++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

“มูลนิธิโลกสีฟ้า” พลังคนแก่รักเสียงเพลง พลังแห่งคุณค่า ‘บั้นปลายชีวิต’

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


    เนื่องใน “วันผู้สูงอายุ 13 เมษายน” ที่เวียนมาอีกครั้งในปีนี้ หลายคนต่างมองไปที่การให้วันสำคัญนี้เป็นจุดริเริ่มในการกระตุ้นให้ลูกๆ หลานๆ ระลึกถึงคุณค่า คุณงามความดี และแสดงความกตัญญูกตเวิทีต่อต่อผู้หลักผู้ใหญ่ให้มากที่สุด ทั้งนี้อีกส่วนที่ต้องการจะสื่อคือการให้ผู้สูงอายุได้รับการยอมรับจากทุก ภาคส่วนในสังคม ซึ่งยังถือว่ามีสัดส่วนมีน้อยมากในปัจจุบัน
      
       แต่ในสัดส่วนที่น้อยของผู้สูงอายุที่มีพื้นที่ยืนในสังคมนั้น ด้วยการเกิดขึ้นของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘มูลนิธิโลกสีฟ้า’ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า “คนแก่ก็ยังทำงานเพื่อประโยชน์แก่สังคมได้”
      

คุณย่าพวงทอง พัฒนศิษฏางกูร
   
       ** ก่อกำเนิดพลังคน(แก่) รักเสียงเพลง
       มูลนิธิโลกสีฟ้า เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มผู้สูงอายุที่ชอบร้องเพลง และใช้เวลาว่างในบั้นปลายของชีวิตให้เกิดคุณค่าโดยมี ‘เพลง’ เป็นสื่อ โดยสมาชิกกว่า 40 ชีวิต อายุในช่วง 55 – 80 ปี ที่ประกอบด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพ ทั้งที่เกษียณแล้ว หรือยังทำงานอยู่มาตั้งเป็นกลุ่มคณะนักร้องประสานเสียงผู้สูงวัยขึ้น
      
       สำหรับที่มาที่ไปของการก่อตั้งกลุ่มนั้น คุณย่าพวงทอง พัฒนศิษฏางกูร อายุ 79 ปี ในฐานะประธานมูลนิธิโลกสีฟ้า ย้อนอดีตให้ฟังว่า เริ่มจากที่ อาจารย์ทันพงษ์ พัฒนศิษฏางกูร ซึ่งเป็นสามีของตนนั้นได้ประพันธ์เพลงไว้มากมาย โดยเนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่จะสื่อให้เห็นถึงความรักชาติ ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังมีในส่วนของเนื้อหาที่เป็นการให้กำลังใจ และเพลงที่สะท้อนสังคม ซึ่ง อ.ทันพงษ์ก็มาปรึกษากับตนว่าอยากจะทำประโยชน์ให้แก่สังคม เพราะชีวิตที่เหลืออยู่นี้ก็เปรียบได้กับกำไรชีวิต จึงอยากทำงานให้ชาติบ้านเมืองผ่านงานเพลง และเพลงที่ประพันธ์ขึ้นมาทั้งหมดนี้ หากนำไปร้องแล้วเกิดเป็นรายได้ ก็จะนำเงินทั้งหมดมอบให้แก่การกุศล
      
       “ช่วง นั้นใน พ.ศ.2538 ก็ได้มีการรวมกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบในเสียงเพลง ประมาณ 50 คน มาขับร้องเพลงประสานเสียง ซึ่งก็ใช้เพลงของอ.ทันพงษ์ ขับร้อง ซึ่งเมื่อรวมกลุ่มกันก็มีรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งเชิญไปออกทีวี และค่าตอบแทนในวันนั้นถือได้ว่าเป็นเงินก้อนแรกที่หาได้จากการร้องเพลง ซึ่งก็ได้บริจาคในการสร้างโรงเรียน และเป็นทุนการศึกษาทั้งหมด”
      
       คุณย่าพวงทอง เล่าต่อว่า หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2539 ซึ่งเป็นปีสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี อ.ทันพงษ์ ก็ได้ประพันธ์เพลงที่ชื่อว่า “ร่มละอองบุญ” ที่มีเนื้อหาของเพลงแสดงถึงความจงรักภักดี และสดดุดีพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีแก่ผสกนิกรไทย ซึ่งเนื้อเพลงท่อนหนึ่งบอกว่า
       “... เย็นร่มละอองบุญ เกื้อหนุนให้ไทยทั้งชาติ
       ใต้เบื้องพระยุคลบาท พระบิตุรงค์ พระทรงศรี
       ได้อยู่ร่มเย็น ร่มเย็นเป็นสุขสวัสดี
       ด้วยพระบารมี พระบารมี แห่งองค์ราชันย์...”
      
       และเพลงนี้ก็ได้ใช้ทำการขับร้องร่วมกับคณะนักร้องนักแสดงจากกระทรวง วิทยุโทรทัศน์จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เดินทางมาถวายพระพรแด่พระองค์ท่านในวันสำคัญครั้งนั้นด้วย

       ** เติมพลังดนตรีบำบัด เสริมแรงใจผู้ป่วย
       คุณ ย่าพวงทองบอกว่า หลังจากนั้นก็ถูกเชิญให้ร้องเพลงตามงานต่างๆ เรื่อยมา จนกระทั่งทางศูนย์แพทย์พัฒนา เขตห้วยขวาง ซึ่งเป็นคลินิกตามโครงการพระราชดำริ ได้ประสานให้มาสอนร้องเพลงแก่คนไข้ จึงได้มีการตั้งชื่อกลุ่มครั้งแรกว่า “ชมรมพลังเพลง” ต่อ มาจึงได้ถูกเทียบเชิญจากประเทศจีนให้ไปร่วมในงานการร้องเพลงประสานเสียงนานา ชาติที่จีนจัดขึ้น และทางเราก็ได้เชิญคณะประสานเสียงของจีนมาร่วมในงานถวายพระพรเนื่องในวโรกาส ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 6 รอบ ใน พ.ศ.2541 เช่นกัน จากนั้นชมรมพลังเพลง ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ชมรมโลกสีฟ้า” และล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ก็จัดตั้งเป็น “มูลนิธิโลกสีฟ้า” จนถึงปัจจุบัน
      
       อย่างไรก็ตาม นอกจากทางกลุ่มจะนำเพลงมาใช้เป็นสื่อในการสร้างจิตสำนึกรักชาติ แล้วยังมีการขับร้องเพลงเพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ อีกด้วย ซึ่งก็มีคนไข้หลายคนเข้ามาเป็นสมาชิกกลุ่มจำนวนมาก โดยเฉพาะกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งจะจัดเป็นกระบวนการดนตรีบำบัดขึ้น และมีการแต่งเพลงให้เป็นพิเศษ เช่นเพลง “ฟื้นฟูชีวิตใหม่” เพื่อเป็นการให้กำลังใจผู้ป่วยมะเร็ง และหากผู้ป่วยคนไหนสามารถนำกระบวนการดนตรีบำบัดไปใช้ได้ก็จะช่วยให้มีชีวิต ชีวาขึ้น ทั้งสุขภาพจิต สุภาพใจก็จะดีตามมา

       ** ยึดถือ ‘ในหลวง’ เป็นแบบอย่าง คืนสู่สังคมร่มเย็น
       จาก วันนั้นจนถึงวันนี้การดำเนินงานของมูลนิธิโลกสีฟ้าได้สร้างความภาคภูมิใจมา ยังสมาชิกทุกคนโดยเฉพาะกับประธานกลุ่มฯ ที่เผยความรู้สึกว่า “ตอน นี้ไม่ว่าเราจะไปร้องเพลง ทำการแสดงที่ไหนก็จะได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นจำนวนมาก ตรงนี้เองทำให้เรารู้สึกว่า ถึงแม้จะพวกเราจะเข้าสู่วัยชรา แต่ก็ยังได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำประโยชน์ สร้างชีวิต ชีวาให้เกิดขึ้นในสังคม ที่สำคัญทำให้รู้ว่าพวกเรายังมีความหมาย มีคุณค่าแก่สังคม สิ่งที่ทำได้แสดงให้หลายๆ คนเห็นแล้วถึงเราจะแก่แต่ก็ไม่ได้สร้างภาระให้กับใคร แถมยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คนรุ่นหลังอีกด้วย” คุณย่าพวงทองเผยความรู้สึก
      
       ถึงตรงนี้เนื่องในวันผู้สูงอายุที่มาถึง สิ่งที่คุณย่าพวงทองเป็นห่วงมากที่สุด คือ ปัญหาการใช้ความรุนแรงในเด็กและเยาวชนที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นทางมูลนิธิโลกสีฟ้าจึงมีแนวคิดว่า อยากจะสร้างเครือข่ายในการปลุกจิตสำนึกรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้เกิดขึ้นแก่เยาวชนผ่านเสียงเพลง โดยอาจเดินสายไปตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นแก่เยาวชน
      
       “สิ่งที่ประชาชนชาวไทยทุกคนสามารถทำได้คือ การยึดถือองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต”คุณย่าพวงทองทิ้งท้าย

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000040682

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น