โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
อมรรัตน์ ล้อถิรธร...........รายงาน
คด ีคนร้ายสังหาร “เจริญ วัดอักษร”แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอกและต้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก ไม่เพียงตีแผ่ความฉาวและความเหี้ยมโหดของคน(บางคน)ในตระกูล “หินแก้ว”ที่สวมบทเป็นทั้งมือปืนและผู้จ้างวานฆ่านายเจริญ แต่ยังสะท้อน “สันดาน”ของคนบางคนเหล่านี้ ที่เห็นประโยชน์ส่วนตนสำคัญกว่าคำว่า “เพื่อน” จึงสามารถทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งการฆ่าเพื่อนและขายบ้านเกิดของตัวเอง เพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนไว้
หากย้อนเวลากลับไป ก่อนหน้าที่นายเจริญ วัดอักษร ประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก ต.บ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และแกนนำต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอก จะถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2547 แทบไม่น่าเชื่อว่า บุคคลที่ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ต่างเป็นเพื่อนที่รู้จักกันดีกับนายเจริญมาก่อน ไม่ว่าจะมือปืน คือ นายประจวบ หินแก้ว และนายเสน่ห์ เหล็กล้วน หรือแม้แต่ผู้จ้างวานอย่างนายธนู หินแก้ว ที่เป็นถึงทนายความ และนายมาโนช หินแก้ว ที่เป็นถึง ส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ และนายเจือ หินแก้ว อดีตกำนัน ต.บ่อนอก ก็รู้จักมักคุ้นกับนายเจริญเป็นอย่างดี
แต่ความสัมพันธ์ฉันเพื่อน ก็มาขาดสะบั้นลง เพียงเพราะมีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินบ่อนอกที่จะเข้าไปผุดขึ้นในพื้น ที่ และให้บังเอิญว่า นายเจริญมีความคิดเห็นทางหนึ่ง คือ คัดค้านโครงการดังกล่าว เพราะประเมินแล้วว่า โรงไฟฟ้าจะนำหายนะมาสู่พื้นที่และชุมชน แต่เพื่อนที่คบกันมาแต่ไหนแต่ไรอย่างนายเสน่ห์ไม่คิดอย่างนั้น กลับเห็นถึงประโยชน์ที่โรงไฟฟ้าหยิบยื่นให้ นายเสน่ห์จึงไปทำงานสนับสนุนโรงไฟฟ้าร่วมกับตระกูลหินแก้ว นางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ ย้อนความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งหมดให้ฟัง
“ต้องบอกว่ารู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะตัวของดิฉันกับตัวเจริญ เพราะนายเสน่ห์นี่ต้องบอกว่า กินเที่ยวนอนอยู่ด้วยกันกับเจริญสมัยวัยรุ่น คือเจริญเขาเป็นคนที่มาตั้งรกรากอยู่ที่บ่อนอก คือมาจากที่อื่น มาอยู่บ่อนอกประมาณ 20 ปีแล้ว มาอยู่ตั้งแต่สมัยเริ่มจะเป็นวัยรุ่น ก็คือ มาเที่ยวมากินมานอนมากินข้าวหม้อเดียวกันอยู่กับนายเสน่ห์ แต่พอมามีปัญหาเรื่องโรงไฟฟ้า ก็คือ เขาอยู่อีกขั้วหนึ่ง คือเห็นแก่ประโยชน์ที่โรงไฟฟ้าหยิบยื่น และไปร่วมทำงานกับโรงไฟฟ้า สนับสนุนโครงการโรงไฟฟ้าร่วมกับนายเจือ หินแก้ว นายธนู หินแก้ว นายมาโนช หินแก้ว บ้านตระกูลหินแก้ว เพราะเขาเป็นลูกน้องกันอยู่ด้วย แต่ส่วนของพวกเราก็ไม่ได้เห็นอย่างนั้น กลับเห็นอีกแบบหนี่ง ถ้าเกิดการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ต้องเรียกว่า ถ้าภาษาชาวบ้านก็บอกว่า “นำความฉิบหายมาให้ชุมชนเรา” ใช่มั้ย”
“เราก็เลยเห็นอีกแบบหนึ่ง ก็เป็นความคิดเห็นที่ต่างกัน เราก็เลยไม่คบไม่ค้าไม่พูดคุยกัน เพราะในช่วงนั้นต้องถือว่าเป็น “มาตรการทางสังคม”ในชุมชนเรา เราจะบอยคอตคนเหล่านี้ จะไม่คบไม่ค้าไม่พูดไม่คุย มันก็เลยต่างคนต่างอยู่ และสำหรับกลุ่มผู้ต้องหาที่นอกเหนือจากนายเสน่ห์ ถ้าถามว่า รู้จักดีมั้ย? ต้องบอกว่า รู้จักกันดีมาก นายประจวบ หินแก้วก็รู้จักกันดี นายธนู หินแก้ว นายมาโนช หินแก้ว นายเจือ หินแก้ว คือถ้าโดยลำดับสายญาติ ก็ต้องถือว่า เป็นญาติกับตัวดิฉันด้วย เป็นลูกพี่ลูกน้องกันด้วยซ้ำไป ก็รู้จักกันดี แต่มามีปัญหากันเรื่องโรงไฟฟ้า ก็คือ เลิกคบเลิกค้ากันไป แต่ถ้าถามว่า เจริญเคยมีปัญหาส่วนตัวกับนายประจวบ นายเสน่ห์มั้ย ต้องตอบยืนยัน 100% เลยว่า ไม่มี เพราะที่ผ่านมาก็คือเป็นเพื่อนกัน แต่พอมามีปัญหาเรื่องโรงไฟฟ้า ก็คือต่างคนต่างอยู่ และไม่เคยพูดจากระทบกระแทกกระแนะกระแหนหรือเจอหน้าด่าทออะไรกัน ไม่เคย ก็คือไม่คุยกันเลย ต่างคนต่างอยู่”
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างนายเจริญกับตระกูลหินแก้วของกำนันเจือ-ทนายธนูและ สจ.มาโนชนั้น นางกรณ์อุมา ยอมรับว่า มีการกระทบกระทั่งกันมาตลอด ไม่เพียงเรื่องโรงไฟฟ้าเท่านั้น แต่ตระกูลหินแก้วยังมีปัญหาเรื่องบุกรุกที่สาธารณะคลองชายธงด้วย นายเจริญจึงได้คัดค้านและชวนชาวบ้านบอยคอต จนตระกูลหินแก้วหมดสภาพ ไม่มีใครนับหน้าถือตาอีกต่อไป
“สำหรับกลุ่มของกำนันเจือ ทนายธนู หรือ สจ.มาโนช หินแก้ว ต้องยอมรับว่า มีเรื่องกระทบกระทั่งกันมาโดยตลอด แต่อาจจะไม่ใช่โดยตรงนัก หมายถึงว่า เจอหน้าแล้วด่ากัน อย่างนี้อาจจะไม่ใช่ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต้องเรียกว่า เขาเป็นหัวโจกในการสนับสนุนโครงการ(โรงไฟฟ้า) พวกเราก็บอยคอตเขาว่า จะไม่คบไม่ค้า ทำให้คนที่เคยนับหน้าถือตา เมื่อก่อนเขาเคยเป็นคนที่มีคนนับหน้าถือตาในชุมชน เป็นกำนัน อดีตกำนัน เป็น สจ. พวกเราก็คือทำให้เขาเหมือนหมดสภาพ จากการเป็นผู้ทรงเกียรติในชุมชน ไม่เคารพนับถือ ไม่ร่วมสังฆกรรมกับเขา เวลามีงานศพ งานบวช งานแต่ง เวลาเขามางาน เจ้าภาพเองก็จะรู้สึกอึดอัด ในส่วนของเจ้าภาพที่คัดค้านโรงไฟฟ้า ผู้ที่เขาคัดค้านเขาจะรู้สึกอึดอัด เพราะชาวบ้านจะไม่พูดด้วย จะรู้สึกว่า แล้วไปต้อนรับคนพวกนี้ทำไม สุดท้ายเขา(ตระกูลหินแก้ว)ต้องปิดตัวเองไปโดยปริยาย โดยไม่ได้มาร่วมสังฆกรรมกับพวกเราในส่วนของคนที่คัดค้านโครงการโรงไฟฟ้า เขาก็จะมีในส่วนของพวกเขา”
“และหลังจากนั้นเจริญเอง ก็จะชอบรณรงค์ชาวบ้านหรือเวทีชุมนุมหรือไฮปาร์ก เจริญก็จะพูดเสมอ คือเรียกคน 3 คนนี้ว่า “ไอ้ 3 ทรราช”ตลอด เจริญบอกว่า เป็นคนที่”ขายบ้านเกิดกิน” และรณรงค์ไม่ให้คนเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท.ของเขา จนเขาต้องปิดกิจการลง อย่างนี้ก็ถือว่า เราเคยมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน และกลุ่มคนเหล่านี้ ต้องบอกว่า นอกจากสนับสนุนโครงการโรงไฟฟ้าแล้ว ก็ยังเป็นกลุ่มคนเดียวกันกับที่ไปบุกรุกที่สาธารณะ พื้นที่คลองชายธง ที่เจริญไปคัดค้านอยู่”
การที่นายเจริญเป็นแกนนำคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินบ่อนอกไม่ให้เข้ามาตั้งในพื้ นที่ แม้จะทำได้สำเร็จ เพราะในที่สุด ได้มีการย้ายโครงการไปสร้างที่อื่นแทน แต่ก็เหมือนเป็นความสำเร็จที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตที่ต้องจบลง ด้วยวัย 37 ปี สำหรับนางกรณ์อุมา ในฐานะภรรยาแล้วเชื่อว่า สาเหตุการถูกยิงของนายเจริญ มาจากเรื่องโรงไฟฟ้าแน่นอน ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัวกับนายเสน่ห์หรือนายประจวบ ที่เปลี่ยนบทบาทจาก “เพื่อน” มาเป็น”มือปืน” แ น่นอน ดังนั้นนางกรณ์อุมา จึงหวังมาตลอดว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)จะช่วยนำคนที่อยู่เบื้องหลังที่จ้างวานฆ่านายเจร ิญมาลงโทษได้ หลังจากที่เคยผิดหวังกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่มาแล้ว
“เราพึ่งหวังอะไรไม่ได้ ในวันที่เจริญถูกยิงตาย ต้องเรียนตรงๆ ว่า การมาของเจ้าหน้าที่ตำรวจเองต้องถือว่า มาในที่เกิดเหตุช้าผิดปกติ และหนำซ้ำจากคำบอกเล่าของพยานแวดล้อม คือเห็นในระยะไกลว่า เจริญถูกยิง ก็เห็นทิศทางว่า มือปืนขับมอเตอร์ไซค์ไปทางไหน หลบหนีทางไหน การติดตามจับกุมในคืนนั้น ไม่เกิดขึ้นเลย และหลังจากที่เราได้นำเจริญไปส่งที่โรงพยาบาล จริงๆ แล้วในคดีฆาตกรรมอย่างนี้ ต้องมีการนำศพส่งนิติเวช และให้ผ่าพิสูจน์ พิสูจน์หัวกระสุนว่า เป็นปืนชนิดไหนอะไร เพื่อที่จะนำหลักฐานเหล่านี้มาประกอบในคดีถ้ามีการจับกุมผู้ต้องหา แต่ปรากฏว่า การดำเนินการในวันนั้น ตำรวจของท้องที่เขาทำเพียงแค่มาชันสูตรศพ มาสอบสวนแบบขอไปที ในภาษาของพวกเราความเห็นของพวกเราในคืนนั้นที่ร่วมกันไปโรงพยาบาลกับชาวบ้าน คือรู้สึกเลยว่า ทำแบบขอไปที และ(ตำรวจ)ไม่แนะนำเราด้วยซ้ำไปว่า ศพนี้จะต้องไปผ่าที่นิติเวชก่อน”
“แต่จริงๆ ตัวเองพอมีความรู้อยู่บ้าง ก็เลยหลังจากนำศพเจริญกลับมาจากโรงพยาบาลแล้ว เราก็เลยได้มีการประชุมปรึกษาหารือกับชาวบ้านว่าจะเอาอย่างไร ชาวบ้านก็มีความเห็นว่า ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง คดีของเจริญไปไม่ถึงไหนแน่ ก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า เราควรจะไปเรียกร้องต่อดีเอสไอ เพราะในฐานะที่เป็นหน่วยงานหนึ่ง ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ และรัฐบาลเองก็กล่าวอ้างว่า จะมาผดุงความยุติธรรมให้กับสังคมไทย และเป็นหน่วยงานที่คานอำนาจกับตำรวจ เขากล่าวอ้าง เราก็เลยมีการแห่ศพของเจริญเข้ากรุงเทพฯ กันในวันรุ่งขึ้น เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม เรียกร้องกับดีเอสไอ และนำศพไปให้คุณหมอพรทิพย์ผ่าชันสูตรศพ”
แม้คดีนี้ ตำรวจจะสามารถจับกุมได้ทั้งมือปืน 2 คน และผู้ต้องสงสัยจ้างวานได้อีก 3 คน โดยได้จากการซัดทอดของมือปืน แต่ระหว่างที่คดีอยู่ในศาล ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความคลางแคลงใจต่อการทำงานของดีเอสไอที่ทำหน้าที่ค ุมขังผู้ต้องหาทั้งหมดระหว่างพิจารณาคดี เมื่ออยู่ๆ มือปืนทั้ง 2 คน(นายประจวบ หินแก้ว ,นายเสน่ห์ เหล็กล้วน)ที่ฆ่านายเจริญ เกิดมาป่วยตายในคุกก่อนที่จะได้ขึ้นสืบพยานในศาล โดยนายประจวบเสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 มี.ค.2549 ขณะที่นายเสน่ห์เสียชีวิตในอีก 4 เดือนถัดมาวันที่ 2 ส.ค. เมื่อจำเลยเสียชีวิต ศาลจึงจำหน่ายคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยทั้งสองออกไป แต่คดีในส่วนของผู้ที่ถูกซัดทอดว่า เป็นผู้ว่าจ้างฆ่านายเจริญอีก 3 คน คือ นายธนู หินแก้ว ,นายมาโนช หินแก้ว และนายเจือ หินแก้ว ซึ่งเป็นพ่อของนายธนูและนายมาโนชนั้น ยังคงดำเนินต่อไป
การตายของมือปืนทั้งสองทำให้เกิดคำถามตามมาทันทีว่า ท ำไมพยานปากสำคัญในคดีนี้ต้องตายหมด และตายก่อนที่จะได้ขึ้นสืบพยานในศาล? ,ทำไมทั้งสองต้องพร้อมใจกันตายด้วยโรคเอดส์เหมือนกัน ดังที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์แจ้งสาเหตุการตายต่อศาล ,ทำไมญาติไม่รู้ว่านายเสน่ห์ 1 ในมือปืนเป็นโรคเอดส์ แล้วทำไมนายเสน่ห์จึงบอกกับญาติก่อนตาย 1 วันว่า ตนเป็นโรคมาลาเรีย และมาลาเรียขึ้นสมองนานแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ให้กินแต่ยาพาราเซตามอล?
การตายในคุกแบบมีเงื่อนงำของมือปืนซึ่งเป็นพยานปากเอกทั้งสองคน ทำให้นางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ อดสงสัยไม่ได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ได้เจอกันในศาล ก็ไม่เห็นว่า นายเสน่ห์จะป่วยด้วยโรคร้ายแรงอะไร
“สำหรับรายของนายประจวบ หินแก้ว ตอนนั้นเราก็ไม่รู้สึกที่จะสงสัยหรือกังขานะ ที่มาแจ้งว่าป่วยตายอะไรอย่างนี้ แต่สำหรับรายนายเสน่ห์นี่ ต้องยอมรับว่า พวกเรามีความกังวลสงสัยกังขากันมากเลยว่า เสียชีวิตได้อย่างไร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาในการพิจารณาคดีมันมีการพิจารณาอย่างต่อเนื่อง คือนับตั้งแต่นัดแรกที่สำหรับปีนี้เลย คือปีก่อนก็ทำไปแล้ว หมายถึง 2 ปีที่ผ่านมานะ เราก็ได้เห็นนายเสน่ห์มาโดยตลอด ตั้งแต่นัดแรกที่ศาลอาญา สำหรับปีนี้ คือวันที่ 29 มิ.ย. 49 เป็นนัดที่ตัวดิฉันเองไปให้การต่อศาล ก็เห็นเขาปกติ แข็งแรง อ้วนท้วน และนัดถัดมา วันที่ 30 มิ.ย. ก็ยังแข็งแรง นัดวันที่ 7 ก.ค.ก็ยังปกติดี”
“จนกระทั่งมานัดวันที่ 28 ก.ค. ก็คือห่างกันแค่ 21 วัน วันนั้นทนายของเขาเองลุกขึ้นไปแถลงต่อศาล คือนายเสน่ห์เดินมานั่งในห้องพิจารณาคดี มากับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ซึ่งถ้าหากเขาไม่ไปแถลงในศาล เราก็คงไม่รู้ว่า เขาแถลงอ้างว่า นายเสน่ห์ป่วย ขอลงไปนั่งข้างล่างใต้ถุนศาล ซึ่งเราก็ยังเห็นเขาเดินได้อะไรได้ คือถ้าถามว่า เชื่อมั้ยว่ามีอาการป่วย เท่าที่ดูก็เห็นซูบไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้หมายความว่า ผ่ายผอมอะไรแบบนั้น แต่ก็มีอาการซูบลง ก็ยังเห็นเดินได้อะไรได้อยู่ เราก็คิดว่า เขาจะป่วยธรรมดาหรืออะไร คือถ้าไม่บอกเราก็ไม่รู้ว่า ป่วย แต่หลังจากนั้นเพียงแค่ 5 วัน คือนายเสน่ห์เนี่ย เรามาทราบว่าเสียชีวิตในวันที่ 2 (ส.ค.)แต่เราทราบนี่คือวันที่ 3 เรารู้สึกตกใจว่า มันเป็นไปได้อย่างไร และอีกอย่างพอเรามานึกย้อนกลับไป มันคงไม่ใช่ความบังเอิญนะ คือเราคุยกันว่า เป็นไปได้เหรอที่มือปืน 2 คนจะมาเสียชีวิต ป่วยตายในคุกทั้ง 2 คนอะไรอย่างนี้”
ตอนนั้น นางกรณ์อุมา บอกด้วยว่า ไม่อยากจะคิดว่า มีการฆ่าตัดตอน 2 มือปืน เพื่อไม่ให้สาวถึงผู้บงการ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากทั้งสองไม่ได้ตายตามธรรมชาติ แต่ถูกทำให้ตาย ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับจำเลยที่เหลืออีก 3 คน เพราะแม้นายประจวบและนายเสน่ห์ จะเคยซัดทอดนายเจือ-นายธนู และนายมาโนชว่าเป็นผู้จ้างวาน แต่เมื่อไม่มีบุคคลทั้ง 2 มาให้การในศาลแล้ว โอกาสที่รูปคดีจะเหมือนเดิม คงยาก
“ถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่ได้เป็นดั่งที่ท่านอธิบดีแถลง หรืออย่างที่ญาติแถลง ก็คือ ไม่ได้ตายเองตามธรรมชาติเนี่ย ก็แสดงว่าเขาก็ต้องถูกทำให้ตายใช่มั้ย? และถ้าถูกทำให้ตาย ก็แสดงว่าคนที่เขาทำให้ตาย เขาก็ย่อมหวังผลในคดีอยู่แล้วว่า ให้เป็นประโยชน์กับจำเลยที่เหลือ เพราะคดีของเจริญเนี่ย จับผู้ต้องหาทั้งหมดเบ็ดเสร็จคือ 5 คน 2 คนเป็นมือปืน อีก 3 คนก็ถูกตั้งข้อหาใช้จ้างวานจากการซัดทอดของนายเสน่ห์และนายประจวบ เพราะในเบื้องต้น ที่เราได้ติดตามคดีร่วมกัน ก็คือ เราได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ดี และในส่วนของดีเอสไอก็ดี ก็ได้รับการบอกเล่าว่า นายเสน่ห์กับนายประจวบได้มีการซัดทอดคนเหล่านี้ แต่พอในชั้นศาล จะเรียกว่าไม่ซัดทอดก็คงไม่ได้ แต่ต้องเรียกว่าเป็นการพลิกคำให้การมากกว่า ในชั้นศาลที่เป็นนัดไต่สวนมูลฟ้อง ตัวมือปืนก็มีการรับสารภาพ คือยิงเจริญเอง แต่เหตุผลคือ เป็นเรื่องความแค้นส่วนตัว เราถือว่า มันพลิกคำให้การ ถึงแม้เขาจะพลิกคำให้การในชั้นไต่สวน แต่ถ้าตราบใดถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อถึงเวลาที่เขาจะต้องขึ้นเป็นพยานฝ่ายจำเลย ทางเราก็ต้องมีโอกาสที่จะซักถาม และคงจะได้ความจริง ทำให้ความจริงมันกระจ่างได้ แต่วันนี้เขาเสียชีวิตแล้ว และไม่มีโอกาสได้พูดอะไร มันก็คงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้รูปคดีมันเป็นได้อย่างเดิม”
น่าดีใจที่การตายของมือปืนซึ่งเป็นพยานปากเอกทั้งสอง ไม่ทำให้ผู้จ้างวานฆ่านายเจริญลอยนวลได้ เพราะศาลอาญาได้พิพากษาประหารชีวิตนายธนู หินแก้ว ฐานจ้างวานฆ่านายเจริญแล้วในวันนี้(30 ธ.ค.) แม้จำเลยอีก 2 คน(นายมาโนช หินแก้ว ,นายเจือ หินแก้ว) ศาลจะยกฟ้อง เพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอก็ตาม แต่ “กรรมใดใครก่อ” สักวันก็ต้องชดใช้ ต่อให้หนีเท่าไหร่ก็ไม่พ้น!!
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153478
แด่ ดวงวิญญาณวีรชนทุกท่านที่ต่อสู้เพื่อความดีงามในแผ่นดิน ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีจิตใจสูงส่ง ยอมอุทิศสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์อันแน่วแน่ในการปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ของชุมชนถิ่นที่อยู่อาศัย ทุกๆสนาม ทุกๆเหตุการณ์ ที่มีการต่อสู้เพื่อความดี ความถูกต้อง คนไทยทุกคนเป็นหนี้บุญคุณของพวกท่าน มีคุณูปการใหญ่หลวงมาก คนดี ทำดี ได้ดี คนชั่ว ทำชั่ว ได้ชั่ว เป็นสัจจะธรรม
ข อไว้อาลัยและเทิดทูนในคุณงามความดีที่ท่านได้ประกอบไว้ และถ้าเป็นไปได้ ขอให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบรื้อฟื้นคดีทุกคดีที่ถูกคนชั่วอำนาจมืดทุกรูปแบบ ปกปิดและบิดเบือนไปสะสางให้ได้ความจริงและตัดสินด้วยความยุติธรรมทุกๆคดี อย่างเช่น คดีการสั่งสลายการชุมนุมของพัธมิตรฯ 7 ตุลา 51 เหตุการณ์ที่มีการใช้อาวุธสงครามสังหารผู้ชุมนุมที่ชุมนุมโดยสันติ อหิงสา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก คดีของทนายสมชาย นีลไพจิตร เป็นต้น ได้รับการสะสางให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างถูกต้องโดยเร็วในที่สุด
ลูกหลานเสด็จเตี่ย
เป็นดังคำที่ว่า
" คนดีตายหนักดั่งขุนเขา คนชั่วตายเบาดุจขนนก "
ขอให้ความยุติธรรมจงปรากฏ ขอให้คนชั่วได้รับกรรมที่มันก่อ
ขอสดุดีผู้วายชนม์
ไทยแท้
การเข้ามาของนายทุน ที่โยนเศษเนื้อให้คนหนุนให้เขาสำเร็จประโยชน์ส่วนตัว ทำให้เกิดการแตกแยกเป็นสองฝักสองฝ่าย ตามที่ปรากฏในคดีนี้
มันเหมือนภาพใหญ่ของสังคมไทยในเวลานี้ไม่มีผิด
ท ี่ระบอบทักษิณโยนเศษเนื้อ ซื้อคนตั้งแต่ระดับรากหญ้า ซื้อนักการเมืองเหมาพรรค ซิ้อข้าราชการ ซิ้อสว. ตลอดจนตุลาการ ทำให้สังคมไทยแตกแยกเป็นสองฝ่าย มาจนทุกวันนี้
ขอเขียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น