++

...+

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

ความสุขของกะทิ : ที่อาจไม่ใช่ความสุขของคนดู

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
   
       โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
      
       น่าสนใจมากว่า จากผลสำรวจความต้องการของเด็กๆ ที่โพลล์บางสำนักทำออกมาในช่วงวันเด็กที่เพิ่งจะผ่านพ้นนั้น บอกอะไรกับเราบ้าง เพราะผลลัพธ์ที่ได้มา พบว่า เด็กไทยจำนวนหนึ่ง (ต้องบอกว่าจำนวนหนึ่ง เพราะเขาสำรวจมาแค่ไม่กี่พันคน) ฝันถึงการมีบ้าน มีรถ มีมือถือ รวมไปจนถึงคอมพิวเตอร์ เป็นอันดับแรกสุด
      
       แน่นอนว่า คำถามที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ เพราะอะไร สิ่งเหล่านี้ถึงเป็นที่ต้องการของเด็กๆ ยุคนี้มากมายนัก?
      
       มองกันอย่างพยายามทำความเข้าใจมากที่สุด การอยากมีบ้าน (Home) อาจจะหมายถึงความมั่นคงในชีวิต ขณะที่ความต้องการมือถือเอย รถเอย ไล่เลยไปจนถึงคอมพิวเตอร์หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีอื่นๆ ก็คือเสียงสะท้อนอย่างหนึ่งซึ่งบอกกับเราว่า โลกของเราเดินทางมาถึงจุดที่ “สิ่งเหล่านี้” ถูกจัดสร้างให้เป็น “ความจำเป็น” ของชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว เพราะแม้แต่เด็กๆ ยังเรียกร้องต้องการ
      
       แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าใช้ “แว่นขยาย” อีกแบบหนึ่งมองเข้าไป บางคนก็อาจจะบอกว่า มันคือความน่าหวั่นวิตกในโลกที่ “วัตถุ” (หรือ “วัตถุนิยม”) มีอิทธิพลเหนือความคิดของคน ความสุขและความต้องการของคนยุคนี้จึงถูกนำไปผูกติดอยู่กับอะไรๆ ที่เป็น “สิ่งของ” มากขึ้น (ซึ่งจริงๆ ผมว่า ก็ไม่ได้เป็นกันแค่ในหมู่เด็กๆ หรอกครับ ผู้ใหญ่หลายๆ คนตอนนี้ก็กำลังทุรนทุรายเหมือนกันกับความคิดว่า ทำอย่างไรถึงจะได้เจ้า iPhone 3G ของพี่สตีฟ จ๊อบส์ มานอนกอด...เอ๊ะ หรือว่าไม่จริง?)
      
       อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเสียงงอแงของเด็กหลายๆ คนที่อยากได้โน่นได้นี่อย่างที่ผลโพลล์บอก ก็ยังมี “ความสุข” ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดูจะตรงกันข้ามอย่างสุดขั้วกับความต้องการของ “เด็กๆ ในโพลล์” เพราะสิ่งที่เธอปรารถนา ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่รถ ไม่ใช่มือถือหรือคอมพิวเตอร์ แต่เป็น “อ้อมกอดของแม่” ที่เธอใฝ่หา...
      
       ครับ, ถ้าจะนับว่าเป็นความน่าดีใจก็ได้ที่หนังอย่าง “ความสุขของกะทิ” ได้เข้าฉายในช่วงวันเด็กพอดิบพอดี (แน่นอน เทศกาลน่าจะมีส่วนช่วยผลักดันรายรับของหนังให้วิ่งขึ้นได้บ้างไม่มากก็น้อย) แต่ขณะเดียวกัน ผมมองว่า มันก็อาจจะกลายเป็น “ยาขม” สำหรับเด็กหลายๆ คนก็ได้ที่เข้าไปดูหนังเรื่องนี้ (รอบบ่ายสองวันเสาร์ที่ผมดู มีพ่อแม่หลายคนมากับลูกๆ ด้วย แต่พอหนังฉายไปได้สักพัก เด็กๆ ก็เริ่มส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวแข่งกับเสียงในหนัง)
      
       เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น?
      
       อย่างแรกที่ต้องทำความเข้าใจ...นี่คือหนังที่สร้างมาจากวรรณกรรมรางว ัลซีไรต์ปี 2549 ของคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ (อย่าไปสนเลยว่า คนเขียนจะมีนามสกุลเหมือนใคร เพราะนั่นน่ะ ไม่ใช่สาระอะไรของหนังสือเลย) ซึ่ง Point ใหญ่ๆ ที่ต้องพูดถึงก่อนก็คือ แม้ว่าเรื่องราวจะก้าวเดินไปข้างหน้าโดยมีตัวละครหลักๆ เป็นเด็กผู้หญิง (กะทิ) แต่เอาเข้าจริงๆ “เนื้อหา” ที่หนังสือเล่มนี้ต้องการสื่อสารกลับเป็นอะไรที่ต้องใช้ “มุมมองความคิด” (หรือถ้าจะเรียกให้ดูฟังหรูๆ หน่อยก็ต้องบอกว่า “โลกทัศน์”) เพื่อทำความเข้าใจ พูดง่ายๆ ก็คือ มันไม่ใช่ “วรรณกรรมสำหรับเด็ก” หรือ “วรรณกรรมเยาวชน” และคนที่จะเข้าอกเข้าใจอะไรทำนองนี้ได้ ต้องมี “อายุ” หรือ “วุฒิภาวะ” ระดับหนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับนิยายพวกแฮร์รี่ พอตเตอร์ หรือ เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ ที่ตั้งใจสื่อสารกับเด็กๆ โดยตรง ไม่ต้องมีอายุหรือวุฒิภาวะอะไรมาก ก็สามารถจะ get ได้
      
       สรุปก็คือ แม้นิยาย “ความสุขของกะทิ” จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเด็ก แต่เนื้อหานั้นไม่ “เด็ก” เลย เพราะมันพูดถึงความเจ็บปวดของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาในภาวะที่ “ขาดแม่” และ Point หลักๆ ในหนังสือก็คล้ายจะย้ำเน้นให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลาถึงปัญหาทางใจของเด็กที่เต ิบโตมาในสภาวะแบบนี้ มันเหมือนกับการใช้ “แว่นสายตา” แบบผู้ใหญ่มองเข้าไปใน “โลกของเด็ก” เพื่อจุดมุ่งหมายอะไรบางอย่าง (เช่น เข้าใจปัญหาที่เด็กต้องเผชิญ) ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ถ้าใครต่อใครจะบอกว่า “ความสุขของกะทิ” เป็นหนังสือที่อ่านแล้วไม่ได้ “ความสนุก” แต่ได้อย่างอื่นแทน (ขณะที่ชื่อหนังสือเองก็ถูกคนอ่านหลายๆ คนรีเนมไปเรียบร้อยแล้วว่า “ความทุกข์ของกะทิ”)

   
       แน่นอนว่า เมื่อหนังสือไม่ได้มุ่งเน้น “ความสนุก” เป็นหลักใหญ่ใจความ ในเวอร์ชั่นที่เป็นภาพยนตร์ก็ไม่มีทางที่จะ “สนุกสนาน” ไปได้ และนั่นก็เป็นเหตุผลว่า เพราะอะไร ผมถึงคิดว่า หนังเรื่องนี้ บางที จะเป็น “ยาขม” สำหรับเด็ก และที่สำคัญ มันไม่ใช่เพียงเพราะว่า “เรื่องราว” ในหนังมันไม่สนุกแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ “วิธีการเล่าเรื่อง” ของหนังก็ดูไม่สนุกด้วย (ถึงขนาดที่ทำให้ผู้ใหญ่บางคนเดินออกจากโรงหนังตั้งแต่ช่วงกลางๆ เรื่องด้วยซ้ำไป)
      
       ผ มเข้าใจว่าปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ผม (และอาจจะรวมถึงคุณผู้อ่านอีกหลายๆ ท่าน) ดูหนังเรื่องนี้ไม่สนุกหรือไม่มีความสุขในการรับชม ส่วนสำคัญน่าจะมาจาก “ความช้า” ในการดำเนินเรื่องของหนัง อย่างไรก็ดี ผมไม่คิดว่านี่เป็นความผิดของหนัง เพราะถ้าว่ากันตามไวยากรณ์ของการทำหนัง มันก็มีทั้งจังหวะที่ช้าและเร็ว สุดแต่ว่าผู้กำกับจะเลือกสื่อมันออกมาในรูปแบบไหน (ดังนั้น การจะบอกว่าหนังที่เดินเรื่องช้าๆ เนือยๆ เป็นหนังไม่ดี ก็ดูจะเป็นมุมมองที่ “คับแคบ” เกินไป)
      
       ไม่แปลกใจเลยครับสำหรับหนังเรื่องนี้ที่จะมีหลายๆ คนไม่ชอบ เพราะ “ความเชื่องช้า” ของมัน โดยเฉพาะในยุคสมัยทุกวันนี้ที่อะไรๆ ก็ต้องรีบๆ เร่งๆ เข้าไว้ (คอมพิวเตอร์ก็ต้อง Ram เยอะๆ เพื่อตอบสนองความเร็ว) มีคำหนึ่งซึ่งผมชอบมากเพราะมันอธิบายยุคสมัยของเราได้ค่อนข้างดี คือ Early Syndrome แปลง่ายๆ แบบคนอ่อนภาษาต่างประเทศก็คือ “เสพติดความเร็ว” นั่นหมายความว่า ยุคนี้สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครมีความสุขกับการเอ้อระเหยเพื่อเชยชมสายลมแสงแดดอี กต่อไปแล้ว และนั่นก็ทำให้ผมกลับมานั่งคิดว่า นี่หรือเปล่าที่ทำให้เรา (โดยเฉพาะผม) เริ่มดู “หนังช้าๆ” อย่างความสุขของกะทิไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้าย นอกไปจากความเชื่องช้า??...
      
       ด้วยลีลาการดำเนินเรื่องที่เนิบนาบค่อยเป็นค่อยไป คุณเจนไวยย์ ทองดีนอก (ผู้กำกับ) ดูจะตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษในการทำให้หนังเรื่องนี้ออกมาในทิศทางที่แตกต่างอ อกไปจากหนังดราม่าทั่วๆ ไป คือไม่พยายามบิวท์อารมณ์ ไม่โน้มน้าวความรู้สึกของคนดูให้เหวี่ยงไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป หรือจงใจเรียกน้ำตาจากคนดูอย่างจริงๆ จังๆ เหมือนหนัง Drama (ทั้งๆ ที่เมื่อว่ากันโดยศักยภาพของเนื้อหาแล้ว ก็เอื้อให้สามารถทำแบบนั้นได้ไม่ยาก) แต่ปล่อยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ เหมือนกับ “หนังเล่าเรื่อง” ที่ดูเหมือนไม่เรียกร้องต้องการการตอบสนองทางด้าน “อารมณ์ความรู้สึก” ใดๆ จากคนดู ไม่ว่าจะสุข เศร้า หรือสะเทือนใจก็ตามที แต่มุ่งเน้นไปที่ระดับของ “ความเข้าอกเข้าใจ” ในสิ่งที่เกิดขึ้น ดังที่เราจะเห็นในตอนจบของหนังที่สะท้อนอะไรแบบนี้ได้ดีมาก โดยเฉพาะฉากเต้นรำนั้น มันทำให้เรารู้สึกว่า ที่สุดแล้ว ทุกๆ สิ่งก็จะผ่านพ้น และชีวิตก็ยังเดินต่อไป ขอเพียง “เข้าอกเข้าใจ” (และการที่หนังไม่ให้ตัวละครแสดงอารมณ์ฟูมฟายหรือเศร้าโศกเสียใจอะไรออกมามา กมาย ก็น่าจะเพราะเหตุนี้)
      
       อย่างไรก็ดี ความรู้สึกหนึ่งซึ่งผมเชื่อว่าอาจจะเกิดขึ้นกับหลายๆ คนก็คือ ดูแล้ว “ไม่อิน” หรือไม่มีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครเท่าที่ควร คือจะเศร้าก็ไม่เศร้าแบบสุดๆ หรือมีขำๆ บ้างก็เพียงประปราย
      
       เหนืออื่นใด เราไม่ได้เห็น “ความทุกข์ของกะทิ” อย่างเต็มตาเท่าไรนัก และก็ดูจะเป็นความจงใจของหนังที่ปิดบังความทุกข์ของกะทิไว้อย่างมิดชิดจนเรา มองไม่เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหนังดำเนินไปจนเกินครึ่งเรื่องแล้ว หลายๆ คนก็อาจจะเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า แล้วเด็กหญิงกะทิโหยหาแม่มากน้อยแค่ไหน เพราะเราก็ยังเห็นเธอดูเหมือนจะยังสามารถใช้ชีวิตปกติอยู่กับตายายได้เรื่อย ๆ โดยไม่ “แสดง” ความอนาทรร้อนใจใดๆ เลย
      
       แ น่นอน สิ่งนี้ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิด มีฉากเล็กๆ ฉากหนึ่งซึ่งเกือบจะเปิดเผย “ความต้องการแม่” ของเด็กหญิงกะทิออกมาให้เราเห็น นั่นก็คือ ตอนที่กะทิเดินคุยกับพี่ทอง ซึ่งมาส่งเธอที่บ้าน ทั้งสองคุยกันถึงเรื่องสวดมนตร์ไหว้พระและอธิษฐานก่อนนอน กะทิถามพี่ทองว่าเขาอยากรู้หรือเปล่าว่าเธออธิษฐานขอพรอะไรก่อนนอน ซึ่งผมคิดว่าถ้าพี่ทองบอกว่าอยากรู้ คำตอบของกะทิก็คงไม่ไกลไปจากนี้ นั่นก็คือ เธออยากจะพบแม่

   
       ขณะเดียวกัน ถ้อยคำในซับไตเติ้ลที่หนังนำมาขึ้นจอเป็นช่วงๆ เหมือนแบ่งหนังออกเป็นบทๆ แบบเดียวกับในหนังสือ ก็เป็นตัวสื่อแทนให้เราเห็นว่า ลึกๆ แล้วนั้น กะทิยังคงมีแม่อยู่ในความนึกคิดตลอดเวลา เพียงแต่เธอไม่แสดงมันออกมาผ่านพฤติกรรมภายนอก เธออาจไม่เก่งในการแสดงออก แต่จริงๆ ผมว่ามันอาจจะเป็นกลอุบายอย่างหนึ่งของหนังที่ไม่ต้องการจะวางน้ำหนักความน่ าเห็นใจไว้บนบ่าของตัวละครอย่างกะทิมากเกินไป แต่เลือกที่จะแสดงความทุกข์เศร้าของกะทิออกมาในรูปแบบอื่นๆ เช่น ผ่านซับไตเติ้ลซึ่งเป็นเหมือนบทหนังสืออย่างที่ผมบอก รวมไปจนถึงช็อทที่น้องกะทิแอบได้ยินตายายพูดคุยกันเกี่ยวกับแม่ของเธอ (อย่างไรก็ตาม ผมก็พยายามติดตามอยู่นะครับว่า เมื่อไหร่หนอ หนังจะจัดฉากให้หนูกะทิมานั่งทำหน้าเศร้าๆ คิดถึงแม่ แบบเดียวกับที่เคยได้เห็นในหนังแนวพลัดพรากทั่วๆ ไป แต่จนแล้วจนรอด ฉากแบบนั้นก็ไม่มีให้ผมดู ฮา)
      
       แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ท่ามกลางเรื่องราวสุขๆ ทุกข์ๆ ของน้องกะทินั้น เราจะพบว่า หนังเรื่องนี้มีความโดดเด่นมากในงานด้านภาพที่แทบจะทุกฉากทุกช็อตดูงดงามละเ มียดละไม สะท้อนความเป็นวิถีไทยแบบดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี (ทั้งอาคารบ้านเรือนและแม่น้ำลำคลอง) ความละมุนของฉากแบ็กกราวน์เหล่านี้ ไม่เพียงทำให้บรรยากาศโดยรวมของหนังดูแล้วรื่นรมย์เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงตัวละครหลักได้ด้วยว่า สิ่งแวดล้อมอันงดงามเหล่านี้มีส่วนอย่างสำคัญในการหล่อหลอมกล่อมเกลาสภาวะจิ ตใจให้อยู่ในวิถีแบบหนึ่ง (แน่นอน การที่ไม่มีตัวละครตัวไหนแสดงอาการตีโพยตีพายหรือฟูมฟายโวยวาย ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงทุกข์เศร้า ผมคิดว่า บรรยากาศวิถีชีวิตแบบนี้ก็น่าจะมีส่วน ซึ่งจะแตกต่างกับผู้คนยุคเร่งรีบในบางประเทศที่แค่ใครสักคนเผลอพลาดไปเหยียบ เท้าใครอีกคนบนรถเมล์ ก็อาจจะถึงขั้นชักปืนขึ้นมาระเบิดกะโหลกกันได้)
      
       ขณะเดียวกัน เมื่องมองไปยังบทบาทการแสดง คนแรกที่ต้องชมก็คงไม่พ้นน้องกะทิซึ่งรับบทโดย น้องพลอย-ภัสสร คงมีสุข ที่เล่นได้ดีอย่างน่าทึ่ง (ไม่น่าเชื่อว่านี่คือการขึ้นแผ่นฟิล์มครั้งแรกของเธอ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉาก “วิ่งร้องไห้จนตัวโยน” ริมทะเลนั้น ต้องบอกว่า “ได้ใจ” ไปเต็มๆ ขณะที่คุณลุงสะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์ กับคุณป้าจารุวรรณ ปัญโญภาส ก็โชว์ความสามารถรุ่นลายครามอย่างไร้ข้อกังขา พ้นไปจากนี้ นักแสดงคนอื่นๆ ก็แคสต์มาเหมาะสมกับบทดี โดยเฉพาะคุณรัชนก แสง-ชูโต นั้น ดูเหมือนว่าเธอจะมีธาตุของความเป็นแม่ที่แลดูอบอุ่นอ่อนโยนอยู่ในตัวเองแล้ว โดยไม่จำเป็นต้อง “แอ็คติ้ง” อะไรมากมายเลย
      
       ว่ากันอย่างถึงที่สุด แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ทำให้ผมรู้สึก Entertain อะไรเลยสักนิด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีฉากที่ดีที่ผมคิดว่าเป็นฉากน่าจดจำสำหรับงานชิ้นนี้อยู ่ (แน่นอน เราดูหนังเรื่องหนึ่งๆ บางที การมองหาว่า เราจะชอบอะไรในหนังเรื่องนั้นๆ ได้บ้าง ก็เป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง เวลาที่เราเจอหนังซึ่งไม่ค่อยถูกกับ “เคมี” ของตัวเอง) นั่นก็คือ ฉากที่คุณตาคุยกับน้องกะทิในป่าต้นสนในขณะที่ทิวสนเอนไหวไปตามแรงลม
      
       มีถ้อยคำเปรียบเปรยที่คุณตายกมาประโยคหนึ่งซึ่งผมคิดว่า นอกจากมันจะอธิบายให้เห็นภาพชีวิตของกะทิได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังน่าจะเชื่อมโยงกับ “ชีวิตจริงนอกจอ” ของเราๆ ท่านๆ ได้ ในโมงยามที่ “ลมพายุทางเศรษฐกิจ” กำลังโหมพัดแรงขึ้นทุกขณะใน พ.ศ.นี้
      
       “ ถ้าคนเราทำตัวเหมือนต้นสน ลู่ไปตามลมพายุชีวิตได้ ประเดี๋ยวมันก็จะผ่านพ้นไป” คือถ้อยคำประโยคนั้น และนั่นก็คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็น “ข้อความสำคัญ” ที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะส่งผ่านสู่คนดู...

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000003444

    ความสุขของกะทิอาจจะน่าเบื่อ ไม่ซึ้ง ไม่อิน ในมุมมองของใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะคนที่อยู่กับความวุ่นวายในเมือง หรือเป็นโรคเสพติดความเร็วอย่างที่คุณว่า

แ ต่สำหรับเราแล้ว เราคิดว่าหนังมันดำเนินให้เห็นความสุขที่แตกต่าง...สุขที่ได้มีชีวิตอยู่ใกล ้กับธรรมชาติ สุขที่ได้อยู่กับคนที่รักรอบ ๆ ข้าง แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้กับคนที่ได้ชื่อว่าแม่ก็ตาม

หนังเรื่องนี้ทำให้เ ราซาบซึ้งกับความรักของคนรอบข้างของกะทิ ซาบซึ้งกับความเป็นอยู่และมีชีวิตอย่างเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม เพราะทุกวันนี้คงไม่มีบรรยากาศพายเรือด้วยไม้พายให้เห็นกันแล้ว มีแต่ติดเครื่องยนต์เสียงดังอึกทึกเต็มไปหมด

แม้ว่าหลายคนจะมองว่าหน ังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องอย่างเอื่อยเฉื่อยหรือเชื่องช้า แต่การเสพบรรยากาศของความเชื่องช้าแบบนี้แหละค่ะที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราได้แกะรอยตามความรู้สึกของกะทิไปอย่างช้า ๆ เช่นเดียวกัน

นี่แหละ หนังไทย...ที่ไม่ได้ตามกระแสหนังตลาด เหมือนกับหนังสือที่เขียนขึ้นมาด้วยภาษาที่เรียบง่าย แต่กินใจ ไม่ได้หวือหวาตามกระแสอย่างที่เป็น
รักกี้

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ25 มกราคม 2552 เวลา 10:26

    ดีมากเลยคับเรื่องนี้ สื่ออะไรได้หลายอย่าง

    ตอบลบ