โดย อัญชะลี ไพรีรัก
เขาว่ากันว่า อากาศหนาวเย็นที่ปกคลุมประเทศไทย และทั่วโลกเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับโลกของเราเสียแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่า พายุหิมะถล่มลาสเวกัสในรอบ 35 ปี แถมมีหิมะตกหนักในอิหร่าน และอาร์เจนตินามากที่สุดในรอบ 25 ปี คงไม่น่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของฤดูหนาวที่เราจะมองผ่านเลยไป
เพราะนี่คือ ผลกระทบที่เห็นได้ด้วยตาเจอด้วยตัวเองจาก “ภาวะโลกร้อน” ที่นักวิทยาศาสตร์พร่ำเตือนกันมาหลายปีแล้ว โลกของเรากำลังร้อนระอุขึ้นจาก “อุตสาหกรรมหนัก” ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนปกคลุมชั้นบรรยากาศ ทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น กระแสน้ำเย็น – น้ำร้อนสลับสับเปลี่ยนวุ่นวาย และน้ำแข็งขั้วโลกกำลังค่อยๆ ละลายกลายเป็นกองทัพน้ำจำนวนมหึมา
อีกไม่นาน...ที่เขาว่ากันว่า น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว และหิมะจะตกในเมืองไทย ก็คงจะไม่ใช่เรื่องไกลเกินความจริง
ถึงกระนั้นบ้านเรายามนี้ก็มีฤดูหนาวกับเขาเสียที นึกว่าจะมีแต่ร้อนกับร้อนมาก ดังนั้นอากาศดีๆ อย่างนี้ สมควรแก่สวมเสื้อหนาวตัวสวย เดินยิ้มแต้ แล้วออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านจะดีทีเดียวเชียว โดยเฉพาะการขับรถกินลมชมวิว
อาทิตย์ก่อน “พี่จิ๋ม” อดีตผู้บริหารของบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองไทย ที่เกษียณอายุการทำงานก่อนถึงวันอันควร เพื่อมาเป็น “พันธมิตรฯ” ห้อรถเปอโยต์สปอร์ตเปิดประทุนรุ่นล่าสุดมารับถึงหน้าบ้านพระอาทิตย์ เพื่อมาชวนไป “กินลมชมวิว” ที่ชานเมือง
“ชานเมือง” ของพี่จิ๋ม คือ สุพรรณบุรี และจุดหมายแรกของการทัศนาจรของผู้หญิงเนื้อแน่นหนาปึ๊กสองคน คือ การไปเยือนมังกรทองยักษ์ใหญ่มหึมาที่พิพิธภัณฑ์สายเลือดมังกร
คะเนว่าที่นี่น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวคนจีนบนแผ่นดินสยา ม โดยเฉพาะคนจีนในแถบลุ่มแม่น้ำท่าจีน ซึ่งเขาลงลึกไปในรายละเอียดของคนจีนในเมืองสุพรรณบุรีแต่ครั้งหอบเสื่อผืน-ห มอนใบมาขายกาแฟที่ตลาดท่าเรือ และบางจุดลงรายละเอียดชัดเจนแจ่มแจ๋วเจาะเข้าไปในตำนานของ “มังกรเติ้ง”
มองคร่าวๆ โฉบๆ ก็ได้แต่ร้อง “อ๋อ” เล่นกันอย่างนี้นี่เอง...เล่นไม่ยาก...สูตรเดิมของคนเตี้ยผู้ไม่ยอมปากแห้ง
เวลานี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล นำเอาพิพิธภัณฑ์มังกร แห่งสุพรรณบุรีมาเป็นจุดขายด้วยแห่งหนึ่ง เห็นโฆษณาโปรโมตกันครึกโครมพอๆ กับสวนน้ำบึงฉวากนั่นเชียว
ไปเมืองสุพรรณแล้วก็ให้แต่นึกอิจฉาคนสุพรรณบุรี ที่มีนักการเมืองรักบ้านรักเมืองตอบแทนบุณคุณถิ่นฐานบ้านเกิด โหมพัฒนาเมืองสุพรรณเสียใหญ่โตสมฐานะ ชมเมืองสุพรรณแล้วชื่นใจ เมืองนี้แสนร่มรื่นงดงาม น้ำไหล ไฟสว่าง ถนนกว้าง ทางโล่ง และหอคอยสวย
ช่างเป็นเมืองที่มีคุณค่าที่คุณคู่ควรสมใจบรรหาร-แจ่มใส เสียจริงๆ เทียว
นอกจากนี้พี่จิ๋มยังพาไปสักการะ “หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลย์” ด้วย ได้เจอพันธมิตรฯ สุพรรณบุรีเพียบเลย พี่น้องของเรากุลีกุจอมาชักชวนไปเที่ยว “ตลาดสามชุก” ซึ่งเป็นตลาดอนุรักษ์ 100 ปี มีคนมาท่องเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะวันสุดสัปดาห์
ตลาดสามชุกเป็นตำนานการต่อสู้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อก่อนที่นี่เป็นตลาดสดทำมาค้าขายกันคึกคัก ท่าเรือสามชุก เป็นท่าเรือสำคัญของเมืองสุพรรณแห่งหนึ่งด้วย คนแถบนี้จึงล้วนแต่มีฐานะ และส่งลูกหลานเรียนหนังสือสูงๆ ทั้งนั้น
นานๆ เข้ากาลเวลาก็พาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และเสื่อมโทรมมาสู่สามชุก เมื่อสามชุกสิ้นมนต์ขลังหมดความนิยมลงไป ผู้คนก็พากันแหนงหน่าย หันไปจับจ่ายใช่สอยในห้างสรรพสินค้า และดีพาร์ตเมนต์สโตร์จากต่างแดนมากขึ้น
ทว่าคนสามชุกเป็นนักสู้ พวกเขารวมตัวกันต่อต้านการบุกรุกของห้างค้าปลีกข้ามชาติที่มาจ่อคอหอยที่ปาก ทางเข้าตลาดสามชุกอย่างไม่ย่นระย่อท้อ
ในที่สุดเกิดการรวมตัวของพันธมิตรฯ สามชุก มีการตั้งคณะกรรมการจากตัวแทนของผู้คนในชุมชน เพื่อประชุมหารือวางแนวทางแก้ไขสถานการณ์ตลาดสามชุกที่พวกเขาเรียกว่า “เงียบจนหูอื้อ”
สุดท้ายมติของที่ประชุมสั่งลุย คนสามชุกจึงสวมหัวใจนักสู้ ประกาศ “ไอ้เสือเอาวา” รบกับมันทุกรูปแบบไม่นับจำนวนม้วน เอาแค่ “ชนะ” ไม่ชนะไม่เลิกรบ
ในที่สุดพวกเขา สรุปความคิด คือ 1. ปรับตลาดสามชุกให้เป็นตลาดอนุรักษ์วัฒนธรรม 2. ทำโฆษณาประชาสัมพันธ์กับสื่อด้วยตัวเอง และ 3. ไม่มีวันก้มหัวให้นักการเมืองโกงบ้านกินเมืองที่อยู่เบื้องหลังห้างค้าปลีกข ้ามชาติที่มารุกรานคนสามชุกอีกต่อไป...ลุย
คนสามชุกจึงพร้อมใจกันลุกขึ้นมาขัดสีฉวีวรรณ และปัดฝุ่นบ้านเรือนของตัวเอง จากนั้นก็ป่าวประกาศไปตามสื่อมวลชนต่างๆ เชื้อเชิญให้คนเหล่านั้นมาเยือนตลาดสามชุกยุคปรับปรุงใหม่ ที่เน้นบรรยากาศการย้อนอดีตเรือนโบราณของตลาดริมน้ำ และ อาหารรสมือแม่ ของแท้รสชาติดั้งเดิมแห่งเมืองสุพรรณบุรีมาเป็นจุดขาย
ไม่นานนักหลังข่าวสารความน่ารักอันอบอวลด้วยกลิ่นอายตลาดโบราณออกสู่ สายตาประชาชน ผู้คนไม่รู้มาจากไหนก็หลั่งไหลมาเที่ยวตลาด 100 ปี สามชุกกันเนืองแน่น
ในที่สุด “ตลาดสามชุก100 ปี” เกิดใหม่ คนสามชุกเอาชนะห้างค้าปลีกข้ามชาติ และไม่แยแสที่ถูกทางการทอดทิ้งอีกต่อไป เขาเดินหน้าขายความเก่า ขายเอกลักษณ์ไทยเดิมๆ ที่คนสมัยนี้โหยหา จนในที่สุดร้านรวงต่างๆ ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หยิบจับต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศกันไม่ทันทีเดียว
ขายไม่ดีก็เดือดร้อน พอขายดีก็เดือดร้อนอีก คราวนี้ร้อนถึงกับพ่อแก่แม่เฒ่าหลายๆ บ้าน ต้องเรียกลูกๆ หนุ่มสาวกลับจากกรุงเทพฯ มาช่วยกันขายของในวันสุดสัปดาห์ที่แสนยุ่งขิง
ตัวอย่างเช่น ร้านข้าวแกงโบราณ ที่ปากทางตลาด ร้านนี้มีพ่อ แม่ และลูกชายรูปหล่ออีกสองคนช่วยกันตัก ช่วยกันเสิร์ฟ และล้างถ้วยชามลามไหชุลมุน ถามไถ่ได้ความว่า พ่อกะแม่เป็นอาจารย์สอนหนังสือ แต่วันหยุดชวนลูกๆ มาขายอาหาร ลูกชายคนโตเป็นวิศวรกรน้ำมัน ส่วนลูกอีกคนทำงานโฆษณาอยู่บริษัทใหญ่โต เงินเดือนของสี่คนพ่อแม่ลูกไม่ต้องพูดถึงอยู่ได้อย่างสบายๆ แต่ที่มาขายข้าวแกงวันหยุด เพราะแม่ชอบ และ อยากเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแพร่ข้าวแกงสูตรไทยดั้งเดิมให้นักท่องเที่ยว ทำไปทำมาไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว เพราะรายได้หักกลบลบต้นทุนเหลือกำไรพอได้นั่งยิ้ม
หรือที่ร้านกาแฟโบราณ ที่ตั้งอยู่หัวมุมกลางตลาดสามชุกก็น่าสนใจ ที่นี่เป็นเรือนแถวไม้สองชั้น ในร้านวางโต๊ะหินอ่อนโบราณนับ 10 ชุด เคาน์เตอร์ชงกาแฟเก่าแก่คร่ำคร่าน่ามอง แสดงออกได้ว่าโต๊ะชุดนี้รับใช้คนชงมาแล้วหลายชั่วอายุคน กลิ่นกาแฟคั่วใหม่ของร้านนี้หอยฉุยไปแต่ไกล ใครต่อใครก็ต้องแวะเวียนมานั่งกินกาแฟรับลมชมวิวแม่น้ำท่าจีนที่นี่กันทั้งน ั้น ที่นี่จึงเป็นร้านเก่ากับคนใหม่
สำหรับร้านนี้อย่าทำเป็นเล่นไป ไม่เพียงกาแฟจะอร่อยเลิศล้ำเกินรำพันเท่านั้น แต่คนชงผัว-เมีย ยังเป็นผู้จัดการธนาคารทั้งคู่ด้วย ส่วนคนคั่วเมล็ดกาแฟหลังร้านที่หน้าตามอมแมมด้วยควันไฟนั่น ก็เป็นน้องชายคนชงที่วันปกติจะทำงานอยู่องค์การสหประชาชาติ กรุงเทพฯ และวันเสาร์ -อาทิตย์มาช่วยพี่ชาย และพี่สะใภ้คั่วกาแฟ
ความว่า นี่เป็นอาชีพดั้งเดิมของเตี่ยกับแม่ ที่ชงกาแฟเลี้ยงลูกมาด้วยความวิริยะ อุตสาหะ และอดออมถนอมทรัพย์ จนลูกชายหญิงเรียนหนังสือจบสูงๆ เป็นใหญ่เป็นโตกันถ้วนหน้า
แต่สมาชิกเหล่านี้ไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง เมื่อสามชุกกำลังขาดใจตาย พวกเขาเอาความรู้มาช่วยบ้านเกิดเมืองนอน และชุบชีวิตคืนชีวาให้ตลาดสามชุกด้วยร้านกาแฟโบราณที่กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยไ ปทั้งคุ้งน้ำไม่ผิดเพี้ยนจากที่เตี่ยและแม่เคยทำขาย
ตลาดสามชุกมีเสน่ห์และของขายมากมาย ทั้งของกิน ของใช้ ทั้งร้านขายของเก่า ร้านถ่ายรูปโบราณ และพิพิธภัณฑ์ อยากได้อะไรที่เคยตราตรึงใจในอดีต ย้อนรำลึกความฝันความฝังใจในวันวานได้ที่ตลาดสามชุก 100 ปี
คนสามชุกเล่าว่า กว่าที่ตลาด 100 ปีจะเอาชนะห้างค้าปลีกข้ามชาติได้ก็แทบแดดิ้น ดีเสียว่าลูกหลานคนสามชุกไม่นั่งนิ่งดูดายยอมตายไปทั้งๆ ที่ไม่ได้สู้ เมื่อพวกเขาลุกขึ้นสู้ด้วยสติ ด้วยความรู้ และด้วยความอดทน พวกเขาได้พบว่า ชัยชนะของสามชุกที่ได้มาช่างแสนหอมหวาน และบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างกลางหาว
แนวรบของสามชุกไม่เพียงแต่จะพลิกฟื้นคืนความสดใสให้กับตลาดสามชุก และชีวิตคนในตลาดแห่งนี้เท่านั้น แต่การต่อสู้ที่แสนทรหดของพวกเขายังพลิกฟื้นความมั่นใจในการต่อสู้ภาคประชาช นอีกด้วย
จากตลาดสามชุกที่กำลังยืนกำลังตายซาก จนถึงการพลิกโฉมกลับมาฉลุยยิ่งกว่าเดิมนั้น ตลาดสามชุกสู้มาด้วยตัวเอง โดยไม่มีนักการเมืองหน้าไหนปลายตามาเหลียวแลเลยแม้แต่คนเดียว
ไ ม่มีนักการเมืองยื่นหน้ามาช่วย ก็แปลว่า ไม่มีงบการเมืองยื่นมือมาพยุง ...นี่คือเหตุผลว่าทำไมนักรบสามชุกจึงกลายมาเป็นนักรบมือตบในวันนี้ และคอนเสิร์ตการเมืองครั้งสำคัญกำลังจะเปิดเวทีที่สามชุก ....เรือน้อยกำลังจะไปเทียบท่าเรือสามชุกแล้วพี่น้องเอ๋ย
เที่ยวตลาดสามชุกได้ทั้งความสนุก และข้อคิด จากประสบการณ์ได้บอกกับเราว่า ที่ใดมีบรรหารที่นั่นย่อมมีงบประมาณ...ใช่หรือไม่ใช่ พี่น้อง
กลับจากตลาดสามชุกแล้วก็ให้ติดใจ เมื่อลมหนาวพัดโบกโบยโชยชื่นใจอย่างนี้ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ขับรถกินลมชมวิว ...ล่าสุดขับรถไปงานสวัสดีปีใหม่ที่โรงเรียนผู้นำของลุงจำลอง จ.กาญจนบุรี
ขาไปแวะกราบสวัสดีปีใหม่กับหมอเดชา สุขารมย์ และครอบครัว ที่บ้านพักซึ่งอยู่ถึงก่อนโรงเรียนผู้นำนิดหน่อย
คุณหมอเดชาอารมณ์ดีเสมอๆ พาพวกเราพี่ๆ น้องๆ จากเวทีพันธมิตรฯ ไปกินข้าวรับลมเย็นๆ ที่แพธาราบุรี ริมแม่น้ำไทรโยค ย่านนั้นเป็นย่านลือชื่อด้าน “แพเธค” มองไปทางไหนก็เจอแต่แพ ...แพ และแพ บางแพเป็นร้านอาหาร บางแพเป็นคาราโอเกะ แต่บางแพเป็นดิสโก้เธค โอ๊ยตาลาย
กินข้าวไปชมวิวไป คุณหมอเดชาอารมณ์ดีเลยดูหมอไคโรให้พี่อมร อมรรัตนานนท์ ดูไปดูมาเลยเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ต้อนรับดวงดีที่กำลังมาถึงจาก “อมร” เลยกลายเป็น “อมรเทพ” จากดวง “เจ้าเสน่ห์” กลายเป็นดวง “นักรบผู้ชนะทุกสารทิศ”
ค ุณหมอเดชาอธิบายว่า ตำราหมอดูไคโรมีที่มาจากประเทศอียิปต์ เขาให้ดูง่ายๆประกอบกันหลายประการ ทั้งวัน เดือน ปี เกิด และชื่อเสียงเรียงนาม โดยนับชื่อ สกุล ได้เท่าไรเอาตัวเลขมารวมกันให้เหลือ 1 หลัก ถ้าได้เลข 1 หรือ 2 คือ ตั้งต้นใหม่เสมอ เลข 3 คือ รุ่งเรือง เลข 4 คือ ตายจาก เลข 5 คือ ความสำเร็จในทุกด้าน เลข 6 คือ เจ้าบทเจ้ากลอนยอดนักรัก เลข 7 คือ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เลข 8 คือ การเดินทางไปสู่ความตายก่อนถึงวัยอันควร และเลข 9 คือ โชติช่วงชัชวาล...เชื่อก็เชื่อ...ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ...แล้วแต่วิจารณญาณ
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้เลขเท่าไร นับกันเอาเอง
แต่น่าพิศวงคือ สมาชิกในบ้านบรรหาร ศิลปอาชาทุกคน ไม่ว่าจะเป็นภรรยา และลูกชาย-หญิง ทุกคนมีชื่อรวมนามสกุลตกเลข 5 เหมือนกันหมด
น่าพิศวงไปยิ่งกว่านั้นเมื่อไปคำนวณดูจากรายนามของคนในครอบครัว ทักษิณ ชินวัตรจะพบว่า น้องๆ รวมถึงข้าทาสบริวาร คนในคณะรัฐมนตรีของเขา ล้วนแล้วแต่มีชื่อ นามสกุล นับรวมกันได้เลข 4 หมด ยกเว้น “เมียเก่า” ดวงแข็งพลังอำนาจโชคลาภเสริมอดีตผัวดีเลิศ นับแล้วได้เลข 3 มั่งคั่งอลังการ....โถอย่างนี้แล้วยังตัดใจทิ้งได้ลงคอ ไม่น่าเลยเจ็บใจแทนยิ่งนัก
แต่ชะรอยในกงกรรมของทักษิณย่อมมีดีปนบ้างนะ เหมือนกับลูกชิ้นเนื้อแหละ ลองมีลูกชิ้นเนื้อล้วน ก็ย่อมมีลูกชิ้นเอ็นปนด้วย
เพราะคนที่เนรคุณจากเขาไปทุกคนทุกกลุ่ม มีชื่อ นามสกุล นับแล้วรวมกันได้เลข 2 ซึ่งแปลว่า เริ่มต้นใหม่ตลอดศกทั้งนั้นเลย...แต่ขอโทษนะพรรคใหม่ “ภูมิใจไทย” รวมแล้วได้ 9 อ่ะ
กินข้าวเคล้าดูหมอ กับหมอเดชาแล้วสนุกดี ไม่อยากจากกันเลย แต่ก็นั่นละทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา พวกเราลาคุณหมอ และภรรยาแสนสวย “พี่แต๋ว” กลับไปโรงเรียนผู้นำ
โอ๊ยหนาวจับขั้วหัวใจ โรงเรียนกลางขุนเขาช่างหนาวอะไรอย่างนี้หนอ ว่ากระนั้นแล้วก็ชวนผู้คนกว่าห้าหมื่นคนร้องเพลง เหน็บหนาวของพี่ยุพข่านกันดีกว่า
ร้องเพลงไป ฟังปราศรัยของแกนนำกลางโรงเรียนผู้นำไป บางคนนั่งฟัง บางคนนอนดูดาวสวย และทุกคนปักหลักพักค้าง ตื่นมาเช้าวันใหม่มีกำลังวังชา ร่างกายแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง พร้อมสู้กันต่อไป
จนกว่าสายลมรักจะเอื้ออาทร ให้เจ้าจรถึง “การเมืองใหม่”
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000004358
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆคับ
ตอบลบ