++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2551

"จุดแข็งรัฐบาล-ฝ่ายค้านจุดอ่อน"

เปลวสีเงิน
"จุดแข็งรัฐบาล-ฝ่ายค้านจุดอ่อน"
25 ธันวาคม 2551 กองบรรณาธิการ

อืมมมม..นายกฯ อภิสิทธิ์ท่าน คมเข้ม เคลียร์-คัต ชัดเจน ในการพูดจาดีนะครับ ตั้งแต่เป็น "ผู้นำ" มานี่ ยังไม่แสดงความโลเล หน่อมแน้ม เป็นลูกแหง่ให้ปรากฏ มีแต่ความมั่นใจ เต็มร้อย "สมวัย-สมวุฒิ" ของคนเป็นนายกฯ แต่ได้ยินเจ้าสัวซีพี "ธนินท์ เจียรวนนท์" ออกมาเชียร์ ผมชักเสียวแทน เพราะตอนยุค "ทักษิณรุ่ง" เจ้าสัวซีพีก็ออกมาเชียร์อย่างนี้แหละ!

ในขณะที่ทั้งไทย-ทั้งฝรั่งปลื้มนายกฯ อภิสิทธิ์ แต่มีอยู่ ๒ รัฐมนตรีที่นักการเมืองฝ่ายค้าน คือพรรคเพื่อไทย และกลุ่มการเมืองท้องถนน คือพวกเสื้อแดง นอกจากไม่ปลื้มแล้ว ยังรุมกระ ซวกตั้งแต่วินาทีแรก นั่นก็คือ

๑.รัฐมนตรีต่างประเทศ ท่านกษิต ภิรมย์

๒.รัฐมนตรีกลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ

แต่รัฐมนตรีจาก ๔ พรรค ๑ กลุ่ม ส่วนหนึ่ง ผู้มีความเป็นมาซ่อนเร้น ดังเช่นนางสาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาฯ นายพฤติชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม จากพรรคเพื่อแผ่นดิน นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ จากพรรคมัชฌิมาฯ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม จากกลุ่มเพื่อนเนวิน เป็นต้น

ซึ่งล้วนแล้วแต่ "เพ่งอิ๊วซี้" กับพรรคเพื่อไทย-เพื่อระบอบทักษิณด้วยกันมาก่อน!

แต่พรรคเพื่อไทย และสุภาพบุรุษ-สุภาพสตรี "เสื้อแดง" ทั้งหลาย กลับไม่ติดใจ-สงสัยที่จะตรวจสอบ ทวงถามในคุณสมบัติที่มาเป็นรัฐมนตรี และก็ไม่ข้องใจด้วยว่า

" แต่ละคน เคยประกอบคุณงามความดีอะไรให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม เจ้าของสัมปทานพรรคร่วมจึงส่งให้มาเป็นตัวแทนในคณะรัฐบาลเพื่อบ้านเมืองยาม วิกฤติ?"

ดันไปข้องใจ-สงสัยเอากับ ๒ รัฐมนตรี "กษิต-ประวิตร" อันเป็นบุคคลมีคุณสมบัติเปิดเผย และมีประวัติงานการต่อสู้ที่สังคมรับได้ไม่ขัดเขินเสียนี่!

ฝ่ายค้าน.. แค่ "ตั้งโจทย์" ก็พลาดแล้ว ซึ่งก็น่าเห็นใจ แม้วสั่งมาเป็นรัฐบาล แต่เมื่อพลาด อดเป็นรัฐบาล ก็เลยกลายเป็น "ฝ่ายค้านจำเป็น"

จึงไม่ค่อยเป็น (ประสา)!

ฟังข่าวว่า พรรคเพื่อไทย "จองกฐิน" ฝ่ายรัฐบาลไว้ ๓ คน คือ นายอภิสิทธิ์ นายกษิต และพลเอกประวิตร

ใ นการประชุมสภาฯ นัด "แถลงนโยบาย" สัปดาห์หน้า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จะนำทีมฝ่ายค้าน "รุมสับ" ให้แหลกชนิดไม่แค้นคอกาอย่างนั้นเลยเชียว!

ก ็ไม่ทราบว่าวางแผนผิดหรือถูกที่กำหนดจุดยุทธศาสตร์ไว้อย่างนี้ แต่ก็แสดงให้ทราบว่า ในคณะรัฐมนตรีรัฐบาลอภิสิทธิ์ทั้ง ๓๕ คน ฝ่ายค้านวาง "จุดแข็ง" ไว้ที่ ๓ สระอิด คือ

"อภิสิทธิ์-กษิต-ประวิตร" !?

ดังนั้น เมื่อต้องการโค่นหรือตัดเขี้ยวรัฐบาล จึงมุ่งโจมตีตรง "จุดแข็ง" ผ่านคนทั้ง ๓ ตั้งแต่ยกแรก

ผ มว่ามันผิดตำราพิชัยสงครามอยู่นะ แทนที่จะโจมตีตรง "จุดอ่อน" รัฐบาล ซึ่งมีตั้งหลายคนจากพรรคร่วม แตะตรงไหนยวบตรงนั้น กลับไม่ยอมแตะ ดันไปทุ่มกำลังหวังทะลุ-ทะลวงตรงจุด " แข็งที่สุด" ของรัฐบาลซะนี่

แล้วอย่างนี้ "ฝ่ายค้าน" จะ "เสียฤกษ์-เสียชัย" ตั้งแต่ยกแรกเอาน่ะนา!?

เ อาอ่อนของเรา ไปปะทะแข็งของเขา แทนที่จะเอาแข็งของเรา ไปปะทะอ่อนของเขา แล้วแบบนี้..เมื่อไหร่จะได้กู้ชาติให้เจ้านายทักษิณสำเร็จล่ะ?

เอาความแค้นส่วนตัวเป็นแกนวินิจฉัย-ตัดสินใจสู้ศึก มันก็พลาดอย่างนี้แหละ ตอนนี้รัฐบาลก็เลยจับไต๋ได้ว่า "จุดตาย" ของพรรคระบอบทักษิณ อยู่ที่

กลัว-รัฐมนตรีต่างประเทศ และ

กลัว-รัฐมนตรีกลาโหม!

เหตุที่กลัวรัฐมนตรีกษิต เพราะรัฐมนตรีกษิต "ตัวจริง-ชัดเจน" ไม่ต้องการให้ทักษิณอิงอาศัย "กลไกกระทรวงการต่างประเทศ" เพื่อการล่องลอย-หลอกลวงอยู่ นอกประเทศสบายๆ อย่างที่ผ่านมา

ซ้ำรัฐมนตรีกษิต "ตัวจริง-ชัดเจน" นอกจากประกาศชัด ไม่เป็นเครื่องมือในการยกดินแดนยกผลประโยชน์ให้ต่างชาติ โดยเฉพาะกรณีปราสาทพระวิหาร แล้ว รัฐมนตรีกษิตยังเป็น สัญลักษณ์แห่งความโล่งใจของประชาชนคนไทยด้วยว่า

อะไรๆ ที่ระบอบแม้วใช้ "กลไกกระทรวงต่างประเทศ" ไปทำลับลมคมในไว้ โดยชาติต้องเสียหาย

รัฐมนตรีกษิตจะเข้าไปตรวจสอบ-ล้างระบบ ให้กระทรวงต่างประเทศคืน "ความโปร่งใส" ให้คนไทย-ประเทศไทยจริงๆ เสียที

น ี่ไง..พอ กษิต ภิรมย์ มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ พรรคเพื่อไทยจึงดิ้นเป็นไส้เดือนถูกขี้เถ้า เหมือนผีที่กลัวแสงไฟ เพราะรัฐมนตรีกษิตไม่ใช่คนอย่างนายนพดล ปัทมะ ไม่ใช่คนอย่าง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์

ที่ "ทักษิณส่งมา" เป็นรัฐมนตรีใต้บาทาแม้ว!

จ ึงไปหยิบเรื่องนอกประเด็นอันเป็นกระพี้ อย่างเช่นไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ไปให้สัมภาษณ์ชุมนุมยึดสนามบินว่าอาหารอร่อย ดนตรีไพเราะมาเป็น "จุดเปราะ" ของนายกษิตว่าไม่คู่ ควรตำแหน่ง

น ักการเมืองรุ่นใหม่ ใครที่จะขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีได้ มันต้องมีประวัติงาน-การต่อสู้เพื่อสังคมให้เป็นที่ประจักษ์อย่างนี้แหละจึง จะเจ๋ง

เหลืองเป็นเหลือง-แดงเป็นแดง-ดำเป็นดำ-ขาวเป็นขาว เป็นคนมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ จึงจะมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน คือควรมี "ความเป็นตัวตนชัดเจน"

นายกษิตขึ้นเวทีพันธมิตรฯ กลายเป็นข้อบกพร่อง เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ แต่นายสมัครขึ้นเวที นปช.ยกขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ คนนำขบวน นปช.ไปพังบ้านป๋าเปรม ก็ขึ้นเป็นรองประธาน รัฐสภาได้ ไม่เชื่อก็ไปถาม พ.อ.อภิวันท์

มองง่ายๆ ด้วยตรรกะเช่นนี้ ก็เห็นทีไม่ต้องโต้แย้งอะไรกันอีกมิใช่หรือ?

แต่ประเด็นที่ผมอยากให้ทุกคนได้ใคร่ครวญก็คือ บ้านเมืองที่มีปัญหาและแก้ไขไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็มาจาก "คนดี-คนเก่ง" แต่เห็นแก่ตัว คับแคบ เห็นบ้านเมืองมีปัญหาแทนที่จะช่วย กันในทางที่ช่วยได้

แต่กลับทอดธุระ แล้วอ้างว่า "ไม่ละ..ไม่อยากยุ่ง"!?

ทำตัวเป็นพลังเงียบบ้าง ขอเป็นกลางบ้าง ยกตนเป็นเทวดา แล้วว่าการเมืองเป็นนรก ไม่ต้องการลดตัวลงไปให้แปดเปื้อนบ้าง

คนประเภทนี้มีเยอะ และผมยอมรับว่าเขาเป็นดี ไม่มีอะไรต้องผิด เพราะทั้งชีวิตเขา "ไม่ได้ทำอะไร" เพื่อชาติ เพื่อสังคมเลย นอกจากคอยนั่งด่า นั่งตำหนิคนอื่นอย่างเดียว!

"นายกษิต ภิรมย์" เป็นนักการทูต และเกษียณออกมาเป็นราษฎรเต็มขั้น จัดชั้นว่าเป็นคนประเภท "เทวดาเดินดิน"

แต่ปรากฏว่า ยามบ้านเมืองมีปัญหาด้าน "วิกฤติศรัทธา" ต่อความซื่อสัตย์จากข้าราชการ และนักการเมืองเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน และเพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นายกษิตถ้าจะ ประพฤติตัวอย่างที่คนระดับท่านทั้งหลายประพฤติคือ "ธุระไม่ใช่" ก็จะมีชีวิตอยู่สุขสบายไปได้ทั้งชาติ

แต่เมื่อเห็นบ้านเมืองไม่สบาย ท่านทูตกษิตยอมสละความสบายชีวิตส่วนตัว ออกมาร่วมกระบวนการ "การเมืองข้างถนน" ร่วมกับพี่น้องประชาชน ซึ่งชีวิตท่านไม่เคยสัมผัสกับ สังคมแบบนี้มาก่อน

แต่ท่านร่วมต่อสู้เพื่อ "คืนธรรมและความถูกต้อง" ให้กับสังคมบ้านเมืองดังปรากฏ ความเป็น "ตัวตนชัดเจน" ของท่านอันหาได้ยากในสังคมยุคใหม่ ยุคที่มนุษย์ไร้สัจจะ และดวงใจซื่อเช่นนี้

ถ้าผมมีอำนาจ กี่ชาติ-กี่ปี ผมก็จะตั้ง "ท่านทูตกษิต" คนนี้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศตลอดไป!

ทำไม..ตั้ง "คนเอาแม้ว" ให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศได้ โดยไม่มีใครด่า-แช่ง

แต่พอตั้ง "คนไม่เอาแม้ว" ให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศขึ้นมาบ้าง พวกอึ่งอ่าง บ่าง ทาสแม้ว กลับดิ้นกระแด่ว จะเป็นจะตายกันขึ้นมาทันที?!

"พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ" ก็ทำนองนั้น ถ้าจะเกี่ยงว่า "มีคุณงามความดีอะไรต้องให้มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม?"

ตอบได้เลยว่า แค่ "ความชั่วไม่มี-ความดีไม่ปรากฏ" ก็เป็นคุณสมบัติเหนือกว่านายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ไปนั่งควบรัฐมนตรีกลาโหมแล้ว!

ผมได้ยินที่ตั้งแง่ว่า "ทหารเข้ามายุ่งเกี่ยวการเมือง" แล้วโยงว่า การมาของพลเอกประวิตร มาในฐานะ "กองทัพส่งมา" แล้วก็คันใจในแง่ว่า ไหนๆ จะเป็นฝ่ายค้าน ไปทำ การบ้านมาให้มากกว่านี้ซักหน่อย แล้วค่อยมาชำแหละเถอะ

ไม่ใช่ถามว่า "แผลเป็นตรงไหน?" ก็มักง่ายชี้ไปที่ "ง่ามตูด"!

" อะไรบ้างล่ะที่ไม่ใช่การเมือง?" ฝ่ายค้านตอบซิ กระทั่งโจร หรือขอทาน ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง เพราะต้องมีมหาดไทย มีกระทรวงแรงงาน คอยบริหาร

แ ล้วนี่ทหาร หรือ "กองทัพ" ของประเทศ จะไปบอกว่า "อย่าเข้ามาเกี่ยวข้องการเมือง" ผมว่ามันพูดได้ แต่ถ้ามีสติ-สัมปชัญญะ และมีความเข้าใจในเรื่องกลไกการบริหาร การปกครอง ประเทศ

จะไม่ยกเอา "นามธรรม" อันว่าด้วยเส้นแบ่งแห่งความยุ่งเกี่ยวระหว่าง "ทหาร-การเมือง" มาพูดให้เป็น "รูปธรรม" ผ่านการเอาคนชื่อ "พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ" มาตั้งเป็นรัฐมนตรีกลาโหม หรอก

นี่ถ้าเอา "พลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร" หรือ "พลเอกเรืองโรจน์ มหาศรานนท์" มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม พรรคเพื่อไทยก็คงไม่ตั้งข้อหาว่า ทหารยุ่งเกี่ยวการเมือง หรือกองทัพส่งมา หรือสืบ ต่ออำนาจเผด็จการ คมช.ใช่มั้ย!?

พลเอกประวิตร ท่านดำรงวิถีอยู่ในกรอบ และมีคุณงามความดีที่ฝ่ายการเมืองมองเห็น และน่าจะได้รับการยอมรับจากคนในสถาบันกองทัพ ย่อมสานประโยชน์ "กองทัพ-การเมือง" ให้เป็นไป "เพื่อบ้านเมือง" อย่างมีประสิทธิภาพ

การเอาคนอย่างท่านมาบริหารง านกองทัพ มันก็ "น่ากลัว" สำหรับคนฝังหัวในระบอบทักษิณ แต่มันน่าดีใจสำหรับ "อนาคตประเทศไทย" ที่ส่วนหนึ่งฝากไว้กับสถาบันกองทัพ

ยิ่งท่าน "ไม่มีหลังบ้าน" นอนเฝ้าปืนหน้ากลาโหมได้สบายเลย!

สำหรับนายอภิสิทธิ์ คงไม่ต้องโต้แย้งถึง "จุดแข็ง" เพราะโดยสภาพหนุ่มทั้งแท่งอย่างท่าน พูดได้คำเดียวว่า "แข็งทั้งตัว" อยู่แล้ว

นาทีนี้ ไม่มีใครแย่งเอาความปลื้มจากชาวบ้านไปได้เท่านายอภิสิทธิ์ ขนาด "คุณยายเนียม" ยังต้องนอนละเมอ เพ้อหาแต่นายกฯ แหวนทองเหลือง

ฉ ะนั้น ที่ฝ่ายค้านยกประเด็นปัญหาขึ้นมา "เป็นด่านหน้า" ปรามาส-ท้าทายนายอภิสิทธิ์นั้น คำตอบก็คือว่า ปัญหาบรรดามีขณะนี้ ส่วนหนึ่งก็คือ ปัญหาที่พวกท่านสร้างไว้ให้ตอนเป็นรัฐบาล และอีกส่วนก็คือ ที่พวกท่านไม่เคยได้แก้อะไร ซ้ำหมกปัญหาทิ้งไว้ทั้งด้านการเมือง และการสังคม.

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=25/Dec/2551&news_id=167201&cat_id=200

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น