สธ.เผยในรอบ 10 ปี ไทยพบปัญหาเชื้อแบคทีเรีย 4 ชนิดที่พบบ่อยดื้อยาปฏิชีวนะสูงขึ้น บางชนิดสูงกว่า 30 เท่าตัว เหตุเพราะใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น ชอบยาแรง เปลี่ยนยาบ่อย กินยาไม่ครบ เชิญชวนผู้สนใจส่งเรียงความรณรงค์การใช้ยาอย่างถูกต้อง
วันนี้ (17 ก.พ.) ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ นายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรมป้องกันกรมควบคุมโรค ดร. นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์กำธร มาลาธรรม เลขาธิการสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย และประธานคณะทำงานด้านยาปฏิชีวนะ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี แถลงข่าวการจัดงานวันอนามัยโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 7 เมษายนของทุกปี ว่า
ในปีนี้ องค์การอนามัยโลกได้กำหนดประเด็นปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ ให้ประเทศสมาชิกรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน กลุ่มผู้ให้บริการสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและจำหน่ายยา และประชาชนทั่วไป ในการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยเน้นหลักการ 2 ขั้น คือ 1.อย่าใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น 2.หากจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ให้ใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยต้องนอนรักษาตัวนานขึ้น เสียเงินค่ารักษาแพงขึ้น เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาแพร่ระบาด โดยกำหนดคำขวัญว่า “ใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง ป้องกันเชื้อดื้อยา เพื่อการรักษาที่ได้ผล” (Combat drug resistance - No action today, no cure tomorrow)
สำหรับประเทศไทย จากการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์การดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย มานานกว่า 10 ปี ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า เชื้อแบคทีเรียที่มีการดื้อยาสูงขึ้น ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ตัวอย่างเชื้อแบคทีเรียที่มีปัญหาดื้อยา ได้แก่ 1.เชื้อสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ที่ทำให้เกิดโรคปอดบวม และเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ดื้อยาเพนนิซิลินเพิ่มจากร้อยละ 47 ในปี 2541 เป็นร้อยละ 64 ในปี 2553 และดื้อยาอิริโธมัยซิน จากร้อยละ 27 เป็นร้อยละ 54 และยาตัวใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาทดแทน ขณะนี้เริ่มพบการดื้อยาแล้ว
2. เชื้ออี โคไล (Escherichia coli) ที่ทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ และการติดเชื้อในช่องท้อง ดื้อยาปฏิชีวนะกลุ่มที่ออกฤทธิ์กว้าง คือสามารถฆ่าเชื้อได้หลายชนิด เพิ่มจากร้อยละ 19 ในปี 2542 เป็นร้อยละ 52 ในปี 2548 และดื้อต่อยาในกลุ่มฟลูโอโรควิโนโลน fluoroquinolone ถึงร้อยละ 60 ยากลุ่มหลังนี้เป็นยาปฏิชีวนะที่หาซื้อได้ง่าย มีผลข้างเคียงไม่มาก จึงทำให้มีการใช้เกินความจำเป็นอย่างมากทั้งในคน และในสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม การดื้อยากลุ่มนี้จึงเป็นปัญหาอย่างมากต่อการรักษาโรคติดเชื้อ
3.เชื้ออะซีนีโตแบกเตอร์ บอแมนนิไอ (Acinetobacter baumannii) เป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคในโรงพยาบาล พบมีการระบาดของเชื้อชนิดนี้ที่ดื้อยาทุกชนิด ดื้อยากลุ่มคาบาพีเนม ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ต้านเชื้อได้มากชนิดที่สุด เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.1 ในปี 2543 เป็นร้อยละ 63 ในปี 2553 และดื้อยาเซฟโฟเพอราโซน/ซาลแบกแทม ซึ่งเป็นยาด่านสุดท้ายที่ใช้ในการรักษาเชื้อนี้จากร้อยละ 3 เพิ่มเป็นร้อยละ 44 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และ 4. เชื้อสูโดโมแนส แอรูจิโนซา (Pseudomonas aeruginosa) ซึ่งเป็นเชื้อฉวยโอกาสทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ทางเดินปัสสาวะ และระบบไหลเวียนโลหิต พบการดื้อยาร้อยละ 20-40 สาเหตุหลักที่ทำให้เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะง่ายขึ้นเกิดจาก 1.การใช้ยาปฏิชีวนะในโรคที่ไม่จำเป็นต้องใช้ เช่น โรคหวัด และท้องเสีย ซึ่งเกือบทั้งหมดเกิดจากเชื้อไวรัสไม่ใช่แบคทีเรีย ยาปฏิชีวนะจึงไม่มีประโยชน์ในโรคเหล่านี้ 2.การเลือกใช้ยาที่ไม่เหมาะสมกับเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากยาปฏิชีวนะมีหลายชนิด และแต่ละชนิดจะเหมาะกับการใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ต่างกัน และ3.ประชาชนไม่เข้าใจเกี่ยวกับโรค และยาปฏิชีวนะ ทำให้กังวลหรือใจร้อน รีบหายาปฏิชีวนะมารับประทาน เปลี่ยนยากินบ่อย หรือกินไม่ครบขนาดตามที่แพทย์สั่ง
ส่วนข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา พบว่า ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ไทยมีการผลิตและนำเข้ากลุ่มยาฆ่าเชื้อ ได้แก่ ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านแบคทีเรีย ยาต้านไวรัส ยาต้านเชื้อรา และยาฆ่าเชื้ออื่นๆ สูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ในปี 2550 มีมูลค่ารวมประมาณ 2 หมื่นล้านบาท หรือเกือบร้อยละ 20 ของมูลค่ายาทั้งหมด
เพื่อกระตุ้นให้สังคมรับรู้ภัยของปัญหาเชื้อดื้อยา ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดการประกวดเรียงความตามคำขวัญวันอนามัยโลก ในหัวข้อ “ใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง ป้องกันเชื้อดื้อยา เพื่อการรักษาที่ได้ผล” เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้ และใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผล เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา โดยการประกวดแบ่งเป็น (1) ประเภทนักเรียนระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า (2) อุดมศึกษาหรือเทียบเท่า และ (3) ประชาชนทั่วไป ชิงเงินรางวัลพร้อมโล่เกียรติยศจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประเภทละ 6 รางวัล ผู้ชนะเลิศจะได้รับเงิน 20,000 บาท ส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 23 มีนาคม 2554 ประกาศผลวันที่ 31 มีนาคม 2554 ดูรายละเอียดได้จากใบประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะแจกจ่ายไปยังสถานศึกษา ตามสถานที่ต่างๆ และในเว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข www.hed.go.th, www.ddc.moph.go.th หรือโทร.สอบถามได้ที่หมายเลข 0-2590-1623
แนวทางการแก้ไขปัญหาเชื้อดื้อยาของ สธ.มีนโยบายควบคุมการใช้ยาต้านจุลชีพในโรงพยาบาล โดยให้ใช้เท่าที่จำเป็นตามสภาพปัญหาการเจ็บป่วย ให้โรงพยาบาลทุกแห่งเฝ้าระวังควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล ตลอดจนส่งเสริมกระบวนการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อในโรงพยาบาล และตั้งศูนย์เฝ้าระวังเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพระดับชาติ ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือขององค์การอนามัยโลกด้านการเฝ้าระวังเชื้อดื้อยา ต้านจุลชีพ และฝึกอบรม รวมทั้งให้คำปรึกษาด้านข้อมูลและเทคนิคทางห้องปฏิบัติการแบคทีเรียแก่สมาชิก ในประเทศ และประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังมีโครงการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผล หรือ Antibiotics Smart Use โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ที่ส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนใช้ยาปฏิชีวนะได้อย่างถูกต้อง และปลอดภัย
“วิธีแก้ไขปัญหาเชื้อ ดื้อยาที่ดีที่สุด คือ การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องและเหมาะสม หยุดการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น ถ้าใช้ยาโดยไม่จำเป็น ไม่นานเชื้อก็จะปรับตัวให้ดื้อยา และในที่สุดอาจไม่มียาใดรักษาได้ นอกจากนี้จะต้องเร่งให้ความรู้แก่ประชาชนไม่ให้ซื้อยามากินเอง และหากจำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ ยารักษาวัณโรค โรคเอดส์ และมาลาเรีย หรือโรคติดเชื้ออื่นๆ จะต้องกินให้ครบถ้วน ถูกต้องตามแพทย์ที่สั่ง” ดร.พรรณสิริ กล่าวทิ้งท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น