สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ได้ร่ายยาวเกี่ยวกับ “ข้าราชการไทย” กับ “ระบบอุปถัมภ์-ระบบเล่นพรรคเล่นพวก” จนยอม “กลายจิต-ขายวิญญาณ” เป็น “ข้าทาสรับใช้” แก่ “นักการเมือง” จนสามารถประณามได้ว่า “ไร้ศักดิ์ศรี!”
ทั้ง นี้ เพื่อความเป็นธรรม “ข้าราชการ” ที่ “รักเกียรติยศ-รักศักดิ์ศรี” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังมีจำนวนมาก ด้วยความ “ ทระนง” ใน “ความรู้-คุณงามความดี” โดยเฉพาะเพียรพยายามยึดมั่นใน “หลักคุณธรรม-หลักจริยธรรม” มาอย่างยาวนานตลอดอายุราชการ ที่ต้องยกย่องว่า “ครองความดี-ครองสุจริต” ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ 15 ปี จนบางคนมากถึง 40 กว่าปี
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “การรับราชการ” นั้น ต้องมีความมุมานะ มุ่งมั่น ยึดมั่นใน “หลักธรรมาภิบาล” ตลอดจน “ความภาคภูมิใจ” ที่ต้อง “ตระหนัก-สำนึก” ในการเป็น “ข้าราชการ” ทั้งของ “พระเจ้าแผ่นดิน” และ “ประชาชน”
แต่ที่สำคัญมากที่สุด คือ “ความเสียสละ” อย่างมหาศาล เนื่องด้วย “เงินเดือน-ค่าตอบแทน” กับ “การรับราชการ” นั้น “น้อย-น้อยมาก!” พูด ง่ายๆ ก็หมายความว่า การรับราชการอย่างทุ่มเท ยึดมั่นในหลักคุณงามความดี ทำงานหนัก แต่ได้รับเงินเดือนน้อยมาก แม้กระทั่งสังคมปัจจุบันที่ “ค่าครองชีพ” มีปริมาณที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายและเงินเดือนแล้ว ต้องฟันธงเลยว่า “ไม่เพียงพอ” หรือพูดภาษาชาวบ้านว่า “ปิดหัวไม่ถึงหาง!”
“ปัญหาหนี้สิน” ของข้าราชการจำนวนมากที่ประสบปัญหาหนี้สิน จนบางคนตกอยู่ในสภาวะ “หนี้สินล้นพ้นตัว!” กล่าวคือ ข้าราชการจำนวนมากมีปัญหาหนี้สินพอกพูนเรื่อยมา ตั้งแต่เงินต้นที่กู้ยืม มาจนดอกเบี้ยเพิ่มพูนแล้วในที่สุด “ต้นทบดอก-ดอกทบต้น” จนแทบจะไม่มีปัญญาหนทางในการชดใช้หนี้สินเลย!
จากปัญหาหนี้สิน เนื่องด้วย เงินเดือนพร้อมค่าตอบแทนสำหรับข้าราชการน้อยมาก ไหนจะเลี้ยงชีพตนเอง ตลอดจนสมาชิกในครอบครัว การศึกษา แต่ที่สำคัญคือ “การดำรงตน-ดำรงชีพ” อย่าง “มีเกียรติ-มีศักดิ์ศรี” ได้ ในสังคม ถามว่า ข้าราชการระดับล่าง ระดับกลางในสังคมปัจจุบัน มีรายได้เงินเดือนน่าจะประมาณ 10,000 กว่าบาท ไปจนถึงเกือบ 20,000 กว่าบาท ถ้าสมาชิกทุกคนในครอบครัวต่างทำมาหากิน ก็น่าจะเพียงพอในการดำรงชีพ
ทั้งนี้ ข้าราชการทุกคนพยายามสร้างความมั่นคงสำหรับบั้นปลายชีวิต ที่แน่นอนสมควรมีบ้านพักอาศัยเป็นของตนเอง หนึ่งล่ะ รถยนต์ยานพาหนะ สอง และสาม เงินสะสมไว้ใช้เมื่อเกษียณอายุ
จากเงินเดือนที่ทำงานมาตลอดหลายสิบปี ถามว่า “เงินสะสม” จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ยาก!” เพียงแต่ดำรงชีพทั้งครอบครัววันต่อวัน ก็ขอหยาบคายกล่าวว่า “ลากเลือด!” มากพอแล้ว
เคย มีนักวิชาการชื่อดังในอดีตกล่าวถึง “ข้าราชการไทย” เชิงประชดประชันว่าเป็น “คนจนยุคใหม่!” ที่เราต้องยอมรับความจริงว่า “เป็นเช่นนั้น!” ถ้าเราสามารถสำรวจและประมวลตัวเลขของข้าราชการที่ตกอยู่ในสภาวะหนี้สิน ตลอดจน “สภาพความเป็นอยู่” แล้ว น่าจะสอดคล้องกับคำกล่าวข้างต้น
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่า “สวัสดิการราชการ”จะ ครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร ตลอดจน ข้าราชการทหาร ตำรวจ อาจจะมีบ้านพักอาศัยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ที่ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว “ภาระ” ต่างๆ เหล่านี้ รัฐเป็นผู้ดูแลแบกให้อยู่แล้ว ซึ่งนับว่ามากพอประมาณ ดังนั้น “เงินเดือน” จึงน่าจะเพียงพอประทังการดำรงชีพไปได้ (เฉพาะดำรงชีพ)
แต่ถ้าข้าราชการบางกระทรวงต้องแบกภาระค่าบ้านเอง และค่าเดินทาง ก็ต้องยอมรับว่า “กระเบียดกระเสียร” พอสมควร จนเข้าทำนอง “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น
ประเด็นปัญหาของข้าราชการไทย จากความไม่พอของเงินเดือนกับค่าใช้จ่าย “การทุจริตคอร์รัปชัน” จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นการเสริมรายได้ จากภาษาชาวบ้านเรียกว่า “เงินใต้โต๊ะ” สำหรับข้าราชการชั้นผู้น้อย แต่ประเด็นปัญหาหลักคือ “กินคำโต” กับโครงการใหญ่ เริ่มตั้งแต่ 10-20 ล้านบาท ไปจนถึงหลัก 100-1,000 ล้านบาท ของ “ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่” ร่วมมือกับ “นักการเมือง-รัฐมนตรี” พร้อมองคาพยพ ผสมโรงกับ “นักธุรกิจ” ที่ ต่างร่วมแสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างกัน โดยเฉพาะกระทรวงสำคัญๆ อาทิ มหาดไทย คมนาคม เป็นต้น ที่ล้วนมีอภิมหาโปรเจกต์นับพันนับหมื่นล้านบาท
ขอกล่าวย้ำว่าอีก 2 วัน จะมีทั้ง “ข้าราชการดี” ที่ สั่งสมคุณงามความดีรับใช้ชาติบ้านเมืองอย่างสมศักดิ์ศรีเกียรติยศมาอย่างยาว นานหลายสิบปีต้องขอชื่นชมสดุดีในความเสียสละอย่างบากบั่น มุมานะ และดำรงตนอยู่ได้อย่างพอเพียง ก็ขอให้ท่านที่เกษียณอายุราชการ จงประสบแต่ความสุขความเจริญ พร้อมทั้งพักผ่อน หากิจกรรมเสริมพิเศษสร้างรายได้แก่ตนเองและครอบครัวต่อไป
ส่วน “ข้าราชการ-ข้าทาสรับใช้นักการเมือง” ที่เพียรพยายามส่งไม้ต่อ โดยปราศจากซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติยศ น่าจะเกษียณอายุราชการด้วยจิตสำนึกว่า “พ้นพงหนาม!” โดยปราศจาก “ความละอายแก่ไจ” ว่า “ก่อกรรมทำเข็ญโกงบ้านโกงเมือง” ไว้มากมายอย่างไร?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น