++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

รัฐประหาร พันธมิตร ระบอบทักษิณ ใครทำความเสียหายมากกว่ากัน

โดย ไทยทน 30 พฤศจิกายน 2551 20:26 น.





เราเริ่มเห็นว่า แผนการของคนคนหนึ่งผู้หนีโทษในต่างประเทศ ที่ต้องการสร้างความแตกแยกในสังคม เพื่อกลบเกลื่อนเบี่ยงเบนความสนใจต่อคดีของตัวกำลังประสบความสำเร็จ กลุ่มคนกำลังแตกแยกกัน โกรธกันมาก เกลียดกันมากขึ้น ใช้วิธี ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งจะน่าเป็นห่วงว่า วิธี “ตาต่อตา” จะทำให้สังคมมืดบอดไปได้



ขณะนี้ คนไทยเริ่มมีทางเลือกน้อยลง มองไปข้างหน้าระหว่างรัฐประหาร พันธมิตร และระบอบทักษิณ ดูเหมือนอยากจะเลือกกันด้วยวิธีวัดความสูญเสียว่า วิธีใดสูญเสียน้อยที่สุด แต่ก็น่าจะประเมินความสูญเสียให้เปรียบเทียบได้ ขณะนี้ ครั้ง 19 กันยายน 2006 มีคนบอกว่า “ทักษิณโกง 5 ปี นับแสนล้านบาท ยังเสียหายไม่เท่าที่ปฏิวัติครั้งเดียว” และครั้งนี้ ก็บอกว่า “ทักษิณโกง 5 ปี นับแสนล้านบาท ยังเสียหายไม่เท่ายึดสนามบิน”



ความจริงปรากฏว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2006 ถือเป็นกรณีพิเศษ สังคมโลกไม่ยอมรับ การล้มล้างประชาธิปไตย เพื่อเข้าสู่อำนาจเข้าด้วยอาวุธและความรุนแรง คนไทยก็ไม่ยอมรับ แต่กรณี 19 กันยายน ไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยเห็นได้ชัดว่า (1) ไม่ได้เป็นการทำเพื่ออำนาจและประโยชน์ส่วนตัวแต่อย่างใด อยู่เพียงเพื่อล้างอำนาจมืดชั่วคราว แล้วประมาณ 1 ปี ก็ลงจากอำนาจเพื่อคืนอำนาจสู่ประชาชน



(2) บริหารบ้านเมืองแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” ในช่วงที่โลกกำลังเป็นลูกโป่งพองตัว ลงทุนเกินตัว กู้เงินเกินตัว ทำให้ไทยไม่ต้องเผชิญวิกฤตการเงินเหมือนประเทศหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งเราก็บอกกับทุกคนได้อย่างภาคภูมิใจว่า เรามีหลักการ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในใจของเรา



รัฐบาลขิงแก่ได้เลิกบริหารเงินแบบเป่าลูกโป่ง สร้างหนี้ ซุกหนี้ ซ่อนหนี้ ลดตั๋วเงินคลังลงเกือบ 1 แสนล้านบาท ล้างหนี้กองทุนน้ำมัน 1 แสนล้านบาท ไม่มีการซุกซ่อนหนี้เหมือนก่อน หนี้รากหญ้าก็ไม่ได้เพิ่มเติม เราจึงรอดพ้นวิกฤตการเงิน หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในรอบนี้



จึงกล่าวได้ว่า การรัฐประหาร 19 กันยายน 2006 ไม่ได้หาประโยชน์ส่วนตัว ไม่ได้สร้างความเสียหายให้บ้านเมือง กลับได้ช่วยให้ประเทศพ้นวิกฤตเมื่อโลกลูกโป่งแตกอีกด้วย



กลับมาเทียบการโกงของรัฐบาลระบอบทักษิณนับแสนล้านบาท กับการยึดสนามบิน ก็เสียหายนับแสนล้านบาทก็อาจจะเป็นการเปรียบเทียบคนละมิติ



การโกงนับแสนล้านบาทของระบอบทักษิณนั้น เป็นเฉพาะส่วนที่เข้ากระเป๋า เช่น การเปลี่ยนแปลงส่วนแบ่งพรีเพด เกือบแสนล้านบาท ภาษีสรรพสามิต การที่อาจจะไม่คืนสินทรัพย์ให้ ทศท.เมื่อสิ้นอายุสัมปทาน ฯลฯ แต่ส่วนที่เข้ากระเป๋าชาวพันธมิตร “ติดลบ” แต่ละคนควักออกมาด้วยความเสียสละ ทั้งเวลา เงิน ไม่ได้หวังอะไร แต่หวังให้มาตรฐานคุณธรรมดีขึ้น และหวังอนาคตที่ดีขึ้นของลูกหลานเรา



ซึ่งหากจะเทียบในด้านผลกระทบ “ระบอบทักษิณ” ทำให้ชาติเสียหายมากกว่าเฉพาะส่วนที่เข้ากระเป๋ามูลค่ากิจการของ ทศท. และ กสท. หายไปเกือบหมดแล้ว ไปอยู่ในกระเป๋าเอกชนหมดแล้ว รุกต่อไปก็เป็นการบินไทย กำลังขาดทุนเพิ่มขึ้นมหาศาล แต่ภาครัฐก็คอยสนับสนุนสายการบินไทยแอร์เอเชียเป็นระยะๆ จนจำนวนการบินของไทยแอร์เอเชียที่สุวรรณภูมิเริ่มใกล้เคียงการบินไทยแล้ว!! มูลค่าแต่ละองค์กรที่สูญเสียก็นับแสนล้านบาท



การต้องเลี้ยงพรรคพวกพันธุ์เดียวกัน ก็ทำให้เกิดการคอร์รัปชันต่างๆ มากมาย ทั้งโครงการ CTX กล้ายาง สุวรรณภูมิ สัญญาจีทูจีรถดับเพลิง รถเมล์ 6 พันล้านบาท ฯลฯ อีกนับแสนล้านบาทเช่นกัน



สิ่งที่เป็นปัญหาหนักมากเกินกว่าที่จะประเมินเป็นตัวเลขได้ คือการปกปิดความจริง คุมสื่อด้านเดียว ลดค่านิยมและมาตรฐานคุณธรรม ทำให้คนรู้สึกว่า ยิ่งโกงมาก มีอำนาจมาก จะทำอะไรก็ได้สังคมที่โกงได้โกงเอา จะลำบากกันเพียงใด จะมีต้นทุนการรักษาความสงบ ความถูกต้องอีกเท่าใด



รัฐบาลระบอบทักษิณบริหารงานช่วยคนจน ให้ “จนต่อไป” เอาไว้เป็นพวกแม้ปากจะอ้างว่าเป็นรัฐบาลขวัญใจคนจนชาวรากหญ้า แต่กระบวนการทำงาน เป็นดังการหลอกเด็กด้วยขนมหวาน ให้ก่อหนี้ง่ายขึ้นจนเกินตัว ส่งเสริมมือถือเอารายได้เข้าตัว ส่งเสริมการพนันผ่านหวยบนดิน เป็นการเก็บภาษีเพิ่มจากคนจนอย่างแยบยล (เช่นเดียวกับรัฐบาลจีนในอดีต หาวิธีเก็บภาษีโดยการขายหวย) รัฐบาลท่านบริหารงานมานาน คนจนก็ยังจนเหมือนเดิม หลายคนมีหนี้มากขึ้น และต้องรอพึ่งน้ำเลี้ยงจากนักการเมืองต่อไป การบริหารให้คนยังจนอยู่เพื่อรักษาอำนาจ ก็ทำให้เกิดความเสียหายมหาศาลกับบ้านเมือง



รัฐบาลระบอบทักษิณ บริหารโดยทำให้ “คนดีท้อใจ” การที่ประชาชนคนบริสุทธิ์ออกมาต่อสู้ยาวนาน จนถึงขั้นยึดทำเนียบรัฐบาล รัฐบาลมีชนักติดหลัง ก็ไม่พร้อมจะจัดการ แต่วิธีดีที่สุด คือพยายามเข้าใจว่า มาเรียกร้องอะไร ตอบเขาได้ไหม น่าจะตอบให้โปร่งใส เข้าใจตรงกันทุกคน ให้ความดี ความจริง ชนะ ซึ่งอาจเป็นฝ่ายรัฐบาลก็ได้ แต่ไม่ใช่ใช้อำนาจรัฐปกปิดด้วยการสื่อความข้างเดียว สร้างภาพ “ผู้มีอำนาจ” และ “ผู้รู้ทัน” ตามใจผู้มีอำนาจ แล้วยังปล่อยให้มีการยิงระเบิดเข้าทำร้ายผู้ชุมนุมแทบทุกคืน ราวกับการทยอย “ยิงตัวประกัน” ให้ผู้เรียกร้องอย่างบริสุทธิ์ใจต้องท้อแท้ใจ



ประเทศที่เขาเจริญและให้เกียรติปัญญาประชาชน เขาจะไม่เลือกใช้วิธีปกปิดบิดเบือน เพราะเขารู้ว่า มันจะบานปลายได้ และชาติจะเสียหาย เมื่อมีข้อสงสัย บิลล์ คลินตันก็ต้องยอมให้ซักฟอกซักถาม โทนี แบลร์ก็ต้องยอมให้ซักฟอกกรณีตามอเมริกาต่อปัญหาอิรัก ผู้นำญี่ปุ่นหรือเกาหลีพร้อมจะลาออกเมื่อยากที่จะอธิบาย เพราะไม่พร้อมที่จะให้ชาติเสียหายจากการปกปิดบิดเบือนด้วยอำนาจรัฐ



ที่เขาคิดกันได้อย่างนั้น เพราะสำหรับประเทศ เป็นเรื่องที่ถูกต้องชัดเจน เว้นแต่ การต้องอยู่ในอำนาจรัฐ เป็นไปเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว หรือปกปิดความผิดส่วนตัว จึงยอมเสียสละประเทศชาติไทยไม่ว่าจะเสียหายเท่าใด เพียงเพื่อปกปิดความผิดตัวเองเท่านั้น !!



ในฐานะนักโทษชายหนีอาญา ทักษิณกลับตำหนิประเทศไทยซึ่งรัฐบาลระบอบทักษิณไม่เคยโต้ตอบเพื่อปกป้องประเทศชาติ แต่เมื่ออังกฤษถอนวีซ่า คนในพรรครัฐบาลจะสอบถามรัฐบาลอังกฤษ!!



การที่นักโทษชายจะโฟนอินเข้ามา ไม่ตอบศาล ไม่สู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เปิดรายละเอียดให้ครบถึงสาเหตุในการตัดสินคดี แต่กลับบอกกับประชาชนกลุ่มตนว่าเป็น “กระบวนการยุติความเป็นธรรม” เช่นเคย ต้องพูดข้างเดียว และยังเผยโฉมความเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความวุ่นวาย ข่มขู่มาจากต่างประเทศว่า พร้อมจะ “นองเลือด” หากใครจะหยุดอำนาจนอมินีของตน!



ความเสียหายในการทำลายคุณธรรมความชอบธรรมอย่างปกปิด เป็นวิธีคิดแบบฮิตเลอร์ ซึ่งก็มาจากการเลือกตั้ง และยังเป็นความคาดหวังอำนาจเผด็จการผ่านเงินที่โกง ซึ่งในภูมิภาค เราก็จะเห็นว่า ประเทศที่ยึดอำนาจเผด็จการ คิดแบบเผด็จการ และดูจะไม่สนใจความถูกผิด ก็จะมีที่พม่า และเขมร ตลอดจน อินโดนีเซียยุคซูฮาร์โต ที่ครองอำนาจร่วม 30 ปี และฟิลิปปินส์ในบางยุคที่ผ่านมา



จนบัดนี้ จากข้อมูลของธนาคารโลก คนไทยมีรายได้เฉลี่ยปีละ 1.3 แสนบาท/ปี ขณะที่ประเทศซึ่งมีข่าวผู้นำหลงอำนาจโกงได้โกงเอา อินโดนีเซีย 6.8 หมื่นบาท/ปี ฟิลิปปินส์ 5.8 หมื่นบาท/ปี เขมร 2.1 หมื่นบาท/ปี พม่า 8 พันบาท/ปี การต่อสู้ชูสีแดงราวคอมมิวนิสต์ ก็น่าเป็นห่วง เช่น จีน 8.8 หมื่นบาท/ปี เวียดนาม 3 หมื่นบาท/ปี ลาว 2.4 หมื่นบาท/ปี เราก็คงไม่อยากเห็นเช่นนั้น



หลายคนอยากเห็นเรามีผู้นำที่ดีเข้มแข็งเหมือนสิงคโปร์ ประชาชนเขามีรายได้เฉลี่ย 1.24 ล้านบาท/ปี เกือบ 10 เท่าของคนไทย และคิดว่า ทักษิณควรจะเป็นเช่นนั้นได้ แต่จุดที่ต่างกันก็เห็นได้ชัดจากการเจรจาธุรกิจ การขายหุ้นให้เทมาเส็กนั้น เขาเจรจาให้กองทุนของรัฐบาล เราเจรจาให้หุ้นของครอบครัวซึ่งถือโดยนอมินี!!



หากคนไทยกลับไปเป็นเหมือนอินโดฯ หรือฟิลิปปินส์ คนดีท้อใจ คนเสียภาษีท้อแท้ (ด้วยผู้นำเป็นตัวอย่างหลบภาษี) คนส่วนใหญ่รอความช่วยเหลือจากรัฐ หากรายได้ของเราคล้ายเขา จาก 1.3 แสนเป็น 6-7 หมื่น คูณด้วย 65 ล้านคน ก็ทำให้รายได้ทั้งประเทศหายไป 3 ล้านล้านบาท! ยังไม่ลงไปเทียบกับประเทศผู้นำเผด็จการอย่างเขมรหรือพม่า จะไปกันใหญ่



นายกฯ ทักษิณก็เคยหากินกับพรรคการเมืองขั้วนี้มายาวนาน เคยส่งพรรคพวกเข้าร่วมรัฐบาลบิ๊กจิ๋วก่อนวิกฤต และเข้าเป็นรองนายกฯ พาชาติเข้าวิกฤตเรียบร้อย โกงกันไม่หยุด แม้กระทั่งการซื้อสนามกอล์ฟอัลไพน์ยังไว้ในชื่อคนรถคนใช้หวังส่วนลดจากธนาคาร!? เรียกว่า กะดูดจนเลือดแห้งกันเลย วิกฤตเศรษฐกิจเช่นนั้น โตติดลบเป็น 10% ก็ 5-6 แสนล้านบาท และกว่าจะฟื้น ก็ฟื้นจากฐานต่ำ เป็นความเสียหายสะสมมาอีกยาวนาน



การท่องเที่ยวเป็นรายได้ใหญ่ของประเทศ ประมาณปีละ 1 ล้านล้านบาท ความเสียหายประมาณ 1 สัปดาห์ที่สูง อาจสูงถึง 2-3 หมื่นล้านบาท นับเป็นเรื่องใหญ่ที่พันธมิตรเองควรต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง



แต่ไทยทนไม่อยากคิดว่า เสียหายด้านใดมาก เสียหายด้านใดน้อย หากไม่จบความเสียหายของประเทศ ไม่ใช่เอามาเทียบกัน หรือเอามาลบกัน แต่เอา “ความเสียหายมารวมกัน” หลักธรรมสำคัญ คือต้องไม่คิดแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”



เมื่อมองดูสถานการณ์ความขัดแย้งแล้ว รัฐบาลผิด ที่ทำเรื่องผิดเป็นเรื่องถูก เช่น กรณีปกปิดคดีเอสซีแอสเสท ไม่ชอบธรรมจากกรณีถูกตัดสินกรณีเขาพระวิหาร คุมสื่อด้านเดียว ละเลยความคิดจิตใจคนไทยกลุ่มพันธมิตร ละเลยปล่อยให้มีการยิงระเบิดเข้าที่ชุมนุมพันธมิตรหลายๆ คืนอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่เป็นเหตุให้ยึดสนามบินทำให้ผู้บริสุทธิ์เดือดร้อน !



ฝ่ายพันธมิตรเสียสละต่อสู้เพื่อประเทศชาติด้วยใจบริสุทธิ์ ถึงขั้นยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ก็ไม่เป็นเหตุให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงฆ่าฟันกัน ทำให้คนไทยเกลียดกัน แตกแยกกัน ด้วยการคุมสื่อด้านเดียว รับลูกกับผู้บัญชาการในต่างประเทศที่เตรียมให้เกิดการ “นองเลือด” ในประเทศ! ยิ่งหากผลพิพากษาให้ “ยุบพรรค” แล้ว ก็ถือได้ว่าหมดความชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจอีกต่อไป และท่านก็ควรยอมรับ



ดูแล้ว วิธีดีที่สุด คือ “เว้นวรรคความขัดแย้ง แสวงหาสันติภาพ และความชอบธรรม” อาจจะพักความขัดแย้งทางการเมืองสักปีหนึ่ง ทุกฝ่ายรอดูกระบวนการยุติธรรมเดินหน้า ด้วยสติ และรอบด้าน จะเห็นความผิดชอบชั่วดีได้ชัดเจน โดยคนไทยไม่ต้องใช้อารมณ์โกรธเกลียดต่อกัน และบ้านเมืองจะได้เข้าสู่สันติภาพและความชอบธรรมอย่างแท้จริงเสียทีครับ







ที่มา http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000141631

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น