหรือเดินจงกรมอยูก็ไมใหชื่อวา
ความเพียร เพราะขาดประโยคแหงงานที่สืบตอกัน มีสติเปนผูควบคุมสําคัญปราศจากไมได ที่วาขั้นปญญา สติกับ
ปญญาตองกลมกลืนกันไป แตถึงขั้นนั้นแลวเราไมตองพูดแหละ ขั้นลมลุกคลุกคลานนี่ซิ ขั้นขาดแลวติด ติดแลวตอ
กันยุงไปหมด ขาดแลวตอไมไดก็มี สติขาดไปเอามาตอก็ไมไดเพราะไมสนใจจะตอ ออนแอปวกเปยกไปหมด อยางนี้
ไมใชทางของพระพุทธเจา
ใหมีความเขมแข็งมีความอดทน มีความพินิจพิจารณาใครครวญทุกสิ่งทุกอยางที่มาเกี่ยวของกับตน นี่ชื่อวาเพศของ
นักบวชเปนอยางนี้ พระพุทธเจาเปนอยางนี้ พระสาวกทั้งหลายทานเปนอยางนี้ ใหพินิจพิจารณาทุกสิ่งทุกอยางที่มา
เกี่ยวของสัมผัสสัมพันธกับอายตนะภาย ใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรา สัมผัสเพื่อจะเกิดเรื่องทั้งนั้นแหละ
แลวเรื่องนั้นเปนเรื่องดีหรือเรื่องชั่ว เอาสติปญญาเขาไปจับพินิจพิจารณาใหทันกับเหตุการณ เรื่องก็ระงับไป ถาเปน
เรื่องไมดีก็ระงับไป ถาเปนเรื่องดีก็เปนการสงเสริมเรื่องนั้นใหมีกําลังมากมูนขึ้นไปโดยลําดับ ดวยการพินิจพิจารณา
ดวยความไมประมาท คือความมีสติ
นี่เปนหลักของการภาวนา เปนหลักของการปฏิบัติ สําหรับผูจะใหถึงจุดหมายปลายทางที่ตนตั้งไวอยางไรโดยไมตอง
สงสัย หลักเหตุตองใหเกี่ยวโยงกันไปโดยลําดับอยาใหขาดวรรคขาดตอน
อยาลืมวาภาระที่เรากําลังดําเนิน เรากําลังแบกหามอยูเวลานี้ ไมมีผูหนึ่งผูใดในโลกทั้งสามนี้จะมาชวยฉุดชวย
ลากชวยแบงหนักแบงเบา ออกจากใจของเราได ครูบาอาจารยก็เปนแตเพียงผูใหอุบายวิธีการตาง ๆ ดัง
พระพุทธเจาทานสอนไววา ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺป อกฺขาตาโร ตถาคตา งานถอดถอนกิเลสทั้งมวลเปนหนาที่ของ
เธอทั้งหลาย หรือของทานทั้งหลายจะทําเอง พระพุทธเจาทั้งหลายเปนผูชี้แนวทางหรืออุบายวิธีการใหเทานั้น
ไมใชเปนผูไปแกไปถอดถอนกิเลสให
เมื่อเปนเชนนั้นเราอยาหวังพึ่งผูใด อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเปนที่พึ่งของตน เมื่อไดรับโอวาทจากครูจากอาจารย
มาแลว ใหยึดเขามาเปนหลักตอสูกับสิ่งที่เปนขาศึกฝงจมอยูภายในจิตใจนี้ ใหออกไดดวย อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
เปนตนเปนเนื้อเปนหนังของตน ตนเปนผูตอสูเพื่อตนเอง เพื่อชัยชนะของตนเอง เพราะคําวาแพก็เราเปนผูแพ คนอื่น
ไมแบงมาแพกับเราได แบงหนักแบงเบาใหเราแพนอยลง คนอื่นแบงเอาไปบางอยางนี้ไมมี เราแพก็ตองแพเต็มเม็ด
เต็มหนวย เมื่อชนะก็ตองเอาใหชนะเต็มเม็ดเต็มหนวย การที่จะเอาใหชนะเต็มเม็ดเต็มหนวยเต็มอรรถเต็มธรรม ตอง
Page 7
ประกอบการตอสูใหเต็มเม็ดเต็มหนวย เต็มสติกําลังความสามารถ ดวย อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ของเราเอง นั่นแหละ
ผลจึงจะปรากฏขึ้นมา
คําวา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเปนที่พึ่งของตนนี้ ฟงเผิน ๆ แลวไมมีใครอยากจะเชื่อ แตเวลาปฏิบัติเขาไป
แลวยอมรับเอง จึงไดทราบวา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ นี้เปนธรรมละเอียดมากทีเดียว ก็ผูละเอียดเปนผูสอนนี่
ไมใชคนโงเขลาเบาปญญาหูหนวกตาบอดมาสอนธรรมนี่ พระพุทธเจาเปนคนหูหนวกตาบอด เปนคนโงเขลาเบา
ปญญาเมื่อไร ธรรมที่สอนเหลานี้ออกมาจากพระพุทธเจาทั้งนั้น ใครจะเชื่อหรือไมเชื่อก็เปนเรื่องของความโงความ
ฉลาดของคนนั้นเทานั้น ไมไดขึ้นอยูกับความที่พระพุทธเจาโง สอนธรรมไมถูก มันขึ้นอยูกับผูฟงผูพิจารณา เมื่อถึงขั้น
ความเพียรที่เปน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ อยางชัดเจนแลวแยกกันไมออกกับพระโอวาทนี้ ยอมกราบสนิทเพราะ
ประจักษอยูกับตัวเองวาไมมีใครจะชวยเราได
ดังที่เคยกลาวเสมอวา เวลาจนตรอกจนมุมนั้นนะ เปนเวลาที่สติปญญาจะฟตตัวเต็มที่เพื่อหาทางออก ดวยการ
ตอสูโดยวิธีตาง ๆ สติปญญาทุมกันลงใหหมดชีวิตจิตใจ เปนก็เปนตายก็ตาย นั่นละ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตรง
นั้นใครชวยไมได สติปญญาก็เกิดขึ้นในเวลาจนตรอกจนมุมนั่นแล อยูเฉย ๆ ไมจนตรอกมันไมไดใชความคิดคนเรา
เมื่อเขาจนตรอกถูกทุกขถูกเหตุการณบังคับบีบคั้นเขาโดยลําดับ ๆ จนหาทางออกไมไดแลว ทําไมคนเรายังจะยอม
ตายอยูเฉย ๆ เมื่อพอมีทางออกไดอยู เพราะฉะนั้นจึงตองคิดตองคน ยิ่งผูตองการฆากิเลสอาสวะทุกประเภทไมให
เหลืออยูภายในใจแลว จะไปถอยไดยังไง ก็ขณะนี้เปนขณะที่ตอสูกับขาศึกศัตรูอยางเต็มเหนี่ยวกันอยูแลวจะถอย ได
ยังไง ถอยไมได นอกจากจะเอาใหทะลุไปเทานั้น ไมทะลุก็ตาย ไมตายก็ใหทะลุ ถึงจุดหมายปลายทาง ถึงชัยชนะอัน
สมบูรณเต็มที่
นี่ละ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เห็นเดนชัด กับคําที่วาคนเราไมไดโงอยูตลอดไป เมื่อถึงคราวจนตรอกจนมุมแลว ฟต
ตัวเองขึ้นมาได ชวยตัวเอง จนหลบหลีกปลีกตัวออกไปได ไดชัยชนะขึ้นมาในขณะที่จนตรอกเปนลําดับลําดาไมสงสัย
นี่เคยไดดําเนินมาแลวจึงไดนํามาสั่งสอนหมูเพื่อน ใหเปนที่ลงใจ อยาทอถอยปลอยวางธรรมบทนี้ คือ อตฺตา หิ อตฺต
โน นาโถ จะพนภัยไมสงสัย
สติปญญาใหนํามาใชอยาอยูเฉย ๆ ภาวนาก็อยาใหกิเลสตัวขี้เกียจเขาไปแทรกในความสงบ พอมีจิตใจสงบบาง
แลวก็ขี้เกียจพินิจพิจารณาเสีย อยากจะสงบอยูนั้น หลังจากนั้นก็งวงเหงาหาวนอนสัปหงกงกงัน ใชไมได เวลา
ตั้งใจทําความสงบก็ใหเปนความสงบภายในจิตใจจริง ๆ ดวยเจตนา ดวยความมีสติ อันเปนงานสืบเนื่องกันอยู
โดยลําดับในขณะประกอบความพากเพียรนั้น ไมใหขาดวรรคขาดตอน
ถึงกาลเวลาที่ควรจะพินิจพิจารณา ก็ใหเปลี่ยนงานจากความสงบมาสูความคิดคนพิจารณาหาเหตุหาผล ตาม
สภาวธรรมซึ่ง มีอยูในขันธของเรานี้เปนสําคัญ มีอยูในรูปคือกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ซึ่งออกมา
จากใจ ใจเปนผูรับผิดชอบ มันอยูที่นี่ เวลาจะพิจารณาก็พิจารณาตามสิ่งเหลานี้ เปลี่ยนอาการเทานั้น แลวก็ทําดวย
ความจงใจอยาสักแตวาทํา
Page 8
นี่เวลาดูหมูดูเพื่อนทําใหอิดหนาระอาใจเหมือนกัน ดูกิริยาที่ทําสิ่งนั้นสิ่งนี้มักจะไมคอยมีความแยบคาย อันนี้สอถึง
เรื่องปญญา มันบอก ออกมาภายนอกจะแสดงความโงความฉลาดมันไมแสดงออกมาจากใจจะแสดงมาจากไหน มา
เปนกิริยาทางกาย ทางวาจา ความประพฤติ การกระทําตาง ๆ มันบอกอยูนั้น เพราะฉะนั้นจึงไดพูดย้ําแลวย้ําเลาอยู
เสมอวา ปญญา ๆ
การฆากิเลสทุกประเภทเราพูดไดอยางเต็มปากวา ตองเปนปญญาทั้งมวล สมาธิเปนแตเพียงวาตะลอมกิเลสให
เขาสูจุดรวมตัวไมฟุงซานรบกวนใจเทา นั้น ที่เรียกวาจิตสงบก็คือกิเลสมันนอนกน เหมือนกับตะกอนนอนกนโอง
นอนกองอยูในนั้น แลวจะปฏิบัติตอตะกอนอยางไรบางนั่นเปนอีกแงหนึ่ง นั่นเปนเรื่องของปญญา จิตของเรา
สงบ สงบตัวเขามา ไมวุนวายกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ นี่เรียกวาจิตสงบตัว
สมถธรรมทําใหกิเลสสงบตัวเขามา แตเวลาที่จะแยกจะแยะกิเลสแตละประเภทออกมาฆามาทําลายเพื่อความรู
แจงเห็น จริงนี้ตองใชปญญาทั้งนั้น ถึงสงบมันจะยึด แย็บออกไปมันก็ยึด อยูในภายในกายนี้มันก็ยึดขันธทั้ง ๕ นี้
หมดทั้งดวงใจ ถึงสงบมันก็ยึด เพราะฉะนั้นจึงตองไดคลี่คลายออกมาถึงเวลาที่จะทําลายกันแลว คลี่คลาย
ออกมาดวยปญญา พินิจพิจารณาใหเห็นแจมแจงชัดเจน พอเขาใจเต็มที่แลวมันปลอยของมันเอง
เชนอยางรูปกายนี่ กายของเราทุกสัดทุกสวนเรียกวากองรูป ขันธแปลวากองหรือแปลวาหมวด พิจารณากองรูป
ไดแกรางกายนี้ จะพิจารณาตรงไหนก็พิจารณา พิจารณาหนังก็ซึมซาบเขาไปถึงเนื้อถึงเอ็นถึงกระดูกถึงภายใน ซึ่งเต็ม
ไปดวยความปฏิกูลโสโครกพอ ๆ กันทั้งภายนอกภายใน พอดูไดอยูบางแมจะเปนของสกปรกแตเปนสวนละเอียดก็
คือผิวหนังเทานั้นปก ปดเอาไว นั่นก็ยังขี้เหงื่อขี้ไคลเต็มอยูแลว เปนขี้ทั้งหมด บนศีรษะกิเลสหรือสิ่งเหลานี้ก็ไมนิยม
วาสูงวาต่ํามันมีทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการพิจารณารูปกายเราจะพิจารณาตรงไหนมันก็วิ่งทั่วถึงกันหมด เพราะเปน
ความจริงเทากัน
ถาพูดถึงเรื่องอสุภะอสุภัง เปนสิ่งที่นาเกลียดนาขยะแขยง ไมนายึดนาถือมันก็เหมือนกัน จะพิจารณาเปน อนิจฺจํ
ความแปรสภาพ ทุกสวนมันแปรเหมือนกันหมด ไมมีสวนไหนที่จะยับยั้งตั้งตัวอยูโดยไมเดินตามทาง อนิจฺจํ ทุกฺขํ
อนตฺตา มันเกี่ยวโยงกันไป ทําหนาที่พรอม ๆ กันไปจนกระทั่งมีความรูแจงเห็นจริงประจักษดวยปญญาแลว ไอที่มัน
เคยยึดถืออยูอยางเหนียวแนนมั่นคงก็คือกายนี้แลเปนสําคัญ แมเชนนั้นมันก็ทนไมได เมื่อไดเห็นความจริงประจักษ
ดวยปญญาแลว จิตถอนตัวออกมาไดทันที อุปาทานในขันธคือรูปขันธถอนตัวออกมาไดดวยปญญา นี่กิเลสประเภท
หลงกาย ประเภทยึดกายเพราะความหลงนี้ ถอนออกม?ไดดวยปญญาพิจารณาใน ๓ สถาน ๔ สถานนี้ คืออสุภะอสุ
ภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา พนจากนี้ไปไมได
ถาใจไดซึ้งถึงธรรม ๓ – ๔ อยางนี้แลวก็ปลอย ปลอยอุปาทานความยึดมั่นในกาย เวทนาที่เกิดขึ้นภายในกายในจิต
มันก็เปนตัว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เหมือนกัน ไมวาสุข ไมวาทุกข ไมวาเฉย ๆ มันเปนไตรลักษณเหมือนกัน พลิก
Page 9
ออกมาแตวาเปนอสุภะอสุภังก็ไดในฝายรูปขันธเทานั้น พลิกออกมานิดหนึ่งก็มาเปนไตรลักษณนี้เสีย เพราะไตร
ลักษณเปนที่รวมแหงธรรมทั้งมวล
สัญญา ความจําไดหมายรู สังขารความคิดความปรุงภายในจิตใจ วิญญาณความรับทราบในขณะที่รูป เสียง กลิ่น รส
เปนตนมาสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย เปนตน เกิดแลวดับไป ๆ ประกาศตัว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยูในตัวอยาง
สมบูรณของเขา ถาสติปญญาไดพินิจพิจารณาตามความสมบูรณของไตรลักษณที่ประกาศกังวานอยู ภายในขันธนี้
โดยตลอดทั่วถึงแลว ทําไมใจจะไมปลอย
การยึดไวถือไวเพราะความสําคัญผิดตางหาก เมื่อความเขาใจอันถูกตองแลวก็วางลงสูความจริงใหถูกตอง ไมยึดไมถือ
ใหหนักหนวงถวงหัวใจเปลา ๆ ไดรับความทุกขความทรมานมามากเพียงไรเพราะความยึดมั่นถือมั่นสําคัญผิด ไป
แบกหามสิ่งเหลานี้วาเปนเราเปนของเรา คือความเปนพิษเปนภัยไดถอนออกหมดดวยปญญา นี่ละหลักของการ
พิจารณาเปนอยางนี้
เมื่อถอนไปหมดแลวมันไปไหนที่นี่ กิเลสมันมาเที่ยวซุมเที่ยวซอนอยูตามรูปทุกสัดทุกสวนของรูป ทุกอาการของรูปก็
ถูกทําลายไปแลวดวยปญญา เวทนา ความสุข ทุกข เฉย ๆ ทางสวนรางกายนี้ ก็รูเทาทันแลว ถอนอุปาทานจาก
ความสุข ความทุกข ความเฉย ๆ วาเปนเราเปนของเราเสียแลว สัญญา ความจําไดหมายรู ก็ถอนจากความเปนเรา
เปนของเราเสียแลว มอบให อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อันเปนความจริงประเภทหนึ่งไปเสีย สังขาร วิญญาณ ก็เหมือนกัน
มอบลงสูความจริงของเขาดวยปญญาอันเห็นชอบของเรา
ทีนี้กิเลสที่จะไปซุมซอนอยูในรูปก็ไมมี เพราะถูกถอดถูกถอนออกไปโดยลําดับ ถูกฆาถูกฟนโดยลําดับ สะพานที่เกี่ยว
โยงออกไปไปใกลไปไกล ออกไปหา รูป เสียง กลิ่น รส ออกไปจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ออกไปสัมผัสสัมพันธกับรูป
เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสตาง ๆ ก็ถูกทําลายลงไปหมด ไมมีที่สืบตอ แมอายตนะภายในก็ถูกทําลายลงไป กองรูปก็
ทําลายลงไปดวยปญญา กองเวทนา กายเวทนาก็ถูกทําลายลงไปดวยปญญา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ถูกทําลายลง
ไปดวยสติปญญา
กิเลสประเภทตาง ๆ ที่เคยหลบเคยซอน เคยยึดเคยถือใหเปนเครื่องกดถวงจิตใจ บีบคั้นจิตใจอยูกับสิ่งเหลานี้ ไดถูก
ทําลายไปหมดแลว นี่ละการพิจารณาทางดานปญญา แลวกิเลสจะไปไหน บริษัทบริวารถูกฆาถูกทําลายไปหมดแลว
ก็เหลือแตองคกษัตริยใหญของมันเทานั้นเอง ทานเรียกวาอวิชชา ไมมีสมุนไมมีทางออกหากินเสียแลว ออกมาทางรูป
ทางเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ออกไมไดถูกตัดสะพานแลว ออกไปรูป เสียง กลิ่น รสก็ยิ่งไกล ถูกตัดเขามาโดย
ลําดับ ๆ จนกระทั่งในขันธก็ตัดขาดหมดแลวไมมีที่ตอ เพียงเทานี้เราก็ทราบไดชัดวา จิตนี้เปนตัวการแหงการเกิดการ
ตาย ยังไมถึงขั้นดับอวิชชาก็ตาม
Page 10
เพียงเทานี้ก็ทราบไดชัดแลววา ตัว อวิชฺชาปจฺจยา นี้พาใหสืบหนอตอแขนงออกไปกวางแคบขนาดไหนไมมีประมาณ
ใหเกิดภพเกิดชาติที่นั่นที่นี่เปนไปเพราะอันใดก็รูชัด นี่เวลาขาดลงไปโดยลําดับ ๆ ไมมีเงื่อนตอแลว ก็ทราบชัดวา
เงื่อนตอที่จะไปใหเกิดภพเกิดชาติในภพนั้นภพนี้อีกอันเปนสวน หยาบ ๆ ทั้งหลายไมมี นอกจากสวนละเอียดยังมีอยู
ในตัวของมัน มันก็รวมตัวเขาไปอยูในจิต จิตกับอวิชชากลมกลืนเปนอันเดียวกัน นั่นเห็นไหมความแยบคายของกิเลส
ผูปฏิบัติถาไมไดปฏิบัติไมไดเจอไมรูวากิเลสแหลมคมขนาดไหน ละเอียดลออขนาดไหน เพียงแตสมุนของมันที่แสดง
ตัวออกมาเทานั้นก็หลงกันเต็มโลกเต็มสงสารแลว เหตุใดเราจะไปสามารถรูกษัตริยของกิเลสทั้งหลายไดงาย ๆ จึง
ตองถากตองถางตองตัดตองฟนเขาไป ๆ แมที่สุดจนถึงจุดที่จะถึงปากถึงทองอยูแลวมันก็ยังเอายาพิษไปวางไวตรง
นั้นอีก ติดที่นั่น ไปยึดจิตซึ่งเต็มไปดวยยาพิษคืออวิชชานั้นวาเปนเราเปนของเราจนได นั่นถึงวามันเอายาพิษไปฝงไว
นั่นแลว เมื่อยึดนั้นก็เอาอีก ถึงจะไมเกิดภพนอยภพใหญก็ตาม แมภพที่เปนสุขและแนวแนตอความหลุดพนก็เปนการ
ลาชา ยังถูกหลอกของอวิชชาอยูจนไดนั่นแล
เพราะฉะนั้นปญญาเมื่อไดฟาดฟนหั่นแหลกเขาไปโดยลําดับ เชื้ออยูที่ไหนเปนตองติดตามเขาไป เชื้ออันเปนขาศึก
จอมขาศึกอันแทจริงคืออะไรอยูที่ไหน หนีจากใจไดเหรอ มันตองพิจารณาเขาไป ตอนนั้นซีตอนไปเจออวิชชาใหมัน
กลอม นั่นเราจะเห็นไดวาอวิชชาละเอียดขนาดไหน พอไปถึงจุดนั้นก็วาตัววิเศษวิโสอัศจรรยเกินโลก มีความสงาผา
เผย มีความสวางกระจางแจง มีความองอาจกลาหาญ มีแตเรื่องอวิชชาดัดทั้งนั้น ตบตาปญญาเสียไมรูตัว สติปญญา
เลยกลายเปนองครักษไปรักษาอวิชชาอยางไมรูตัว
นั่นเห็นไหม ถึงขั้นสติขั้นปญญาอัตโนมัติก็ตามยังตองหลงกลอวิชชาจนได ถาไมมีผูแนะไวกอนอยางไรตองเปนอยาง
นี้ กอนที่จะผานไปไดไมเร็วก็ชาตองติดเสียกอน ถามีผูแนะไวกอนแลว พอไปถึงจุดนี้ตามหลักความจริงของตน
ประจักษแลว ก็เขาใจไดเอง ออ ตรงนี้เหรอที่ทานวาอยางนั้น ๆ สติปญญาก็ใสเขาไปทันที พังทลายเลยไมไดชักชา
อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ไปรวมอยูนั้นหมด
สวน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้มันหมดปญหาไปแลว ผานไปแลวไมมายุง
วาอันนี้เปน อนิจฺจํ นี้เปน ทุกฺขํ นี้เปน อนตฺตา เมื่อผานไปแลว ๆ สิ่งเหลานี้เปนทาง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เปน
ไตรลักษณเปนทางเดินเพื่อความหลุดพน เมื่อผานพนไปถึงไหน ๆ แลว สิ่งที่ผานไปแลวมันก็หมดความหมายไม
วา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาไป โดยลําดับ ไมตองมาเสกมาสรรกันอีก ทีนี้อันนี้ก็ไปรวมตัวอยูกับอวิชชา เพราะเปน
สมมุติดวยกัน อวิชชาก็เปนสมมุติ สมมุติสุดยอดของสมมุติ ละเอียดสุดยอด อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ละเอียดสุด
ยอดอยูในอวิชชานั้น สติปญญาอันเปนฝายมรรคซึ่งเปนสมมุติดวยกันก็สุดยอด
ผูปฏิบัติทั้งหลายพึงสังเกตใหรอบคอบ ไมงั้นติดและทําใหลาชาในการดําเนิน และอยาเขาใจวาเปนสูงเปนต่ํา เปนที่
ยึดเปนที่ไวใจที่ตองใจเมื่อพิจารณาเขาไป เมื่อถึงขั้นที่จะทําลายกันแลวนั้น อันนี้แลที่เรียกวาจะวาขิปปาภิญญาหรือ
วาอุคฆติตัญ ูก็ไดเมื่อถึงขั้นนี้ แลว ไมนาน เปนขั้นละเอียด ถาวางานก็งายแลว มีแตยุบยิบ ๆ อยูภายในจิตเทานั้น
นอกนั้นหมดปญหาไปโดยประการทั้งปวง ประหนึ่งวาเราไมเคยพิจารณามาเลย คือจิตไมสนใจกับสิ่งใดทั้งนั้น เพราะ
Page 11
ไมติดใจ ปลอยมาแลว วางมาแลว รูแลวเห็นแลวไปยุงทําไม มันรูเอง ตรงไหนที่ยังมีสัมผัสสัมพันธดูดดื่มอยู ตรงนั้น
แหละเปนจุดที่อยูของขาศึก จึงตองรบกันที่ตรงนั้น ฟาดฟนหั่นแหลกกันที่ตรงนั้น
พอจุดสุดทายพังทลายลงไปดวยปญญาอันทันสมัยแลวก็หมดปญหาโดยสิ้นเชิง จะพิจารณาวาอันนี้เปน อนิจฺจํ
ทุกฺขํ อนตฺตา อะไรอีก ใจเปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไดยังไง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เปนทางเดินเพื่อพระนิพพาน
ตางหาก ใจที่บริสุทธิ์แลวเปน อนตฺตา ไดยังไง ถาใจที่บริสุทธิ์แลวเปน อนตฺตา นิพพานเปน อนตฺตา นิพพานก็
เปนไตรลักษณละซิ เปนของอัศจรรยอะไร เพราะฉะนั้นธรรมชาตินั้นจึงไมมีสมมุติที่จะพูดวาเปน อตฺตา หรือเปน
อนตฺตา เพราะทั้งสองนี้เปนสมมุติดวยกัน
อันนั้นไมใชสมมุติ พนวิสัยของสมมุติไปแลว ทานจึงใหชื่อเพียงวาวิมุตติเทานั้น แลวก็ไมขัดกับธรรมบทใด
เหมือนคําวา อนตฺตา ถาวา อนตฺตา ก็ขัดกับไตรลักษณ ดึงพระนิพพานมาเปนไตรลักษณเสียเอง เปนวิมุตติพน
แลวก็หมดปญหา เมื่อถึงจุดนี้วาขิปปาภิญญาก็ได เพราะเปนขึ้นเพียงขณะเดียวเทานั้น อุคฆติตัญ ูก็ได ทราบ
กลมายาของกิเลสทั้งมวลโดยลําดับ ๆ ไปถึงขณะนั้นยิ่งจะทราบเลย เรียกวาอุคฆติตัญ ูก็ได วิปจิตัญ ูก็ได
หากมีเหตุมีผลเปนเครื่องเทียบเคียงตนเอง สอนตนเอง พิจารณาโดยลําพังตนเอง ฟงเทศนระหวางอวิชชากับจิต
หรือระหวางขันธกับจิต
ตั้งแตเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไปแหละ นี่เปนเรื่องฟงธรรมทั้งกลางวันกลางคืนไปตลอดสาย สวนรูปนี้เวลา
ชํานิชํานาญทางอสุภะแลวก็เปนได พิจารณาทั้งกลางวันกลางคืน ยิ่งไปถึงขั้นอวิชชาดวยแลวเหมือนน้ําซับน้ําซึมไหล
รินอยูทั้งแลงทั้งฝน สติปญญาขั้นละเอียดกับกิเลสประเภทละเอียดตามตอนกัน พิจารณากัน ตอสูกัน จนกระทั่งหมด
สิ่งที่จะตอสู หมดขาศึก หมดสมมุติ หมดศัตรูภายในจิตใจแลว สติปญญาที่หมุนตัวเปนเกลียวอยูเหมือนธรรมจักรก็
หมดปญหาไปเอง เพราะสติปญญาก็เปนสมมุติฝายแก สมุทัยก็เปนสมมุติฝายผูกมัด เมื่อฝายนั้นซึ่งเปนฝายกิเลส
สิ้นสุดลงไปหรือหมดปญหาลงไปแลว สติปญญาประเภทมรรคจะไปแกอะไร ยอมหมดปญหาไปเชนเดียวกัน
หากจะพูดก็วาสติในหลักธรรมชาติ ปญญาในหลักธรรมชาติ หรือวาปญญาญาณไปเสีย แตก็เปนสมมุติดวยกัน
ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้เทานั้นเปนวิมุตติ ไมมีอาการ อันใดที่แสดงอาการออกอันนั้นเปนสมมุติทั้งมวล อาศัยกันไปเพียง
ระยะชั่วขันธแตกสลายเทานั้น พอขันธแตกสลายไปแลวอันนี้ก็หมดปญหา อาการทั้งมวลนี้ก็เปนไปตามสมมุติ
ทั้งหมด สวนวิมุตตินั้นไมใชนักโทษไมใชผูตองหา จะตองไปเที่ยวหาตั้งชื่อตั้งนาม ไปหาคนควาวาไปอยูที่ไหน ๆ อะไร
ถาเปนผูตองหาก็จะตองตามจับควบคุมตัวมาลงโทษ นั่นเปนวิมุตติ
ขอใหเปนเถอะใครเปนก็รูไดทุกคนนั่นแหละ สนฺทิฏฐิโก พระพุทธเจาไมไดผูกขาด มอบใหกับผูปฏิบัติทุกคนจะพึงรู
โดยลําพังตนเอง สนฺทิฏฐิโก จะเปนผูพึงรูเองเห็นเองดวยการปฏิบัติตามสติปญญาของตนเอง ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ
วิฺูหิ ทานผูรูทั้งหลายจะพึงรูจําเพาะตน มันก็หมดปญหา
Page 12
นั่นละหนักมาขนาดไหน ทุกขมาเพียงไรก็ตาม เมื่อมาถึงจุดนี้แลวมันลบลางกันหมดเรื่องความทุกขทั้งหลาย ไม
เสียดายความเพียรของตนที่ทํามาหนักเบามากนอยเพียงไรแทบลมแทบตาย ไมไดเสียดายกําลังความเพียรที่ทําอยู
นั้นดวยความทุกขยากลําบาก เพราะคุณคาเกินคาดเกินหมาย เปนธรรมลนคา ทําไมเราจะตองมาถือความทุกขความ
ลําบากซึ่งเปรียบเหมือนมูตรเหมือนคูถนี้เปน อุปสรรค แลวเราจะเห็นธรรมอันประเสริฐที่เปนเครื่องลบลางสิ่งเหลานี้
ไดยังไง ตองคิดอยางนั้นนักปฏิบัติ
อยาทอถอยออนแออันเปนกลมายาของกิเลสทั้งมวล มีอยูรอบจิตใจของเรา พากันคิดอานไตรตรองใหดีทุกสิ่งทุก
อยาง จะเปนไปดวยความราบรื่นดีงาม สมนามวาเราเปนผูมาชําระกิเลส อยาใหกิเลสมาเหยียบย่ําทําลายหัวใจเรา
กิริยามารยาทอาการแสดงออกทุกแงทุกมุม อยาใหเปนเรื่องของกิเลสทั้งมวลดังที่เคยเปนอยูนี้ ใหเปนเรื่องของธรรม
ไดมีโอกาสแสดงออกมาบาง ดวยความพยายามของเรา สมกับนามวาเปนนักปฏิบัติ เปนนักตอสู เปนนักใครครวญ
เพื่อความรูความฉลาด
วันนี้เทศนเพียงเทานี้
พูดทายเทศน
พูดใหสติหมูเพื่อนใหขอคิดอุบายวิธีตอสูกับกิเลส ไมงั้นไมทันมันงาย ๆ นะ ละเอียดสุดทีเดียว แตเมื่อรูเรื่องของมัน
เสียหมดจนปราบมันอยูหมัด พูดงาย ๆ นะ แลวนั้น มันจะแสดงอยูที่ไหนมันรูที่นี่ ไมวามันจะแสดงออกมากับคน
ออกมากับสัตวรูหมด มันมีแตเรื่องอันเดียวทั้งนั้น พอเรารูทันมันแลวมันก็หมดหนทางทําลายเรา กิเลสนี้ละเอียดเอา
จริง ๆ นะ หมดเนื้อหมดตัวนี่ก็มันทั้งนั้นครอบอยูหมดทุกขุมขน เพราะฉะนั้นจึงแกมันยากนะ ตองเอาจริง ๆ ใช
ความพินิจพิจารณา ใชความอดความทนพากเพียร เอาใหเต็มที่เต็มฐาน เพราะเราตั้งหนาตั้งตาจะเอาชนะมันอยูแลว
จะใหแพมันมันสมควรเหรอกับเราผูตั้งใจจะเอาชนะมัน แตแลวกลับแพมันอยางหลุดลุย ๆ ฟงแตวาหลุดลุย ๆ นั่น
เถอะ ไมเปนทาอะไรเลย
นี่ไดเคยปฏิบัติมา โอโห พิจารณายอนหลัง แหม บางทีจะรองหมรองไหและน้ําตารวงคิดดูอยางตอนจิตเสื่อม แหม
มันเสียใจเสียจน ถาเปนทางโลกก็เรียกวาผูกโกรธผูกแคน พอไดที่เทานั้นละแหม ทีนี้กําลังทางความเพียรความเปน
นักตอสูไมทราบมาจากไหน ถาเราเทียบแบบโลกนะ ฆาคนไดเขาฆากันไดเพราะเหตุนี้เอง มันเคียดแคนอยางถึงใจ
แตนี้มันเปนเรื่องของธรรมไมจัดวาเปนกิเลสเสีย เปนฝายมรรค คือพลังของธรรมขึ้นเต็มที่ตอสูกับกิเลส ถาเปนทาง
โลกนี้ก็เรียกวาเปนสมุทัย เปนความอาฆาตจริง ๆ อันนี้ไมเปนอยางนั้น เปนพลังของธรรมไมยอมที่จะใหแพไดอีก
ตอไป ใหเสื่อมอีกตอไปได
ตั้งแตนั้นมาเหมือนเปนอาจารยเอกทีเดียว ไปที่ไหนนี่มันฟตตัวของมันปง ๆ ไมคุนกับใครเลยแหละ จอหัวมันอยูนั่น
เลย แลวจิตก็ไมเสื่อมเพราะกิเลสและธรรมไมชอบคนเซอนี่ เซอตรงไหนมันเขาตรงนั้นละกิเลส ธรรมทานก็ไมไดสอน
ใหเซอ สอนใหฉลาด แตสุดทายมันก็มาจมอยูในสมาธิจนได มันเอาชองหนึ่งจนไดกิเลส
Page 13
เวลาสมาธิไดอยางใจแลว ที่นี่ก็เลยติดสมาธิเสียไมอยากออกพิจารณาทางดานปญญา เห็นวาลําบากลําบน เขาอยูใน
ความรูแนวอยูอันเดียว ไมกระทบกระเทือนกับอะไรเพราะไมออกมาสูกับอะไรนี่ อยูเทาไรก็ได ก็ติดตรงนั้นเสีย กิเลส
ก็ไปกลอมตรงนั้นอีกแหละ ติดสมาธิไมเปนกิเลสจะเปนอะไร ความหลงความติด ความติดสุขมันก็เปนสมุทัยเสีย
แนะ มันเอาจนไดนะ ยังดีพอแมครูอาจารยทานยังมีชีวิตอยูทานขนาบออกมันถึงออก ไมงั้นไมยอมออกงาย ๆ นะ
เวลาออกจากสมาธิเพื่อปญญา มันก็ออกอยางแหวกแนวเหมือนกัน นิสัยผมมันผาดโผนรูเจาของ ผาดโผนจริง ๆ
เพราะฉะนั้นครูอาจารยผูมาสอนก็ตองฉลาดจริง ๆ ถึงจะสอนได อยางพอแมครูอาจารยไมมีทางตําหนิแลว เวลามัน
ออกมันก็ออกอยางผาดโผน ออกแบบไมยอมเขา มีแตจะออกทาเดียว วากิเลสตายดวยปญญา ก็เลยมีแตจะเอา
ปญญาไมคํานึงถึงสมาธิเลย แลวตําหนิสมาธิดวยซ้ําวานอนตายอยูเฉย ๆ แนะ มันไมพอดี เวลาผานไปถึงรู นั่นเปน
ครูหมด
เวลาจะตายจริง ๆ ก็เขาสมาธิ แตบังคับเขานะไมงั้นไมยอมเขา จะตายจริง ๆ ยังตอสูกันอยูไมถอย เพียงยกมือไป
แปะ ๆ มันตอยไมไดหมดกําลัง เอามือไปแปะ ๆ กัน เอาหมัดไปแปะ ๆ กัน มันไมมีกําลังจะตอยก็ยังไมถอยจิตนี่ นั่น
ละมันจะตายจริง ๆ ก็หมุนตัวเขามาสูสมาธิ บังคับเขา สุดทายก็เอาพุทโธกํากับนะ ไมงั้นมันจะผึงออกไปทํางาน
ไมใชมันจะไปไหนนะมันจะผึงไปสูงาน บังคับไวอยางขนาดนั้นทีเดียวผมนะ นิสัยมันผาดโผน บังคับไว ๆ เอาจริงเอา
จัง พุทโธใหถี่ยิบไมยอมใหออก สักเดี๋ยวจิตก็คอยสงบเขามา ๆ เพราะมันจริงทุกอยางนี่ เวลาสงบก็จริงไมยอมให
ทํางาน จิตจะออกไมใหออกบังคับไว โอย เปนภาระจริง ๆ เปนธุระภาระจริง ๆ ใสเขาไปมันก็สงบแนวลง โห
เหมือนกับถอดเสี้ยนถอดหนามนะ จิตมีกําลังวังชาเบาโหวงเทียวในตัวนี่ จิตแนว พักใหเต็มที่ เรื่องถอนไมตองบอก
พอแตปลอยเมื่อไรจะออกผึงเลย ผึงก็ผึงใสงานนะไมใชผึงไปไหนแหละ
พอถอนออกมาปบก็ปุบเลย เอา ปลอย มันกระหน่ํากัน ถาคมมีดก็เหมือนมีดไดลับหินเรียบรอยแลว คนก็ได
รับประทานอาหารไดพักผอนนอนหลับใหสบายแลว งานก็งานชิ้นนั้นมันทนไปไดยังไง มีดก็มีดเลมนี้แหละแตไดลับ
หินแลว คนก็คนคนนี้ผูทํางานแตมีกําลังวังชาแลว พักผอนนอนหลับรับประทานอาหารเรียบรอยแลว ฟนลงไป งาน
ชิ้นนี้ไมทอนนี้ขาดสะบั้นไปเลยคราวนี้ แตเพราะความดวนนั่นเองละ ความเห็นโทษมาก ความดวน รีบดวนจิตจึงไม
อยากจะเขาสมาธิ
ก็เห็นคุณคาอยูแตมันก็เห็นคุณคาแหงการตอสูมากยิ่งกวาสมาธิ จนกระทั่งจิตผานของมันไปแลว มันฟดมันเหวี่ยงกัน
จนผานไปแลวทีนี้ถึงมาเปนบทเรียนทั้งหมด อุทธัจจะ ทานวา ความฟุงซาน ไมใชฟุงซานไปโนนนะ ความฟุงความ
เพลินในงานที่ตนทํา ที่ตนแกกิเลสนั้น อุทธัจจะกุกกุจจะ ในนิวรณ ๕ กับอุทธัจจะอันนี้ตางกันคนละโลก มัน
เหมือนกันไดยังไง
อุทธัจจะในนิวรณ ๕ ก็มีอยูในคนทั่ว ๆ ไป แตอุทธัจจะอันนี้จิตเพลินในการพิจารณา การตอสูกับกิเลส เพลิ?จนลืม
พักผอนในสมาธิ ทานเรียกอุทธัจจะ คือจิตไมรอบตัวก็เปนสังโยชนอันหนึ่ง มานะก็หมายถึงจิตดวงผองใสนี่แหละ
ที่วามานะ ๙ นั่น เอาผองใสนี่ยกขึ้นเปนเขี้ยวเปนเขาขึ้นมา ทานถึงไดวา สามสามเปนเกา ตนต่ํากวาเขา สําคัญวาต่ํา
Page 14
กวาเขา สําคัญวาเสมอเขา สําคัญวายิ่งกวาเขา ตัวเสมอเขา สําคัญวาต่ํากวาเขา สําคัญวาเสมอเขา สําคัญวายิ่งกวา
เขา ตนยิ่งกวาเขา สําคัญวาต่ํากวาเขา สําคัญวาเสมอเขา สําคัญวายิ่งกวาเขา เกาแลวนั่น เอาอันนี้แหละเปนเขี้ยว
เปนเขา พออันนี้พังลงไปแลวเอาอะไรมาเทียบมาเคียง เอาอะไรมาฟดมาเหวี่ยงกันไมมี เขี้ยวเขาก็หมดไปแลว
เขี้ยวเขาก็เขี้ยวเขาของอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นั่น พอตอยเขี้ยวมันหักลงไปแลว จะเอาอะไรมาแขง อยากสูกับอะไร
อีก อยากสูก็ไมอยากสู กลาก็ไมกลา กลัวก็ไมกลัว ความกลาความกลัวมันก็เปนกิเลสทั้งมวล นี่ละที่วามานะ ๙ พอ
จากอวิชชานี้แลวถืออะไร มันไมมีที่ถือนี่ จะไปบอกใหมันถืออะไรอีก ลงในนี้หมดนั่นแหละ รูปราคะ อรูปราคะ
มานะ อุทธัจจะ รูปราคะก็ยินดีใน แตสําหรับผมการปฏิบัติของผมผมวายินดีภาพภายในจิต เพราะเราปรากฏอยาง
นั้น เปนภาพภายในจิต ขางนอกมันสละมาแลว มันเปนภาพอันหนึ่งอยูภายใน มันก็มายินดีในการพิจารณานี้
ความยินดีในการพิจารณานั้นแหละทานเรียกรูปราคะ ไมไดเปนราคะตัณหาแบบโลก ๆ ทั้งหลายเขาเปนนะ แตมัน
ไมมีศัพทอะไรที่จะมาใชใหเหมาะสมกับนี้ทานก็วาราคะ คือความเพลิน ความพอใจในการพิจารณาอยูกับอันนั้น
พอใจกับอันนั้น แตมันไปปรากฏเปนภาพภายใน ภาพภายนอกมันออกหมดแลว มันปลอยทิ้งก็เปนภาพภายใน พอ
อันนี้ออกหมดแลวมันก็วางนี่
อรูปราคะมันไมมีรูป ก็ยินดีในความวางของตัวเองเสีย นี่พูดตามหลักปฏิบัติที่ประจักษกับเจาของเราพูดไดอยางนี้
หรือจะวายินดีในสุขเวทนาก็ยกให แตมันไมเดนเหมือนเปนความวางนี้ มันวาง ๆ หมด มองดูภูเขาทั้งลูก ตามันเห็น
พอเปนเงา ๆ นี่ แตจิตมันทะลุไปหมด มองดูหินทั้งกอนนี้ กอนใหญ ๆ เทากุฏินี่มองดูมันพอเปนเงา ๆ แตจิตมันวาง
หมดแลว มองดูรางกายเจาของนี่ก็เหมือนกับเปนเงา ๆ อยางวาอีกเหมือนกัน อันหนึ่งมันทะลุไปหมด
มันวางถึงขนาดนั้น แตหารูไมวาตัวผูที่ไปวาเขาวางมันไมไดวางนี่ เหมือนกับคนที่อยูบนหัวตอนี่มองไปที่ไหนมันก็วาง
ไปหมด แตหัวตอที่ยืนเหยียบอยูนั้นมันไมดู มันวางที่ไหนก็หัวตอนั่นนะ มันไมดูตรงนั้นซิ การพิจารณาทาง
ภาคปฏิบัติสําหรับผมเองเปนอยางนั้น ก็ยกใหตามถนัดมันลางเนื้อชอบลางยา ผมมันมาถนัดเอาความวาง มันติดอยู
ในความวาง อรูปราคะยินดีอยูในความวาง เพลินอยูในนั้น ฝกซอมกันอยูนั้นเอากันอยูนั้น มานะก็ถือจิต อุทธัจจะ
ความเพลินในการคนควาการพินิจพิจารณา
อวิชชาก็ถือตัวนี้แหละ พออันนี้หมดแลวถืออะไร ก็มันถืออยูตรงนั้น มันติดอยูตรงนั้น ก็ถือตรงนั้นยินดีในนั้น พออัน
นั้นหมดไปแลวไมเห็นไปยินดีกับอะไร ไมเห็นไปถืออะไรไปติดอะไร ทีนี้พออันนี้หมดไปแลวมันก็วาง วางรอบตัวที่นี่
มันไมวางอยูกับตรงนั้นตรงอวิชชา เหมือนกับวาเราขึ้นเหยียบอยูบนหัวตอ อวิชชาเปนเหมือนหัวตอ มองไปทางไหน
วางหมด แตหัวตอที่เรากําลังเหยียบอยูนั่นไมไดมองลงไป มันไมวางตรงนั้น พอยอนมาดูหัวตอที่เราเหยียบ หัวตอก็
พังไปดวยกัน ทีนี้ก็วางไปหมด วางเปนขั้น ๆ นี่เราก็เคยเทศนและพิมพออกเปนหนังสือแลว ออกเปนกัณฑเทศนแลว
อยูในแวนดวงใจก็มี ความวางมันวางรอบตัว จากนั้นแลวก็ไมมีอะไรจะพูด
เราพูดถึงเรื่องสมาธิวา ในขณะที่จิตเปนสมาธิมันก็วาง พอถอนออกจากสมาธิแลวมันไมวาง ออกจากนั้นมันก็วาง วาง
เปนฐานของจิตดังที่พูดแลว ขึ้นไปอยูบนหัวตอมันก็วาง วางตามฐานของจิต ถึงจิตจะเขาสมาธิก็วาง ออกมาแลว
ความวางก็มีประจําจิต เรียกวาเปนฐานของจิต วางประจําฐานของจิตที่ชําระได เราก็พูดไปแลว จากนั้นก็วางใน
ความเปนจริงของจิต คือวางทั้งจิตดวย ไมวาแตอันนั้นวางอันนี้วาง เจาของไมวาง เจาของเองก็วางมันก็วางไปหมด
Page 15
วางอันนั้นกับวางอันนี้แตเจาของไมวางเจาของมันก็ยังไมวาง พอมาวางเจาของเมื่อไรมันก็วางเมื่อนั้น เรียกวาวาง
ตลอดทั่วถึง
แตเราเขียนในนั้นเราเพียงแตวาวางนี้วางขั้นสุดทายตามกําลังของเรา เราวาไปอยางนั้นเสีย ใครจะมีกําลังเหนือนั้นก็
เอาไปซีถาไปได ถึงนั้นแลวมันก็รูดวยกันทุกคนแตไมจําเปนจะตองไปพูด เพราะพูดไวสําหรับผูปฏิบัติใหพิจารณา ไป
ถึงนั้นมันจะเลยไปไหนอีกเอาลองดูซิ
เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานหรือผูปฏิบัตินี้มีภูมิจิตภูมิใจสูงต่ําขนาดไหน พอมาพูดตอกันฟงเทานั้นแหละ มันอาน
หัวใจกันนี่ พิจารณายังไงทุกวันนี้นั่นถาม พิจารณาอยางนั้น ๆ นั่นบอกแลวนะนั่น อานหัวใจแลว เปดหัวใจใหอาน
แลว พิจารณาอยางนั้น ๆ ทราบแลว ทราบทันทีวาอยูในขั้นใดภูมิใด ถาสมมุติวาสิ้นสุดไปแลว ก็ตองพูดเรื่องราวของ
จิตปบออกมาเทานั้นไมตองมาก รูทันที
สนฺทิฏฐิโก ไมมีปญหา พระพุทธเจาประทานไวไมมีปญหาจริง ๆ นี่ ที่มีปญหาก็มีแตเรื่องของกิเลสทั้งนั้นพาใหเปน
ปญหา ตัวนี้ตัวมืดนี่มันปดตรงไหนมืดตื้อไปเลย ตัวของมันไมไดมืด มันฉลาด แตเวลามันปดตาสัตวโลกมันทําใหมืด
มิดปดตา ลืมบุญลืมคุณ ลืมนรกสวรรคไปหมด ไมใหเห็น ดีกลับเปนชั่ว พลิกทางสันเปนคมไปหมดฟนเจาของแหลก
ใครจะไปอานมันงาย ๆ กิเลส รูขนาดไหนก็รูเถอะ ถาไมรูตามแบบฉบับของพระพุทธเจาที่สอนไวนี้ไมมีทางวางั้นเลย
เรากลาพูดไดเต็มปาก วิชาใดก็ตาม ใครเรียนมาจากไหนก็ตาม ถาไมใชวิชาธรรมพระพุทธเจา ยังไงกิเลสหนังไม
ถลอก นอกจากจะเปนเครื่องเสริมกิเลสเขาไปอีก ถาวิชาธรรมเขาไปจับแลวกิเลสตัวไหนก็ขยะ ๆ แลวหมอบ ๆ ดีไม
ดีเรียบ
อานหัวใจนี่ซิมันสําคัญมากนะ ดูนอกมันดูงาย ดูโนนดูนี่ ดูตนไม ภูเขา ดินฟาอากาศเปนยังไง แตมาดูหัวใจนี้ดูยาก
เพราะกิเลสพาใหยาก ถาเรียนเรื่องของกิเลสจะเรียนยากอะไร เรียนกันงาย เพราะกิเลสพาใหงายนี่
อยางนี้ที่ทานวาเปนมหาสติมหาปญญา เวลาทานมีอธิกรณ พระอรหันตมีคนฟองเหมือนกันนี่ครั้งพุทธกาลมีนี่
พระพุทธเจาทานยกมหาสติขึ้นรับ แตกอนพระพุทธเจาเปนประธานเปนสักขีพยาน พระองครับสั่งอยางไรแลวเปน
ความจริงนี่ ใครไมเชื่อพระพุทธเจาก็หมด นอกจากเทวทัตเทานั้น กลายเปนเทวทัตกี่คนก็ไมเชื่อเทานั้นคน ฟองพระ
อรหันตถึงขั้นที่สุดก็มีนี่ เปนปาราชิก โอย อยาไปฟองเธอ เธอเปนสติวินัยแลว ทานวาอยางนี้นะ ทานเอามาใชตอน
นั้นสติวินัย
คือรอบตัวแลว เปนอฐานะ พูดงาย ๆ พูดอยางเราใหเต็มเม็ดเต็มหนวยก็วา อันหนึ่งจิตวิมุตติ อันมาฟองรองนี้เปน
สมมุติทั้งมวลมันเขากันไดยังไงกับวิมุตตินะ นี่พูดตามหลักความจริง อันนั้นวิมุตติหลุดพนแลวจากสมมุติทั้งมวล เหตุ
ใดสมมุตินี้จะเอื้อมเขาไปถึง ฟองทานเปนสังฆาฯ ปาราชิกอะไรไดอีก เพราะไมใชวิสัยนี่ จิตดวงนั้นไมใชวิสัยของ
สมมุติ การฟองรองนี่จะเอื้อมเขาไปถึงไดไง เทานั้นก็หมดปญหา
Page 16
มีพระอรหันตเทานั้นทานจะเปนสักขีพยานกันได เพราะทานเปนธรรมดวยกัน ทานเห็นดวยกัน ทานรูดวยกัน ทาน
แนดวยกันในสิ่งเหลานี้ นอกนั้นก็เปนไมได ครั้งพุทธกาลก็มีพระพุทธเจา พระพุทธเจาก็เปนอรหันตองคเอกจะวาไง
ใครมาฟองพระพุทธเจาก็รับสั่งเสีย อยาง วักกลิ ๆ คนถอย ๆ อยาไปวาเธอ คือใครก็ไปตําหนิติเตียนทานองคนั้น เธอ
เคยสั่งสมกิริยานี้มาตั้งนานแสนนานแลวจะไปแกไดยังไงจริตนิสัย ไปวาเธอทําไม จริตนิสัยของใครของเราก็เปน
สมบัติของใครของเรา จริตนิสัยไมเปนโทษเปนกรรมอะไร พระองควาอยางงั้นก็หยุดแลว
บางองคก็กิริยามารยาทสวยงาม ใครก็วาเปนพระอรหันต เพราะคนก็คาดวาพระอรหันตตองมีกิริยามารยาทที่
สวยงามนิ่มนวลมาก นี่เปนความคิด แตไมไดคํานึงถึงนิสัย นิสัยเปนของดั้งเดิม ความเปนอรหันตเปนความสิ้นจาก
กิเลส ?ิเลสไมไดอยูในกิริยาอันนี้ เพราะสิ่งนี้มันยังไมดับ ดับไดเฉพาะพระพุทธเจาองคเดียวเทานั้น พรอมทั้งนิสัยและ
วาสนา นอกนั้นดับไมได
พระสันตกาย พระสงฆทั้งหลายขึ้นไปทูลพระพุทธเจาดวยความชมเชย วาแหมเปนเหมือนทานเปนพระอรหันต ทูล
ถามพระพุทธเจาตรง ๆ ก็มีวาเปนพระอรหันตแลวยัง พระสันตกายนี่ ใหชื่อวาสันตกาย สันตกายก็แปลวาผูมีกายอัน
สงบนั่นเอง มารยาทเรียบรอยสวยงาม ก็ตรัสบอกวา โอโห นี่เธอเคยเปนราชสีหมาตั้ง ๕๐๐ ชาติ เธอไดเคยเปนมา
อยางนี้
ยกราชสีหขึ้นมา ราชสีหนั้นเปนสัตวที่มีสติดีมากเหมือนกับเสือ เวลาจะนอนราชสีหจะตองกําหนดอวัยวะทุกสัดทุก
สวนไวเรียบรอย ตื่นขึ้นมาแลวเมื่อเห็นอวัยวะสวนใดเคลื่อนไหวจากที่วางไวเดิมแลว ราชสีหจะไมลุกขึ้นหากิน จะ
นอนใหมตั้งใหม จนกระทั่งตื่นขึ้นมาอวัยวะสวนใดที่วางไว เชน หู หางอยางนี้เปนปกติแลวจึงจะลุกขึ้นหากิน แผด
เสียงเอี้ยวกายบิดกายแลวออกหากิน นี่เธอไดเคยฝกมารยาทแบบนี้มาเปนเวลานานแลวจากกําเนิดราชสีห
จากนั้นทานก็เลยยกธรรมะเปนพุทธพจนขึ้นวา สนฺตกาโย สนฺตวาโจ สนฺตมโน สุสมาหิโต วนฺตโลกามิโส ภิกฺขุ อุปสนฺ
โตติ จฺจติ ผูมีกายอันสงบดวยความประพฤติ ผูมีวาจาอันสงบ ผูมีใจอันสงบจากกิเลสทั้งหลาย ผูมีโลกามิสอันละได
โดยประการทั้งปวงแลวดวยจิตที่บริสุทธิ์นั้น นั้นแลปราชญทั้งหลายเรียกวา อุปสนฺโต เรียกวาผูสงบรอบตัว พระสันต
กายก็เลยไดบรรลุธรรมในขณะนั้น ถาจําไมผิดเขาใจวาอยางงั้น พระองคนั้นก็ไดสําเร็จในขณะนั้น
การสําเร็จของพระอรหันตแตกอนเราก็ไมไดพิจารณาอะไรมากนัก ประการหนึ่งเวลาเรียนมันวุนกับการเรียน เวลา
มาปฏิบัติก็วุนกับการตอสูกับกิเลส ไมคอยไดคิดอานอะไรมากนัก ไมคอยมีโอกาส พอหลังจากนั้นมาก็เอามา
พิจารณา ทานสําเร็จนี้เราเทียบกันไดกับตอนที่เราฟงเทศนของพอแมครูอาจารยมั่น ฟงคราวนี้จิตเปนอยางนี้ ฟง
คราวนั้นเปนอยางนั้น คือมันคอยเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ มันก็ทําใหเชื่อแนวา องคที่ทานมีอุปนิสัยที่ควรจะรูเร็วอยูแลว
พอฟงคราวนี้ปบทานเลื่อนระดับเขาใจนี้ชัด ๆ แลวในขณะเดียวกันก็เขาใจนี้ปบ ๆ แลวตามทัน หากผูไมทันในคราว
นี้ ฟงคราวตอไปเลื่อนขึ้นไปเรื่อย ๆ สุดทายก็ไปได
พระมากตอมาก คนมากตอมาก สําเร็จมรรคผลนิพพานมากตอมากก็เพราะวามันมากตอมากที่ฟงอยูเรื่อย ๆ ดวยกัน
แลวคอยเลื่อนขึ้นไปเรื่อย ๆ นั่นเชื่อที่นี่ เชื่อเอาอยางไมสงสัยเลย ใครจะวาบาก็วาเถอะ บาแบบนี้วางั้นเลยนะ ไม
Page 17
ยอมถอนบาแบบนี้ ไมยอมแกวางั้นเลย มันมีสักขีพยานอยูแลวในขณะที่ฟงเทศนทานอาจารยมั่น จิตมันเปลี่ยนเรื่อย
เปลี่ยนตัวของมันเรื่อย เรากําลังพิจารณาอยูในจุดนี้เวลานี้ เอา ฟงเทศนวันนี้ทานจะวายังไง พอเทศนมาจวนจะถึง
จุดนั้น เพราะทานเทศนแบบเหินฟานี่ แบบเรือบินเหินฟา
เทศนตั้งแตสมาธิขึ้นไปเรื่อย ๆ พอดีเรากําลังพิจารณาอยูจุดนั้น เรากําลังติดอยูจุดนี้ กําลังตอสูกันอยูจุดนี้ทานจะวา
ยังไง พอมาถึงจุดนี้ทานก็พุงเลย เพราะทานเขาใจหมดแลว เราก็ไดอุบายปบ พุงตาม เอาไปไดจุดนี้กอน ฟงในวาระ
ตอไป กําลังพิจารณาอยูจุดนั้น พอไปถึงจุดนั้นมันก็เปนอีก ๆ เราถึงเชื่อ ออ ที่ทานผานพนไปในครั้งพุทธกาลเพราะ
เหตุนี้เอง ยิ่งผูที่เปนบัวอยูบนผิวน้ําอยูแลวก็ยิ่งเร็ว ประเภทอุคฆติตัญ ู วิปจิตัญ ู ก็ยิ่งเร็ว
ตั้งแตพวกเนยยะ บึกบึนไปหลายครั้งหลายหนก็โผลขึ้นมาได นอกจากปทปรมะ หูหนวกตาบอดแปดทิศแปดดาน ไม
สนใจเรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องเหตุเรื่องผลนรกสวรรคนิพพานอะไรทั้งสิ้น นอกจากสนใจแตความทะเยอทะยานไป
ตามกิเลสตัณหา ใหมันลากไปจนถลอกปอกเปก ไมรูเนื้อรูตัวไมรูบุญรูบาปเทานั้น พวกนี้พวกปทปรมะ ตกนรกไมมี
วันขึ้นมาไดเลย ในชีวิตนี้มันก็ตกอยูในภายในใจ พอตายลงไปแลวจะไปไหน นิสัยของคนบอกอยูในหัวใจนั้นจะไป
ไหน เรื่องก็บอกอยูแลว
ปลายกระสุนปลายปนนั้นมันชี้ไปตรงไหน พอปงมันก็ตองไปตรงนั้นจะไปตรงไหน นี่มันบอกอยูในตัวของมัน มันเล็งดู
ตัวของมันเสร็จแลว วามันจะไปทิศใตทิศเหนือ สูงต่ําขนาดไหนมันบอกอยูในจิตหมด พอขาดรางนี้ปบก็ปุบเลย
เหมือนกับเหนี่ยวไกปงเดียวก็พุงลงนรกเลยไมสงสัย
การเกิดการตายเปนสิ่งจําเจของสัตวโลกเพราะอันเดียวนี้ เพราะฉะนั้นการแกจึงตองใชความพยายามเต็มที่เต็มฐาน
เอาเปนเอาตายเขาฝากมอบไวเลย เพราะยังไงก็ถึงวาระเราจะตาย ไมไดทําความเพียรทุกขก็จะบีบคั้นเอาจนกระทั่ง
ถึงเราตายเหมือนกันแหละ นี่ทุกขเพราะความเพียรไมถึงขั้นตายนี่วะ นอกจากกิเลสจะตายกอนเราดวยซ้ําไป เรายัง
ไมตายกิเลสตายเสียกอน ถาลงไดเอากันขนาดนั้นแลว เราจะยังไมตายกิเลสมันตายกอน
พระพุทธเจาก็เพียงขั้นสลบกิเลสตาย พระสาวกทั้งหลายก็เห็นไหมละประกอบความพากเพียร ที่ทานยกมาเดน ๆ
ตาแตกไมตาย กิเลสตาย เดินจงกรมฝาเทาแตกไมตาย กิเลสตาย ฝาเทาแตกนี้ก็ตองเปนแบบที่ผมวานี่ละ นี่มันหยั่ง
ไปโนนนะ ทําไมอยูธรรมดาเดินจงกรมฝาเทาแตก ตองมีเครื่องพาทานหมุน เราก็เอาความรูขี้หมูราขี้หมาแหงเรานี่ก็
นาจะเทียบได เทียบแบบของเรา ตั้งแตเราอยูพื้นแผนดินเรายังมองขึ้นไปพระอาทิตยสูง ๆ ได อันนี้ทําไมเราต่ํา ๆ
เราจะพูดถึงเรื่องธรรมพระพุทธเจาสูง ๆ ไมได พูดเรื่องธรรมของทานผูมีความเพียรกลาไมได ทานกลาเพราะเหตุไร
เราก็ยังมีเงื่อนอันหนึ่ง
เวลาถึงขั้นมันเพลินในความเพียรมันลืมจริง ๆ ลืมเหน็ดเหนื่อยเมื่อยลา ลืมหิวลืมกระหายอะไรทั้งนั้น แมที่สุดน้ําก็
ไมไดกิน ก็ไมเคยสนใจ มีแตจิตหมุนติ้ว ๆ อยูภายใน คิดดูซิเดินจงกรมตั้งแตฉันจังหันเสร็จแลวจนกระทั่งถึงเวลาปด
Page 18
กวาดนานหรือ ไมนาน มันรูเนื้อรูตัวเมื่อไรกับเวล่ําเวลานะ นอกจากมันหมุนอยูกับความเพียรภายในจิตติ้ว ๆ ทีนี้เมื่อ
หลายวันเขาไป ๆ ฝาเทาจะไมแตกไดยังไง
เราไมถึงฝาเทาแตกแตออกรอน โอโห เหมือนไฟลนแหละ พอมาถึงที่พักถึงรูนะ ตอนนั้นไมรู แดดก็ไมรูรอน มันไม
สนใจกับแดดกับฝนอะไร แตไมไดเคยตากฝนเดินจงกรม แตตากแดดนี่เคยแลวเรา เอาผาอาบน้ํามาพับครึ่งแลวก็มัด
ผูกบนศีรษะนี้แลวก็มาผูกใสคาง เหลือแตตา เดินจงกรมกลางแจงทีเดียวบนไรรางสวนรางเขา เอากันอยูนั่น ไมมีรม
เลย รมไมรมชางหัวมัน ฟาดลงนั้นเลย ทําไดนะไมสนใจกับรอนกับหนาวอะไรเลย เพราะอันนี้มันรุนแรงภายในใจ
บทเวลาถึงเวลาปดกวาดออกจากที่มา มาเห็นกาน้ํานี่แหมมันอยากน้ําจนจะเปนจะตายจริง ๆ นะ ตอนนั้นจิตไมได
ออกนี่ โดดใสกาน้ํารินน้ําฉันนี่สําลักกั้ก ๆ มันจะตาย ผมไมลืมนะ ในขณะนั้นจิตไมออกเสียอยางเดียวมันหมดแหละ
ความหิวความกระหาย ทีนี้เรื่องการเดินจงกรมวาฝาเทาแตกผมไมสงสัย เพราะเหตุนี้พาใหแตก ทานก็เรงของทาน
อยางนั้นถึงขั้นเพลิน สวนที่จะบังคับเอานั้นก็มีสวนแตนอยมาก สวนเปนไปตามหลักอัตโนมัติหลักธรรมชาติแหง
ความเพียรของทานในขั้นสติปญญา อัตโนมัตินี้ผมยอมรับทันทีรอยเปอรเซ็นต เปนไปไดฝาเทาแตกไมสงสัย เพราะ
มันบอกอยูในตัวแลวนี่
มันลืมไปหมดเรื่องความหิวความกระหายอะไร หมากพลูบุหรี่อะไรอยามายุงเลยมันไมสนใจ อยาเขาใจวามันจะมา
คิดเลยนะ อยางหมากพลูนี้เหมือนกันผมบางที ๖ เดือน ๗ เดือนก็ไมแตะ บางทีเกือบปก็มีเวลาประกอบความเพียรนี่
นะ ในพรรษาบางพรรษาไมเคยแตะสักคําเดียวก็มี ฉันไปอยางนั้นแหละ อันนี้ก็ทําไปอยางนั้น จะหยุดเมื่อไรมีปญหา
อะไร นี่เราก็เห็นวาทางเดินของศรัทธาญาติโยมที่เปนบุญเปนกุศลของเขา มาตามกําลังศรัทธาของเขาเราก็ทําไป
อยางนั้น เพราะไมเห็นมีอะไรเสียหายนี่
การฉันหมากนี่เสียอะไรเราก็คิดแลว เราพิจารณาอยูแลวไมเห็นมีอะไรเสียหายทางมารยาทความประพฤติหนาที่การ
งาน อะไรไมเห็นเสียหาย จะพาใหลมจมอะไรก็ไมมี คิดไปหมดไมใชเราไมคิด เพราะฉะนั้นเวลาไปอังกฤษจึงไดสั่ง
ทันทีเลย พวกลูกศิษยลูกหาในดอนเมืองเขาจะสงหมากพลูบุหรี่ไปใหเปนกลอง ๆ เขาวาไมเสียเงิน จะสงใหถึงที่เลย
เจาหนาที่ของเขาทางโนนมี โอย อยาสง เขาเอามาเปนลัง ๆ เอามา ๆ เอามาเดี๋ยวนี้เราจะเปดฉันเดี๋ยวนี้แลวเอาไป
ถวายพระวัดไหน ๆ ก็แลวแตนะ จะฉันใหทุกกลอง ๆ นั่นแหละ นี่เปนคําสุดทาย หามไมใหสงไปเปนอันขาด นี่เปน
คําสุดทาย เพียงเทานี้หยุดไมไดสอนคนใหเปนประโยชนอะไร แลวอยาสงไปเปนอันขาดนะ สงไปก็ไมแตะถาลงวาไม
ฉันแลวนะ
ใครจะกลาสงเมื่อพูดอยางเด็ดขาดแลวเราจริงอยางนั้นดวย สงไปก็ไมเกิดประโยชนไมแตะเลยจริง ๆ นี่ ถาลงวาหยุด
ๆ จริง ๆ พอมาลงดอนเมืองนี้ โอย พวกนี้พวกเขานอกออกในเต็มอยูสนามนั่นแลว ก็มีแตเมียเจาเมียนายใหญ ๆ โต
ๆ เขานอกออกในไดหมด พอเรือบินมาจอดลานบินเทานั้นละ อาจารยอยูไหน ๆ ยุง เสียงจอแจ ๆ คนนั้นก็ยกจาน
หมาก ๆ เหมือนเราหิวเราโหยจะตายมาจากที่ไหน คนนั้นก็ยื่นคนนี้ก็ยื่น จะใหรับของใครกอนใครหลัง เต็มขางเรือ
บิน
Page 19
เขาคิดวาเราจะหิวจะโหย เราจะมีอะไร เปนอยางงั้น ทําไปอยางงั้นแหละ สมมุตินิยมอันไหนไมขัดของไมเปนขาศึก
ตอธรรมตอวินัยเราก็พิจารณาซิ จะใหฆราวาสเขามาสอนเราทําไม จะวาเปนทิฐิมานะเราก็ไมเห็นมี หามพระสูบบุหรี่
ฉันหมากบางอะไร ๆ พูดตําหนิติเตียนพระอยางนั้นอยางนี้ ตัวที่มันตําหนิมันละอะไรไดบางละ มันไมอายเจาของบาง
เหรอ มาหาเกาที่ไมคัน ไอตรงที่มันคัน ๆ ทําไมไมเกาบางใหมันหายคัน ถาสนใจเกาเจาของบางมันจะดีนี่นะ พูดขาย
เจาของเปลา ๆ
พระไมมีเหตุผล ถาพระเปนผูมุงตอความเปนพระของพระพุทธเจาจริง ๆ ตองมีเหตุผลมีหลักเกณฑทุกสิ่งทุกอยาง
ไมใชจะทําแบบสุม ๆ เดา ๆ ไปนี่วะ เพราะฉะนั้นคนอยางผมนี้การที่จะมาหามปรามก็ดีมาผลักไสไปไหนก็ดี ถาไมใช
เหตุผลแลวอยามาบอก อยามาหาม อยามาฉุดมาลากไว ถาเหตุผลผมเสนเดียวไมขาม หยุดทันที และไปทันทีและทํา
ทันทีถาเปนเหตุผล อยางธรรมดานี่ไมไดเรื่องแหละเรา เพราะเราปฏิบัติตอตัวเราก็ปฏิบัติอยางนั้น เหตุผลคือความ
ถูกตองดีงาม รวมกันลงแลวเปนธรรม เราเคยปฏิบัติของเราไดผลมามากนอยเราเห็นคุณคาของเหตุผลนี้อยูแลว ของ
ไมมีเหตุผลเอามาใชทําไม เอาละพอ
= จบ =
ที่มา : www.dhammada.net
ประโยคทิ้งทาย :
“อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เปนทางเดินเพื่อพระนิพพานตางหาก ใจที่
บริสุทธิ์แลวเปน อนตฺตา ไดยังไง
ถาใจที่บริสุทธิ์แลวเปน อนตฺตา นิพพานเปน อนตฺตา นิพพานก็เปน
ไตรลักษณละซิ เปนของอัศจรรยอะไร เพราะฉะนั้นธรรมชาตินั้นจึงไมมีสมมุติ
ที่จะพูดวาเปน อตฺตา หรือเปน อนตฺตา เพราะทั้งสองนี้เปนสมมุติดวยกัน”
“หลวงตามหาบัว ญาณสัมปณโณ”
“อุบาสิกา...ณชเล”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น