++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

ทักษิณเป็นกบฏต่อคำสาบาน

โดย ว.ร.ฤทธาคนี

ในห้วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทักษิณ ชินวัตร
ดำเนินกลยุทธ์สงครามสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง รุนแรง
ด้วยการปลุกระดมให้บรรดาผู้หลงใหล หลงผิด
และหลงเงินออกมาต่อต้านรัฐบาลด้วยการปิดล้อมทำเนียบฯ
และเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาอย่าไร้เหตุผล แต่ได้แทรกยุทธวิธีจิตวิทยาไว้
อันเป็นวาระซ่อนเร้นด้วยการเริ่มวงจรโจมตีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษรอบใหม่ และผนวกพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
องคมนตรีเพิ่มเติมให้มีน้ำหนักมากขึ้นว่ามีส่วนในการส่งเสริม
และวางแผนให้มีการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
โค่นล้มอำนาจของรัฐบาลทักษิณซึ่งขณะนั้นกำลังเหลิงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีมา
ในอดีต เพราะใช้กลไกรัฐสภาเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจทางนิติบัญญัติ
อันเป็นอำนาจสำคัญในอำนาจอธิปไตย

และขณะนั้นขาดความสมดุลไร้ระบบการตรวจสอบ เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ.
2540 มีวัตถุประสงค์ยูโตเปียนมากเกินไป
ทำให้รัฐบาลทักษิณใช้เป็นเครื่องมือเถลิง
และละเมิดอำนาจประชาชนสร้างกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง
ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้บรรดาสาวกในคณะรัฐมนตรีโกงกินเพื่อเอาเงินไปซื้อเสียง
ทางอ้อม เช่น กรณีการโกงโครงการรับจำนำลำไยอบแห้งปี 2547
ที่ผู้มีอิทธิพลภาคเหนือ
โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ได้รับอานิสงส์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
เพราะงบประมาณ 3,945 ล้านบาท แต่ซื้อลำไยลมเสียครึ่งหนึ่ง ทำให้เม็ดเงิน
2,000 ล้านบาท กระจายไปทั่วหัวคะแนนของอดีตพรรคไทยรักไทย
และเป็นผลให้อดีตพรรคไทยรักไทยได้ ส.ส.ในภาคเหนือ 108 เสียง
และยังมีโครงการอื่นที่มีเล่ห์กลในการโกงเงินหลวง
และใช้เงินนี้ซื้อเสียงต่อเนื่องโดยเฉพาะในเขตจังหวัดภาคอีสาน

ส่วนตัวทักษิณเองก็ใช้อำนาจรัฐโดยการซื้อที่ดินรัชดาภิเษก
ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี และยังมีขบวนการคอร์รัปชันอื่นๆ
อีกซึ่งฝ่ายตุลาการจะต้องดำเนินการอย่างยุติธรรมแต่เอาจริง
เพื่อดำรงความเป็นธรรมไว้ในชาติให้ได้
มิฉะนั้นแล้วประเทศนี้คงสวนสนามถอยหลังไปสู่ความเป็นคนยุคหิน

ความเผ็ดร้อนในการให้ร้ายประธานองคมนตรีและองคมนตรีนั้น
มีตัวแปรขึ้นใหม่คือ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตกบฏ 1-3 เมษายน 2524
ที่กลายเป็นพยานปากเอกพาดพิงว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
องคมนตรีเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนให้มีการรัฐประหารโค่นอำนาจทักษิณ
แต่พล.อ.สุรยุทธ์เป็นบุคคลที่ดำรงไว้ซึ่งอุดมการณ์ชาติ ศาสนา
และพระมหากษัตริย์ มีศักดิ์ศรีทหารอาชีพที่ในปี 2546 นายโรเบิร์ต ฮอร์น
แห่งนิตยสารไทม์ ได้เลือกพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
อดีตผู้บัญชาการทหารบกเป็น "รัฐบุรุษแห่งเอเชีย" ทั้งๆ
ที่มีตัวเลือกอื่นๆ มากมาย เพราะโรเบิร์ต ฮอร์น
ได้ศึกษาวิถีชีวิตของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
แล้วเข้าใจในอุดมการณ์ที่มั่นคง และวิธีปฏิบัติของพล.อ.สุรยุทธ์
ที่มีบิดาเป็นนักปฏิวัติ
ทิ้งเครื่องแบบทหารเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
และเป็นผู้นำกองกำลังปลดแอกประชาชนชาวไทย
แต่ไม่เคยทรยศต่อชาติแต่ผู้เป็นลูกกลับยืนหยัดต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่
พิสูจน์ความล้มเหลวในเขมรที่ที่มีทุ่งสังหาร 3-4
ล้านศพด้วยการฆ่ากันเองโดยกลุ่มผู้นำ เช่น พอล พต และเขียว สัมพัน
เป็นต้น

ปูมสายเลือดของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
เกี่ยวข้องกับการต่อสู้เพื่อรักษาความถูกต้อง และเป็นธรรมในสังคมไทย
โดยเฉพาะสังคมทหารนั้นท่านหวังให้ปลอดจากการเมืองจนสร้างศัตรูไว้มากมายไม่
ต่างกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ที่ไม่ยอมแพ้ต่อการใช้กำลังรัฐประหารหรือล้มอำนาจของท่าน
เมื่อท่านชนะผู้แพ้ก็ย่อมไม่ศรัทธา
หากไร้คุณธรรมและไร้ความเป็นนักกีฬาหรือไม่ใช่ชายชาติทหารแล้วย่อมเกลียด
ท่าน

เมื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบกนั้น
อยู่ในห้วงล้างบางทหารที่เป็นตัวปัญหาในการสร้างเงื่อนไขสังคมรังแกประชาชน
และตัวท่านสนับสนุนทหารประชาธิปไตย
จึงทำให้เป็นที่ไม่พอใจของทหารที่มีความคิดโบราณ
และด้วยแนวคิดประชาธิปไตย
แต่เด็ดขาดมุ่งมั่นที่จะลดเงื่อนไขมิให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมเคียดแค้น
เพราะเกิดการเอารัดเอาเปรียบหรือป้องกันมิให้ระบบเก่าๆ
กลับคืนสู่ระบบทหาร
การปราบปรามเงินนอกระบบที่ทำลายพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริง
และทำให้ทหารตกเป็นทาสเงินนอกระบบ ก็สร้างความแค้นอยู่ไม่น้อย
การปิดสถานเริงรมย์เวลาเที่ยงคืนเพราะเกิดวิกฤตน้ำมันทั่วโลก
ก็สร้างความไม่พอใจในหมู่ผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืน
ซึ่งลงทุนซื้อใบอนุญาตเปิดสถานเริงรมย์มาด้วยราคาแพง
และทำให้จุดคุ้มทุนยาวไกล มีโอกาสขาดทุนก็สร้างความไม่พอใจไม่น้อย
แต่ถามว่ามีใครเคยคิดจะเอาผิด พล.อ.เปรม
กรณีทุจริตและใช้อำนาจรัฐเอาเปรียบประชาชนหรือไม่ ก็คงไม่เคยมี

ดังนั้น การคิดกระทำรัฐประหารโค่นอำนาจทักษิณของ พล.อ.เปรม
และพล.อ.สุรยุทธ์ คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะนักการทหารระดับอดีต
ผบ.ทบ.ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างหวุดหวิดเป็นผู้ลี้ภัยการเมือง
และถ้าพล.อ.สุรยุทธ์จะทำรัฐประหารก็คงทำตั้งแต่ครั้งถูกกดดันจากทักษิณแล้ว
ในยุคที่ทักษิณ "หมั่นไส้" พล.อ.สุรยุทธ์ และวิจารณ์การปฏิบัติของ
พล.อ.สุรยุทธ์ ในระหว่างที่ไปประชุมเรื่องการต่อต้านการก่อการร้ายให้กับหน่วยข่าวกรอง
สหรัฐฯ และการบรรยายพิเศษให้กับ ส.ส.และ ส.ว.สหรัฐฯ
รวมทั้งการประชุมร่วมกับหน่วยปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ
สร้างความไม่พอใจให้ทักษิณ
เพราะเป็นรายงานจริงที่กองทัพไทยได้ดำเนินการภายใต้กฎหมาย และกฎการสู้รบ
(Rule of Engagement) บริเวณชายแดนไทย-พม่า-ลาว

ในครั้งนั้นมีการสำแดงสงครามสารสนเทศออกข่าวว่า พล.อ.สุรยุทธ์
จะลาออกจากกองทัพบก แต่ท่านไม่ตอบโต้การวิจารณ์ของทักษิณ
รวมทั้งแสดงความนิ่งตามแบบฉบับทหารอาชีพ แม้แต่พล.อ.ชวลิต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังสั่งการให้มีการตรวจสอบข่าวลือ
เพราะมีการออกข่าวความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลทักษิณกับกองทัพบก
จนลือว่าจะมีการรัฐประหาร และนี่เป็นข้อเท็จจริงว่า ถ้าจะทำรัฐประหารโดย
พล.อ.สุรยุทธ์ ท่านก็คงทำไปเมื่อครั้งยังมีตำแหน่ง ผบ.ทบ.อยู่
แต่ด้วยความเป็นทหารอาชีพ
และไม่ต้องการเห็นทหารเข้าไปยุ่งกับการเมืองโดยตรงอีก

เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของทักษิณในการยุยงให้คนเกลียดองคมนตรี
จึงมีเลศนัยหลายขั้นซับซ้อนหรือต้องการที่จะ "ตีวัวกระทบคราด"
หรือให้คณะองคมนตรีทั้งหมดมีความด่างพร้อยหรือกว้างลึกมากกว่านั้นก็คือ
การกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง
เพราะองคมนตรีเป็นที่ปรึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แต่ที่เลวร้ายมากก็คือ สาวกที่ถูกทักษิณชักใยแสดงความสถุล ด่าทอ
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ด้วยถ้อยคำหยาบช้าสามานย์แสดงถึงชาติกำเนิด

พฤติกรรมการให้ร้ายยั่วยุให้ผู้คนเกลียดองคมนตรี
ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญที่ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าการแต่งตั้งเป็นพระราช
อำนาจโดยแท้ในการที่จะทรงแต่งตั้งใครก็ได้ตามพระราชอัธยาศัย
โดยพระองค์ทรงรับรู้ในความรู้ ความสามารถ ความรักชาติ จงรักภักดี
และเป็นประชาธิปไตย รวมทั้งมีความสามารถ ความรู้เฉพาะทางที่จะถวายงาน
ถวายคำแนะนำแด่พระองค์ท่าน

พฤติกรรมทักษิณที่โกหกต่อคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
จึงถือว่าเป็นการก่อกบฏต่อคำสาบานของตนเมื่อเข้ารับหน้าที่ทางการเมือง
และทักษิณได้ถวายสัตย์ปฏิญาณหลายครั้ง โดยมีสาระสำคัญ 3 ประการ 1.
จะจงรักภักดี 2. จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต
เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน 3.
จะรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการ

จากพฤติกรรมทั้งในอดีตที่ทักษิณเคยเป็นนายกรัฐมนตรี
ปัจจุบันที่เป็นอาชญากร
และเป็นหัวหน้ากลุ่มชนที่ยุยงส่งเสริมให้คนสิ้นศรัทธาในระบบองคมนตรี
อันหมายถึงว่าที่ปรึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี
จึงทำให้ต้องฟันธงว่า ทักษิณเป็นกบฏต่อคำสาบานตนต่อหน้าพระพักตร์

หากต้องจินตนาการถึงในอนาคตแล้วทักษิณกำลังยั่วยุให้เกิดความแตกแยก
เกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวง เพราะผู้คนที่เคารพรักและศรัทธาในตัวของ พล.อ.เปรม
และพล.อ.สุรยุทธ์ ก็มีมากมายทำให้บุคคลเหล่านั้นเกิดความคับแค้นใจ
โกรธแค้นแทน และออกมาแสดงตนต่อต้านกลุ่มที่ด่าว่ากล่าว พล.อ.เปรม
และพัฒนาเป็นการปะทะกันด้วยกำลังหรือเกิดการแบ่งแยกว่า สาวกของทักษิณ
หรือคนที่หลงใหลทักษิณอย่าได้เดินทางไปจังหวัดสงขลาหรือจังหวัดภาคใต้อื่น
หรือคนจังหวัดสงขลาหรือจังหวัดภาคใต้ที่รัก พล.อ.เปรม
ก็อย่าเดินทางไปจังหวัดในอีสาน และนี่คืออนาคตที่ทักษิณหวัง
และนี่เป็นกบฏต่อคำสาบานอย่างแน่นอน

แม้นว่าคำถวายสัตย์ปฏิญาณในปัจจุบันจะตัดคำสาปแช่งออกไปมิให้เกิด
ความไร้อารยธรรมในสมัยประชาธิปไตย
แต่ความศักดิ์สิทธิ์คงจะยังอยู่ในประวัติศาสตร์ไทยหรือนานาชาติ
การถือสัตย์ปฏิญาณเพื่อแสดงตนเป็นคนบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์ต่อชาติ ประชาชน
และสิ่งที่เขาเคารพบูชา มีมาแต่โบราณ เช่น ก่อนคริสตกาล 509 ปี
ชาวกรีก-โรมันจะสาบานต่อหน้าแท่นหินแห่งเทพเจ้าจูปีเตอร์
หรือครั้งคริสตกาล
ยูดาย-คริสเตียนก็มีการสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าตามเยนีซิส 8: 21 (Genesis)
ซึ่งเป็นรากฐานการสาบานของวัฒนธรรมตะวันตกอย่างเคร่งครัด
ส่วนของไทยเองเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งต้นกรุงศรีอยุธยา
มีพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาจึงเกิดเป็นลิลิตโองการแช่งน้ำคือคำ
ศักดิ์สิทธิ์ที่สาปแช่งลงในน้ำที่ใช้ในการถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
เพื่อให้ผู้ดื่มที่มีใจไม่สุจริตต้องมีอันเป็นไป

ทั้งพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และทักษิณ
ชินวัตร ต่างได้ถวายสัตย์ปฏิญาณและดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อหน้าพระพักตร์ในหลวงมาแล้ว

หรือถึงแม้ว่าทักษิณจะไม่ได้ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาก็ตาม
แต่ความศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดิน ความศักดิ์สิทธิ์แห่งบุรพกษัตริย์
และวีรชนที่พลีชีพเพื่อชาติยังคงศักดิ์สิทธิ์เหมือนเราเห็นได้ว่า
จากการลุอำนาจของทักษิณตั้งแต่ พ.ศ. 2544 จนถึง พ.ศ. 2549 นั้น
วาสนาบารมีของทักษิณก็เสื่อมลดน้อยลงเรื่อยๆ
อำนาจเงินของทักษิณเท่านั้นที่ยังคงซื้อความนิยม
และความจงรักภักดีหรือท้วงบุญคุณกับคนที่ทักษิณเคยช่วยไว้จึงยังสัมฤทธิผล
ที่ให้ลูกหนี้ทั้งปัญญาชน ข้าราชการ และคนสนิทยังคงภักดีเขาอยู่

แต่ ความศักดิ์สิทธิ์ที่มีในชาติไทยคงสำแดงฤทธิ์เดชมากขึ้นตามกรรมที่เขาก่อที่
รุนแรงมากขึ้น แต่นอกเหนือจากความศักดิ์สิทธิ์ในคำสาบานแล้ว
ก็มีผู้คนสาปแช่งเขาอีกไม่น้อย เห็นได้จากเว็บไซต์ต่างๆ
คำสาปแช่งมีจริงครับ เพราะผู้นำเลวๆ ในโลกนี้ต้องเคราะห์กรรมคล้ายๆ
กันคือ ตกนรกขณะยังมีชีวิตอยู่มีมากมายทุกทวีป

nidd.riddhagni@gmail.com

ที่มา http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000037624

3 ความคิดเห็น:

  1. . แล้วคำสาปแช่งพวกอำมาตย์ ตามเว็บต่างก็มีมากเช่นกัน ?

    .

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ12 ตุลาคม 2552 เวลา 14:06

    คิดง่ายๆนะพวกกะโหลกกะลา ถ้าเค้าดีจริงทำไมถึงอยู่ในไทยไม่ได้ ถ้าเขาดีจริงทำไมเขาไมกลับมาพิสูจน์ ถ้าเขาดีจริงเขาจะมายุยงส่งเสริมพวกคุณๆให้มาประท้วงทำไม ถ้าเค้าดีจริงทำไมยังมายุ่งการเมืองอยู่อีก แล้วก็ถ้าๆๆๆๆๆอะไรอีกมากมายคิดไม่ออก แต่สรุปว่า คนถูกยังไงก็คือคนถูก และไอคนที่ผิดยังไงมันก็ยังคงผิดอยู่วันยันค่ำ พวกคุณๆจะมัวมาบ้าตามหน้าที่ซื่อใส แต่ใจคด ขนาดให้พวกคุณกระทำการตายแทนพวกคุณ พวกคุณยังคงเทิดทูลเขาอยู่ ผมเชื่อในพระสยามเทวา อันเป็นตำแหน่งเทพสมมุติ คือเทวดาที่ถูกสับเปลี่ยนให้มาคุ้มครองเมือง แล้วยังมีหลักเมืองอีก อย่าลบหลู่ "ผู้ใดคิดคตทรยศต่อผืนแผ่นดินไทย มันผู้นั้นอ้ายอีและครอบครัวจะมีอันเป็นไป" บรรพบุรุษตั้งแต่ไพร่ พลหทารที่หลั่งเลือด ซากศพถมเป็นกองดิน ไปถึงบรรดาพระมหากษัตริย์ที่ปกครองในอดีต บุคคลเหล่านั้นไม่ปล่อยท่านไว้แน่นอน ถ้ายังคิดจะสนับสนุนบุคคลเช่นนั้นอีกไม่เพียงตัวคุณ กระทั่งครอบครัวคุณก็จะต้องรับกรรมที่คุณได้ล่วงกระทำเป็นแน่ หยุดเถอะครับทั้งเหลืองทั้งแดง บ้านเมืองจะไปไม่รอดอยู่แล้ว หันหน้าเข้าหากันพี่น้องกันทั้งนั้น "คนไทย" ส่วนท่านทักษิณถ้าถูกจริงก็กลับมาเมืองไทยพิสูจน์ หยุดปั่นหัวพี่น้องคนไทยได้แล้ว

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ20 พฤษภาคม 2553 เวลา 01:55

    ขอสาปแช่งทักษิณ ให้ตายอย่างทรมาณ ตกนรก เกิดเป็นสวะชั้นต่ำตลอดไป

    ตอบลบ